ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 259
ตอนที่ 259 ครอบครัว
” ระ รักข้า?” โม่จื่อเฟิงผู้สูงส่ง เคร่งขรึมและ โอหัง กลับพูดติดอ่างแล้ว
หลินซีนเยียนขบฟันพยักหน้า เผชิญกับสายตา ที่เฉียบคมของเขา ไม่ถอยหลบหนีไปไหน ใช่ หลง รักเจ้าแล้ว แม้ว่าตอนแรก ข้าจะคิดว่าเจ้าเป็น วิกลจริต แต่ตอนนี้ ข้ารู้ว่าข้ารักเจ้ามาน้อยแล้วจริงๆ
ถ้าจะยอมรับความจริงแบบนี้ เธอไม่สู้ลองใช้ ความกล้าทั้งหมดตลอดชีวิต?
เขาเป็นสามีที่มีภรรยาแล้วคนหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง ยังเป็นบุรุษที่แสนดีคนหนึ่ง ยิ่งข่าวลือว่าเขาเป็นคน เลือดเย็นไร้หัวใจ แต่เธอมีฐานะต่ำต้อย หลังจากที่ เข้าใจเขามาทีละหน่อยๆ ก็เริ่มหลงรักเขาแล้ว
เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นคนมาสองภพ อายุก็ปา
ไป 30 ปีแล้ว สำหรับเรื่องอายุ เธอแก่กว่าเขาหลายปี เขาที่เคยคิดจะไม่เป็นพี่สาวน้องชายเด็ดขาด ครั้งนี้ ค่อยๆผ่อนผันไปแล้วกัน
เธอผ่านอายุที่รอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาวมานาน แล้ว สำหรับเธอแล้ว ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบพร้อมผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเหล่านั้นมีเพียงในละครเท่านั้น
แหละ
โม่จื่อเฟิงก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าตอนที่เขา เลว เลวได้น่ารังเกียจมาก ทำให้เธออยากจะฆ่าเขา แต่ตอนที่เขาดี ก็ทำให้คนรู้สึกว่า ผู้ชายที่อวดดีแบบ นี้ พอดีขึ้นมาก็ทำให้คนรู้สึกชื่นชมไม่หยุด
เขาน่าสงสาร เขาโอหัง เขาเคร่งขรึม แล้วยังเอา ใจพี่จิ่งแปลกๆอีก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเขา
” เจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรหรือไม่?” โม่จื่อเฟิงเห ยี่ยมยิ้มที่มุมปาก ราวกับรู้สึกว่านางกำลังเล่าเรื่อง ตลก
” ข้ารู้แน่นอน !” หลินซีนเยียนจับมือของเขา เห็นความแตกต่างบนนิ้วมือที่ขาวเรียวกับนิ้วมือที่ เปื้อนเลือดของเขาได้อย่างชัดเจน เธอกล่าวต่อ ” ข้า รู้ว่าเจ้าเป็นคนแบบไหน ไม่แน่บางทีข้าอาจจะเข้าใจ เจ้ามากกว่าตัวของเจ้าอีกก็ได้ สรุปคือ คำพูดข้าก็ได้ พูดออกไปแล้ว เชื่อหรือไม่ แล้วแต่เจ้า”
บรรยากาศราวกับหยุดชะงัก ต่างฝ่ายไม่ยอม อ่อนข้อให้กัน ไม่มีใครกล่าวออกมาอีก
หนีหว่านที่ยังยืนอยู่ในที่ไกลๆรู้สึกมองต่อไม่ได้ แล้ว นางไหนเลยจะคิดว่า สตรีอ่อนแอที่ร้องไห้ ฟูมฟายก่อนหน้านี้ กลับกล้าบอกรักกับนายท่านเช่นนี้ได้?
นางจำได้ว่า เมื่อก่อนคล้ายกับมีคุณหนูตระกูล ชนชั้นสูงที่คลั่งรัก วิ่งสะบัดก้นมาบอกรักนายท่านต่อ หน้าอะไรนั่น เรื่องรักๆใคร่ๆ ในยามนั้นนายท่านไม่มี แม้แต่ชายตามอง กลัวบ่ายหน้าแล้วให้พวกเขาแอบ ไปสร้างเรื่องในจวนของคุณหนูคนนั้น ไม่ทันระวัง ตกลงบ่ออุจจาระอะไรนั่น เรื่องพรรค์นี้คนของพวก เขาทำมาไม่น้อย
สตรีที่อ่อนแอคนนี้ กลับกล้าไม่เบาเลยทีเดียว
มุมปากของหนีหว่านกระตุกขึ้น พลันนับถือแล้ว ก็เริ่มเห็นใจเธอขึ้นมา ทว่า หนีหว่านก็รู้สึกดีกับหลิน ซีนเยียนมาน้อย อย่างน้อยแววตาของเธอก็จริงใจ มากกว่าเหล่าคุณหนูพวกนั้นอยู่มาก
หนีหว่านเดิมอยากจะขอร้องแทนหลินซีนเยียน ดังนั้นก็กระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง คิดอยากจะพูดอะไรสัก หน่อย พอกำลังจะเอ่ย ใครจะรู้ว่าโม่จื่อเฟิงพลันจ้อง มองมาแล้ว
สายตานั้น ทำให้แผ่นหลังของหนีหว่านเย็นยะ เยือก คำพูดที่เตรียมเอาไว้แล้วใกล้จะเอ่ยออกไป กลับกลืนไปหมดสิ้น
“เจ้ายังยืนอยู่ตรงนี้อีกหรือ? ไสหัวไป! ” โม่ จื่อเฟิงตะคอกใส่หนีหว่าน
มุมปากของหนีหว่านกระตุกขึ้น มองไปหาหลิน ซีนเยียนอย่างเห็นใจ นางได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ ผลลัพธ์แค่ไม่ได้ดั่งใจหวัง
เมื่อรอให้หนีหว่านจากไปแล้ว โม่จื่อเฟิงก็กัดริม ฝีปากแดงของหลินซีนเยียน
หลินซีนเยียนเบิกตาโพลงไม่ทันได้ตั้งสติ จน กระทั่งโม่จื่อเฟิงตะโกนอย่างพอไม่ใจออกมา “ หลับตาซะ!” เธอถึงจะได้สติ แล้วก็หลับตาลงอย่าง ว่านอนสอนง่าย
จุมพิตของโม่จื่อเฟิงพลันคลุ้มคลั่งขึ้น ทำให้คน มือไม้พันกันทำอะไรไม่ถูก ท่ามกลางความงุนงง คล้ายกับได้ยินเขาเอ่ยขึ้น ” สตรี เจ้ายั่วยวนข้า
ก่อน”
เธอยั่วเขาก่อนเหรอ?
ปัญหานี้ หลินซีนเยียนไม่เข้าใจจริงๆ
แสงจันทร์ลอยอยู่เหนือยอดต้นไม้ แสงจันทร์ นวลผ่องฉายแสงสว่างลงมา ดวงดาวพัดพาร่วงหล่น สู่พื้นดิน ทำให้หยดน้ำค้างกลายเป็นสีใสบริสุทธิ์
ยามดึกดื่น หลินซีนเยียนเปิดหน้าต่างมองโลก ทั้งใบที่สว่างไสวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องมา มุมปาก ของเธอยิ้มแย้ม คิดไม่ถึงเลยว่า การเผชิญหน้ากับความคิดที่อยู่ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของตัวเอง กลับ ทำให้ตัวเองผ่อนคลายลงได้มากขนาดนี้
เธอกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นอีกหน่อย นั่งเท้า คางบนตั้งนุ่มมองทิวทัศน์อันงดงามจากนอกหน้าต่าง เพราะว่ารู้สึกตื่นเต้นเกินจนนอนไม่หลับ
บนเตียง โม่จื่อเฟิงนอนหลับลึกอย่างสบายใจ เฉิบ ผ่านมาเนิ่นนาน เขายามนี้ เป็นยามที่เธอเคยเห็น ว่านอนได้อย่างสบายใจ ส่วนบนเตียงที่อยู่ชิดกำแพง วีจิ่งนอนพลางเป่าฟองไปพลาง ทั้งน่ารักและสงบใจ
สำหรับเด็กกำพร้าคนหนึ่งแล้ว หลินซีนเยียนคิด ไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็นตอนที่สงบสุขมากในชีวิตนี้ หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่นี้เป็นคนสนิทมากที่สุดของเธอ
เป็นครอบครัวของเธอ!
ครอบครัว สองคำนี้ เธอโหยหามานานหลายปี แต่กลับไม่เคยได้รับมัน ความรู้สึกแบบนั้นไม่มีใคร สามารถเข้าใจได้
เธอนั่งนิ่งๆอยู่บนตั้งนุ่ม สูดลมหายใจสดชื่นเข้า จ้องมองไปยังคนตัวเล็กคนตัวใหญ่ที่นอนอยู่บน เตียงอย่างเงียบๆ ราวกับไม่เบื่อที่จะมอง พอมองผ่าน ไปหนึ่งชั่วยาม จวบจนท้องฟ้าเริ่มสว่าง เธอหาว หวอดหนึ่งแล้วเดินขึ้นบนเตียง หลังจากที่ฝากรอย จูบบนคนตัวเล็กคนตัวใหญ่แล้ว เธอถึงจะหลับตาแล้วนอนหลับไปอย่างพึงพอใจ
เมื่อหลินซีนเยียนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ใกล้จะยาม บ่ายแล้ว โม่จื่อเฟิงไม่อยู่ในห้อง แม้แต่วี่จิ่งก็ไม่อยู่ ตามความชินเธออยากจะเรียกชิงจู๋ แต่พลันนึกขึ้น ได้ว่าซิงจู่ไม่อยู่แล้ว ในใจรู้สึกเจ็บแปลบๆ เธอลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้อง
ฮูหยิน ท่านตื่นแล้ว ” สาวใช้ที่อยู่หน้าประตูคน หนึ่ง พอเห็นหลินซีนเยียนก็รีบทำความเคารพ ใบหน้าของสาวใช้ปรากฏรอยยิ้มแจ่มใส อายุไม่มาก มองดูจากระหว่างดวงตาแล้วเป็นคนร่าเริงสดใส
” เจ้าคือ…หลินซีนเยี่ยนเอ่ยถาม
สาวใช้ย่อตัวลงทำความเคารพ แล้วเอ่ยอย่าง นอบน้อม บ่าวจื่อซู มารับช่วงต่อจากพี่สาวชิงจู๋ ต่อ ไปจะคอยรับใช้ดูแลฮูหยินเจ้าค่ะ”
“จื่อซู…. “หลินซีนเยียนครุ่นคิด เหมือนได้ยินจา กมู่เหอว่า ใช้จำนวนสาวใช้ใหญ่หลายคนของโม่ จื่อเฟิง วรยุทธ์สูงที่สุดเป็นชิงจู่ รูปโฉมดีที่สุดคือจื่อ ซูคิดดูแล้วจื่อซูคนนี้เป็นหนึ่งในสาวใช้ที่โม่จื่อเฟิง เชื่อใจมากที่สุด เช่นนั้นต่อไปก็ลำบากเจ้าแล้ว จื่อซู
“ฮูหยินชอบเกรงใจ เป็นอย่างที่พี่มู่เหอว่าไว้เลย จริงๆ ฮูหยินเป็นคนที่แตกต่างมากจินซูหน้าตาดีว่าชิงจู่มาก บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มงดงาม ฮูหยิน อาหารเช้าได้เตรียมไว้แล้ว จื่อซูจะรีบไปยกให้มา ท่านนะเจ้าคะ”
หลินซีนเยียนขานตอบเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ จริงด้วย ท่านอ๋องกับวี่จิ่งไปอยู่ที่ใดหรือ?”
” ท่านอ๋องพานายน้อยไปเรือนพระชายาเอก ได้ยินว่ามีแขกชั้นสูงจากในวังมาเยี่ยมพระชายาเอก ที่ได้รับบาดเจ็บ แขกผู้นี้บอกว่าจะพบนายน้อย ดัง นั้นท่านอ๋องจึงพานายน้อยไปด้วย” จื่อซูพูดเช่นนี้ แล้วมองไปยังหลินซีนเยียนอย่างเป็นกังวล