ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 274
ตอนที่ 274 วิกฤตที่ยากจะพ้นผ่าน
ฝน ฉับพลันก็เทลงมาในบัดนั้น
เดิมทีดูแผ่นฟ้าที่ทมิฬสลัวก็รับรู้ได้ว่าฝนจะตก ทว่ายามที่ฝนห่าใหญ่นี้เทลงมาอย่างฉับไวยังทำให้ คนเกือบหาทางหนีทีไล่ไม่ทัน หยาดฝนไหลตาม ชายคาห้องร่วงหล่นลง ประดุจดั่งสายป่านที่ทักถอ ต่อกันเส้นแล้วเส้นเล่า ทำให้ห้องทั้งห้องล้วนตกอยู่ ในโลกแห่งความพร่ามัวก็ไม่ปาน
โม่จ่อเฟิงกอดรัดหลินซีนเยียนเอาไว้ กล่าววกวน ซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงโทนต่ำ “จบแล้ว จบแล้ว ไม่ เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว มีข้าอยู่”
ทว่าหลินซีนเยียนคลุ้มคลั่งไปเป็นที่เรียบร้อย แล้ว ไม่ว่าเขาจะเอ่ยเช่นไร ปลอบอย่างไร เสมือนว่า นางดิ่งลึกอยู่ในอาการปรารถนาจะสังหารคนจนกู่ไม่ กลับ นางยังคงไม่ผละปาก ทำเพียงกัดอย่างสุดแรง เกิด
เพียงแต่ ในวงวนอันเลื่อนลอย การแสดงออก ทางสีหน้าของนางนั้นได้เปลี่ยนจากป่าเถื่อนเป็น หวาดกลัวแล้ว
โม่จื่อเฟิงรู้ในกระดูกกระเดี้ยวของนางนั้นเป็นบุคคลที่เคารพชะตาชีวิต ดังนั้นในสายตาของนาง ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง ไม่แบ่งชนชั้น คนทั้งหมดล้วน เท่าเทียมกัน ยิ่งเป็นความเท่าเทียมกันเช่นนี้ ทำให้ นางรู้สึกหยั่งรากฝังลึกว่าคนหนึ่งคนปราศจาก อำนาจในการพลัดพรากชะตาชีวิตของอีกคนได้
ทว่า ตอนนี้นางไม่เพียงแต่พลัดพราก ซ้ำยังใช้ วิธีอันแสนอำมหิตที่สุด
ดังนั้น นางกำลังหวาดกลัว หวาดกลัวปีศาจร้าย ในร่างของตนเอง!
ความหลวดกลัวของนาง ทำให้เขาระทมใจ นาง กลายเป็นเช่นนี้ ก็เพราะเขา! เพื่อเขาแล้ว นางเต็มใจ ให้ตนเองด่างพร้อย จากมนุษย์แปรเป็นสิ่งที่คลับ คล้ายกับปีศาจร้ายตนหนึ่ง!
เขาเป็นชายชาตรี เป็นถึงอ่องอู่เสวียนที่อยู่ใน ตำแหน่งสูงส่ง สิ่งที่น่าเศร้ากลับคือการทำให้หญิงที่ ตนใส่ใจใช้วิธีเช่นนี้ในการปกป้องเขา!
โม่จื่อเฟิงค่อยๆ บีบกุมมือของหลินซีนเยียน ดุจ ว่าได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทว่าแรงเคลื่อนไหวบน มือนั้นกลับเป็นเพียงแรงอ่อนโยนเท่านั้น เขาต้องการ ให้แรงนี้สลายไขข้อของตัวนางเอง ทว่ากลับเกรงจะ
ใช้แรงมากไปจนนางได้รับบาดเจ็บ
“ซีนเยียน! ข้ารักเจ้า!” โม่จื่อเฟิงสะอื้น หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่บริเวณขอบตาราวกับจะมี ของเหลวใสผะผ่าวแวบมาก่อนจะสลายไป
รัก เป็นถ้อยคำที่แสนหนักอึ้งและหรูหรา เขาใน อดีตเคยคิดว่าทั้งชีวิตของเขามิอาจจะมีความเกี่ยว พันใดๆ กับคำๆ นี้ ทว่าปัจจุบันยามที่เห็นว่าหญิงนาง นี้ทำทุกสิ่งเพื่อเขา เขากลับเอ่ยคำว่า “รัก” คำนี้
เสมือนว่าหลินซีนเยียนได้ยินอะไรสักอย่าง เขี้ยวฟันที่ขบกัดแน่นตลอดในที่สุดก็ค่อยๆ คลายลง ทว่าสีหน้าของนางยังคงทึนทึบอยู่ไม่น้อย ราวกับไม่ ได้สดับฟังอันใดแม้แต่น้อย
เห็นว่านางผละปาก โม่จื่อเฟิงกอดนางขึ้นมาแล้ว นำตัวออกมาให้ห่างจากร่างไร้วิญญาณของอวิ๋น เสี่ยวยิงโดยไม่ต้องยั้งคิด เขาหามปีกของนางมาวาง ลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย กลับพบว่าในปากของ นางยังมีเศษชิ้นเนื้อหลงเหลืออยู่
หัวคิ้วของเขาขมวดปมแน่น เอื้อมนิ้วอันยาวงาม เข้าไปในปากของนาง ควักเอาเศษชิ้นเนื้อนั้นออกมา ให้นาง จากนั้นหยิบเอาอาภรณ์ของตนที่อยู่บนพื้น เช็ดทำความสะอาดโลหิตสดตรงมุมปากให้นาง
หลินซีนเยียนยังคงนิ่งพื้นที่อ ราวกับยังไม่ได้สติ กลับมา กระทั่งยามที่โม่จื่อเฟิงเทน้ำกลั้วปากหมาย จะป้อนนาง ฉับพลันนางถอยร่นไปด้านหลังด้วยความหวาดเกรง ชี้ไปยังร่างไร้วิญญาณของอวิ๋น เสี่ยวยิงคำรามเสียงต่ำปนแหบพร่า “ข้ากัดนาง ตาย!”
“อืม นางสมควรตาย!” โม่จื่อเฟิงดึงนางที่สั่น ระริกเข้าสู่อ้อมอก
หลินซีนเยียนเงยหน้ามองเขาอย่างล่องลอย สายตาที่ไร้จุดยึดเหนี่ยวในที่สุดก็ค่อยๆ รู้ตื่นขึ้นมา ขณะที่ในที่สุดนางก็ดึงสติกลับมามองบุคคลเบื้อง หน้าได้ชัดเจนนั้น ก็ร่ำไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้น ไม่อยู่
“โม่จื่อเฟิง! โม่จื่อเฟิง! ท่านให้นางแตะต้องตัว ท่านได้อย่างไร! ทำได้อย่างไร!” ในสมองของนาง ละฉากก่อนหน้าตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เลย
ถึงแม้อวิ่นเสี่ยวยิงตายไปแล้ว ทว่าฉากฉากนั้น กลับเป็นความจริง เรื่องที่เกิดขึ้นของเขาและนาง ล้วนเป็นเรื่องจริง!
หลินซีนเยียนรู้สึกได้ถึงความกรีดแทงที่จมดิ่ง ในขั้วหัวใจ คว้าท่อนแขนของโม่จื่อเฟิงพลางใช้แรง บีบรัด เล็บมือจิกลึกเข้าสู่ผิวหนังของเขา นางกลับ ไม่รู้สึกเลยสักน้อย อย่างมากต่อให้จิกลึกลงไปอีก ล้วนถอนเอาความโกรธแค้นที่ลึกสุดใจของนางออก มามิได้
“ท่านให้นางแตะต้องตัวท่านได้อย่างไร! ท่าน ท่านเป็นของข้า…”คำตะโกนเสียงสุดท้าย หลินซีน เยียนร้องไห้กระซิกขึ้นมา นางร่ำไห้อย่าง ระส่ำระสาย ทว่า ความระส่ายเช่นนี้กลับทำให้ในใจ ลึกๆ ของคนร้าวรานได้มากที่สุด
โม่จื่อเฟิงเห็นนางที่เป็นเช่นนี้ นัยน์ตาทั้งสอง พลันขรึมลง ราวกับขณะหนึ่ง นัยน์ตาของเขาไม่ อาจมองเห็นสรรพสิ่งใดๆ ได้อีกแล้ว
“ซีนเยียน…เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว หากว่าเจ้าข้าม ผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปไม่ได้จริงๆ ก็ฆ่าข้าเถิด” มือ ของโม่จื่อเฟิงที่จับไหล่ของนางไว้ค่อยๆ ลดลง ยาม ที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา เขาจริงจังและขึงขังนัก
หลินซีนเยียนมองเขาอย่างทีึ่งงั้น ครู่ต่อมา นาง จึงส่ายศีรษะ แผดเสียงอย่างรวดร้าว ผลักเขาออก ด้วยมือเดียวก่อนจะวิ่งออกไปยังทิศทางของประตู ห้อง
นางถลาเข้าสู่กลางสายฝน หยาดฝนเลือนราง การมองเห็น นางมองหนทางข้างหน้าไม่ชัด นางล้ม คลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน และยังตะเกียกตะกายไป ต่ออย่างนับครั้งไม่ถ้วยเช่นกัน
ก็ไม่รู้ว่าวิ่งมาเนิ่นนานเพียงใด นางล้มเซลงบ นพื้น นอนแผ่มองฟ้า มองดูหยาดฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าไม่ขาดสายและกระเซ็นสาดสี่ทิศ มีหยาดฝน บางเม็ดที่ตกกระทบเข้าในดวงตาของนาง ยิ่งทำให้ การมองเห็นของนางพร่าเลือนขึ้นไปอีก
โลกนี้ ที่แท้ ไม่รู้เวลาใดคงหลงเหลือเพียงความ เลือนรางอย่างขาวโพลนก็เท่านั้น
“โม่จื่อเฟิง จากนี้ จะให้ข้ารักท่านต่อไปเช่นไร…” ในวิญญาณของนาง มีมลทินไปแล้ว เรื่องราวบาง อย่าง ต่อให้เรื่องเกิดอย่างมีเหตุผล ทว่าเกิดขึ้นแล้ว ก็คือเกิดขึ้นแล้ว ดุจดั่งรากเหง้า แทรกซึมเข้าสู่ขั้ว หัวใจชั่วนิรันดร์ ถอนไม่ขึ้น กลับไร้หนทางมองข้าม ไปได้
ในราตรีของวันนั้น นางไม่รู้ว่าหน้ามืดไปได้เช่น ไร รู้เพียงแต่ขณะที่นางได้สติฟื้นขึ้นมา ตนก็ได้นอน อยู่บนเตียงในสวนหลักของจวนอู่เซวียนอ่องแล้ว
พอนางหันหน้าไปก็มองเห็นเสี่ยววี่จิ่งนี่นอนอย่าง เงียบสงบอยู่ข้างกายนาง ยังมีชายที่รูปร่างกำยำนั่ง อยู่ข้างเตียง
นั่นคือโม่จื่อเฟิงที่นางยังไม่เคยเห็นมาก่อน อ๋อง อู่เสวียนที่มีบารมีและเย็นชาตามอย่างตำนานกล่าว มักจะสง่างามเสียจนทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้ ทว่า ชายเบื้องหน้านี้ บริเวณคางเต็มไปด้วยหนวดเครา เบ้าตาหล็กดวงตาไร้แวว แม้กระทั่งริมฝีปากยังแห้งกรัง เขาแค่สวมอาภรณ์ตามอำเภอใจหนึ่งตัว ราวกับจัดการไม่ทัน บนลำคอของเขายังคงมีร่อง รอยของคราบเปอะโคลนตม
“เจ้าฟื้นแล้ว…” พอโม่จื่อเฟิงเอ่ยปาก น้ำเสียงก็ แห้งหยาบทำให้คนรู้สึกทนฟังไม่ไหว
หลินซีนเยียนทำเพียงเหลือบมองเขาเพียงแวบ เดียว ก่อนจะหมุนทิศทางเป็นหันหน้าด้านข้างให้ นางหลับตาลง ไร้ซึ่งคำตอบ ประหนึ่งไม่อยากมอง เขาอีก
“ซีนเยียน..” ในน้ำเสียงโม่จื่อเฟิงมีเสียงสะอื้นที่ ตัวเขาเองล้วนไม่ได้รับรู้
หลินซีนเยียนเงียบนิ่ง ราวกับไม่มีท่าทีจะเปิด ปาก แม้กระทั่งเสี่ยววี่จิ่งที่หายใจอี๊ดเอี๊ยดอยู่ข้าง กาย ก็ยังมิอาจเรียกความสนใจจากนางไปได้แม้สัก น้อย
โม่จื่อเฟิงทำเพียงนั่งอย่างเงียบสงบอยู่ข้างเตียง ราวกับรอมานานเป็นศตวรรษ หลายต่อหลายครั้ง เขาทำราวกับจะปริปาก ทว่ามองแผ่นหลังอย่างแสน ร้าวเยียบของหลินซีนเยียน เขาก็กลืนคำพูดกลับลง ไป
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากเห็นข้า เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เจ้า…พักผ่อนเถิด” โม่จื่อเฟิงล้วนดูแร้นแค้น ราวกับระยะเวลาเพียงคืนเดียวก็ผอมโซลงไปมาก เขายัน กายขึ้นยืน สบมองหลินซีนเยียนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายจากไป
ภายในห้องสงบเงียบลงอีกครั้ง หลินซีนเยียน หันศีรษะไป เห็นเพียงประตูห้องที่ปิดสนิทและความ เงียบเชียบของห้องทั้งห้อง