ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 388
ตอนที่ 388 เขาจากไปแล้ว
หญิงชราพยุงหลินซีนเยียนขึ้นมา หลินซีนเยียนกัดกรามเอ่ยกับหญิงชรา “ท่านยาย รบกวนท่านประคองข้าถึง หน้าประตูดูสักหน่อยเถิด ข้ามาด้วย กันกับศิษย์พี่ของข้า เขาไม่อาจ สาบสูญกะทันหันได้!
“อัยยะ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ ยังไม่ เชื่อคำยายแก่อย่างข้าอีกหรือ ข้าแก่ จนอายุปูนนี้แล้ว ไม่อาจโกหกเจ้าได้ หรอก หากว่าเจ้าอยากไปดูจริงๆ เช่น นั้นก็ไปดูเองเถิด” หญิงชราเป็นคน จิตใจดีคนหนึ่ง เห็นว่านางดึงดันเช่นนี้ จึงพยุงนางเดินไปทางหน้าประตู นี่เป็นสวนเล็กๆ ที่แสนธรรมดา แห่งหนึ่ง ดูออกว่ามิใช่ครอบครัวหนึ่ง ที่มั่งคั่ง ในมุมของสวน คนแก่อายุ ประมาณห้าหกสิบปีกำลังถือไม้กวาด เก็บกวาดหิมะ มองเห็นว่าทั้งสองออก มา จึงวางไม้กวาดลงแล้วกล่าวกับ หญิงชราคนนั้น “เหตุใดท่านจึง ประคองนางออกมาแล้ว? ร่างกายนาง อ่อนแอ ท่านก็มิใช่นางได้พักผ่อน มากๆ”
“ข้าอยากให้นางออกมาเสียที่ใด กัน ไม่ใช่ว่านางพูดว่าศิษย์พี่มาด้วย กันกับนาง ดังนั้นจึงอยากออกมาตา มหาคน ข้ายังจะมีวิธีอื่นอีกหรือ” หญิง ชราเองก็น้อยเนื้อ
ชายชราคนนั้นได้ฟัง ก็กล่าว เกลี้ยกล่อม “แม่นาง เป็นชายแก่อย่าง ข้าที่ช่วยชีวิตเจ้าเข้ามา ตอนนั้นข้าไม่ เห็นว่าข้างกายเจ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย จริงๆ เจ้าจำผิดแล้วหรือไม่ ศิษย์พี่ ของเจ้าอาจจะทอดทิ้งเจ้าไปแล้วหรือ ไม่”
“เป็นไปไม่ได้! ” ดวงตาของหลิน ซีนเยียนรื้นน้ำตาออกมา ศิษย์พี่ของ นางตายไปแล้ว ร่างไร้วิญญาณอัน หนึ่ง จะเดินหายไปเองได้อย่างไรกัน ดังนั้นศิษย์พี่จะต้องยังอยู่บนถนนที่ นางมา จะต้องยังอยู่แน่
นางบอกตัวเองเช่นนี้ เดินไปทาง หน้าประตูอย่างดื้อรั้น
คนแก่ทั้งสองสบมองกันแวบหนึ่ง ต่างก็ส่ายหน้า แต่กลับยังตามนาง ออกจากสวนมาด้วยกัน
ปากประตูสวน ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากกองหิมะ แม้กระทั่งรอยเท้าที่ นางเดินผ่านเมื่อคืนวานก็ล้วนสาบสูญ มองไม่เห็น ดวงตาของหลินซีนเยียน ยิ่งแดงก่ำขึ้น สะอึกสะอื้นอยู่ครู่ สาว เท้าเดินไปยังทิศทางของเรือนพัก แขก นางเชื่อมั่น ศิษย์พี่จะต้อง ตกหล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งบนถนน
“อัยยะ แม่นาง เจ้าดื้อรั้นเสียจริง” ชายชราพยักหน้าติดต่อกัน แต่กลับไม่ วางใจมองนางเดินไปเช่นนี้ ทำได้ เพียงเอ่ยกับหญิงชรา “ยายเฒ่า เจ้า ตามนางไปดูสักหน่อยเถิด” “ไม่ต้องให้ท่านพูดข้าเองก็จะ ตามนางไปอยู่แล้ว ท่านกลับไปทำ อาหารก่อนเถิด” หญิงชราพยักหน้า ให้ชายชรา
หลินซีนเยียนสัญจรเดินไปตาม หนทางที่นำไปสู่เรือนพักแขก ยิ่งเดิน หัวใจก็ยิ่งเหน็บ ถึงแม้จะมีแสงแดด ทว่าเนื่องจากความเกี่ยวโยงของ พะเนินหิมะ คนสัญจรบนถนนกลับไม่ มากนัก มีคนจำนวนมากกำลังเก็บ กวาดกองหิมะที่หน้าประตูของตนเอง นางเดินพลางถามพลาง แต่กลับไม่มี แม้สักคนที่พบเห็นร่างไร้วิญญาณของ เซียวผ่าน
ครึ่งชั่วยามให้หลัง หลินซีนเยียน มายังเรือนพักแขกที่โม่จื่อเฟิงและคน อื่นๆ อาศัยอยู่ หน้าประตูเรือนพัก คู่ สหายสองนายกำลังทำความสะอาด ตะกรันน้ำแข็งบนตะเกียง บนกองหิมะ หน้าประตูยังทิ้งร่องรอยของรอยเท้า ที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ราวกับมี ขบวนคนจำนวนมากเคยเดินผ่าน
หลินซีนเยียนยืนอยู่หน้าประตู เรือนพักแขก หยุดย่างก้าวลง ประหนึ่งไม่กล้าเข้าใกล้แม้ครึ่งส่วน
“แม่นาง ท่านเสาะหามาตลอด ถนนเส้นนี้แล้ว แต่กลับหาไม่พบแม้ ข่าวคราวเพียงสักนิด ข้าดูว่าศิษย์พี่ ของเจ้านาง จะต้องไปเองแล้วเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นพวกเรากลับไปเถิด ถึงแม้ ข้าและเจ้าจะไม่ใช่มิตรไม่ใช่ศัตรู แต่ หากว่าลูกสาวข้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ น่า จะอายุอานามประมาณเจ้า ดังนั้นยาย แก่อย่างข้าไม่วางใจให้เจ้าเดินต่อไป อีกแล้วจริงๆ” หญิงชราถอนหายใจ ยาว อดไม่ได้จะกล่าวเกลี้ยกล่อมอีก
หลินซีนเยียนพยักหน้าให้หญิง ชราเล็กน้อย ปลายจมูกค่อนข้างปวด แสบ “ขอบคุณท่านยาย
หญิงชราส่ายหน้า เตรียมจะดึง นางเดินกลับ
“รอประเดี๋ยว ข้ายังนึกอยากถาม เป็นครั้งสุดท้าย” หลินซีนเยียนลูบมือ ของหญิงชรา คราวนี้จึงหมุนกายเดิน ไปยังทิศทางของเรือนพักแขก มาถึง หน้าประตู นางเอ่ยถามกับเด็กรับใช้ที่ กำลังทำความสะอาดตะเกียงทั้งสอง “พี่ชายทั้งสอง รบกวนท่านช่วยข้า รายงานแขกที่ปิดล้อมที่พักในเรือน พักแขกแห่งนี้ด้วย บอกว่าหลินซีน เยียนมีเรื่องอยากไถ่ถาม
ถึงแม้นางจะไม่นึกอยากติดต่อ กับโม่จื่อเฟิงอีก ทว่าเพื่อเซียวผ่าน นางเต็มใจละทิ้งทิฐิทั้งมวล คนของโม่ จื่อเฟิงนั้นแผ่กว้างขวาง จะต้องรู้ได้ แน่ว่าร่างของเซียวผ่านอยู่ที่ใด นาง ติดหนี้เซียวผ่านไปชั่วชีวิต ไม่อาจให้ หลังจากเขาตายแล้วยังจะไม่สามารถ จากไปอย่างสงบได้อีก
“ท่านต้องการหาคนเหล่านั้นที่ เมื่อคืนวานปิดล้อมเรือนพักแขกเอา ไว้” เด็กรับใช้ถาม “ใช่” หลินซีนเยียนตอบรับ กลาง ฝ่ามือมีเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาโดย ไม่รู้ตัว
เด็กรับใช้ยิ้มขมขื่น “เช่นนั้นท่าน มาไม่ได้จังหวะเสียแล้ว เช้าวันนี้คน เหล่านั้นจากไปแล้ว ตอนนี้หนอ เหมือนว่าจะผ่านด่านตรวจคนออกไป แล้วกระมัง คนเหล่านั้นเดิมมทีก็มิใช่ คนแคว้นหมัน ได้ยินคนในพูดตอนที่ สนทนากันก็เอ่ยถึงเรื่องผ่านด่านตรวจ ออกมา”
“ไปแล้ว…” หลินซีนเยียนจึมงำ หัวใจก็พลันว่างเปล่าลงถึงเพียงนั้น
เขา จากไปเช่นนี้แล้วหรือ?
“แม่นาง? ” หญิงชราเองก็เดิน ตามเข้ามา “ญาติของเจ้าก่อนหน้าเคย พักอยู่ใรเรือนพักแขกนี้หรือ”
หลินซีนเยียนดึงสติกลับมา ส่าย หน้า แต่กลับไม่ได้มีกะใจจะเอ่ยคำ ทำ เพียงหมุนกายสาวเท้าออกไปอย่าง เฉยชา
ไร้โม่จื่อเฟิงแล้ว ไร้เซียวผ่าน แล้ว ระหว่างโลกและสรวงสวรรค์นี้ ยังมีเพียงผืนแผ่นแห่งนางหลินซีน เยียนกายลำพังหรือ ศีรษะ เจ็บปวด เป็นระลอก หลินซีนเยียนนวดวนขมับ ลากประคองเอาความชินชาของ ฝ่าเท้าเดินไปยังข้างหน้า
อาจเพราะกังวลทางอารมณ์มาก เกิน นางเพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว เบื้อง หน้าก็มือสนิทและเป็นลมพับไป ตอนที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าได้มิด ลงแล้ว
ภายในสวนไม่ได้จุดไฟ มีเพียง เปลวไฟเป็นระยะที่อยู่ในเตาเผาความ ร้อนที่ใช้กลางสวนเท่านั้น
หญิงชราที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงอาศัย แสงไฟเป็นระยะนั้นมองเห็นว่านางฟื้น ขึ้นมา คราวนี้จึงล้วงหินติดไฟไปจุด ตะเกียงหินน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะ ภายใน ครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยแห่งนี้ ไม่ใช่ ว่าจะสามารถจุดไฟฟุ่มเฟือยได้ใน ทุกๆ วัน
“อัยยะ แม่นาง เหตุใดเจ้าต้อง เศร้าโศกปวดใจ ร่างกายเป็นของ ตนเองทั้งนั้น เจ็บแล้วพังแล้ว มีเพียง ตัวเองเท่านั้นที่ทนทุกข์” หญิงชราพูด อย่างขมขื่นหัวอก ก่อนยกโจ๊กใสด้วย หนึ่งขึ้นมา รีบกินของสักหน่อยเถิด ทั้งวันทั้งคืนมานี้เจ้ายังไม่ทันได้กิน ของอะไรเลย หากระก๋าทุกข์เช่นนี้ต่อ ไปร่างกายก็จะอดไม่ไหวเอา ”
มีบางครั้ง หลินซีนเยียนรู้สึกโดย แท้ว่าชาติก่อนไม่รู้ว่าท่ากรรมดีอันใด ไว้มากมายกันแน่ จึงส่งผลให้ชาตินี้ ยามพบความสิ้นหวังในทุกๆ ครั้งก็จะ พบเจอคนดีแบบนี้อยู่ร่ำไป
กลางหัวใจของนางถึงแม้เจ็บ ปวด ทว่ากลับรับรู้ สําหรับหญิงชรา แปลกหน้าที่เป็นคนดีเช่นนี้ นาง สมควรตื้นตันทั้งอก มิใช่ว่าจะเอา อารมณ์และสภาพจิตใจของตนเองไป ระบายใส่พวกนาง
ดังนั้น นางผืนแย้มยิ้มออกมา อย่างยากลำบาก หลังจากกล่าว ขอบพระคุณหญิงชราแล้วจึงรับโจ๊กใส มา
มองนางกินโจ๊ก หญิงชรามีสีหน้า ปลอบโยน “ใช่ ใช่ กินมากสักหน่อย จึงจะมีเรี่ยวแรง มนุษย์หนอ ใช้ชีวิต ตลอดทั้งชีวิต ทุกเรื่องราวจะสมหวั่ งดั่งปรารถนาได้เสียที่ใดกัน ร่างกาย แข็งแรง ก็เพียงพอแล้ว”
“อื้อ” หลินซีนเยียนตอบรับ เพียง แต่ความระทมระหว่างขนงเนตรกลับ ไม่ได้มลายลงในท้ายที่สุด “ใช่แล้ว แม่นาง ยังไม่ทันได้ถาม ว่าเจ้าชื่ออะไรเลย” หญิงชราคุย จิปาถะกับนาง
“ข้าชื่อหลินซีนเยียน” หลินซีน เยียนตอบกลับอย่างนอบน้อม แต่คิด ไม่ถึงว่าตอนที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา หญิงชราคนนั้นเผยสีหน้าแห่งความ อัศจรรย์สุดขีด
“หลินซีนเยียน?” หญิงชราเบิก ตากว้างอย่างฉงน รีบเอ่ยถามย้ำ “เช่น นั้นเจ้าคงรู้จักลูกของคนที่ชื่อหลินอี้ เซิง? เขาว่าเขามีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ หลินซีนเยียน”