ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 436
ตอนที่436 คนที่มาเป็นอันดับแรก
ราตรี ดวงดาวไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาราวิบวับราวกับรับรู้ไม่ถึงฝนเลือดคะนองในยามแสกโดยสิ้นเชิง บางที ในสายตาของพระเจ้า ฝนเลือดเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งจำเป็นสำหรับช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ก็เท่านั้น
แต่ว่า ท่ามกลางกระบวนการส่งเสริมของสังคมทั้งยุค ฝนเลือดเช่นนี้เมื่อหยดลงบนปลายศีรษะของทุกๆ คน ก็กลายเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ได้
หลินซีนเยียนและคนอื่นถูกโจว่เฉิงวางให้อยู่ภายในตำหนักหนึ่ง ว่ากันว่าวันพรุ่งจะเป็นวันพระราชพิธีสมภพอี้เซิงขึ้นฉลองราชสมบัติอย่างเป็นทางการ วันเช่นนี้เมื่อต้องเผชิญกับการสังเวย กลับไม่ใช่วันมงคลแต่อย่างใด แต่ว่าโจว่เฉิงไม่แยแส อย่างไรเสียคนที่ขึ้นครองราชย์ไม่ใช่เขา ดังนั้นจะมงคลหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่เขาต้องการก็แค่การล้มล้างราชวงศ์ประเทศหมันด้วยความเร็วสูงสุดก็เท่านั้น
ราตรีนี้ สำหรับคนจำนวนมากแล้วล้วนเป็นคืนที่นอนไม่หลับ
“พี่สาว ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่ไปนอนอีกเล่า” อี้เซิงเห็นว่านั่งอยู่บนบันไดหินใต้ระเบียงยาวตามใจชอบ จึงหยิบเสื้อกันลมมาห่มให้นางอย่างละเมียดละไม
หลินซีนเยียนหันมอง กระชับเสื้อกันลมบนหัวไหล่ให้มั่น ก่อนชี้ตรงตำแหน่งที่ว่างข้างกาย “นั่งลงคุยกันสักหน่อยสิ”
“อื้อ” อี้เซิงมักจะว่าง่ายที่สุดยามอยู่ต่อหน้าหลินซีนเยียน เขาไม่ได้ปัดฝุ่น หย่อนบั้นท้ายนั่งลงข้างๆ นาง
การกระทำกระด้างเถรตรงนี้กลับทำให้หลินซีนเยียนหัวเราะเบาๆ “เจ้าน่ะ ช่างไม่เหมือนคนที่กำลังจะขึ้นครองราชย์เลยสักนิด”
“ไม่ใช่ไม่เหมือน เดิมทีไม่ควรเป็นข้าอยู่แล้ว” อี้เซิงหัวเราะตามนาง “ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ใครใคร่ได้คนนั้นก็เอาไป ชั่วชีวิตนี้ข้าขอเพียงคุ้มกันพี่สาวและเสี่ยววี่จิ่งไม่ให้รับอันตรายก็เท่านั้น”
หลินซีนเยียนงุนงง ยื่นมือไปลูบกระหม่อมของเขา “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า เจ้าควรจะมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง ใครก็ไม่อาจกลายเป็นเหตุผลและเป้าหมายของชีวิตเจ้าได้ เจ้าก็คือเจ้า ภายหน้าก็จะต้องมีชีวิตที่สุขสบาย ส่วนข้าและเสี่ยววี่จิ่ง…วางใจเถิด ทุกคนล้วนมีทางชีวิตเป็นของตนเอง ในทางเดินชีวิตมักมีทั้งเรื่องสมปรารถนาและไม่สมปรารถนาทั้งสิ้น”
อี้เซิงไม่ได้เอ่ยคำ ทำเพียงแย้มยิ้มอย่างว่าง่าย แต่แววมุ่งมั่นกลางดวงตานั้นไม่ใช่ว่าคำพูดไม่กี่คำของหลินซีนเยียนจะเปลี่ยนแปลงมันได้
“พี่สาว ตอนนี้พวกเราถูกกักในที่แห่งนี้ วันพรุ่งข้าก็จะครองราชย์แล้ว หลังจากข้าปราบดาภิเษกแล้ว น่าจะเป็นช่วงเวลาที่โจว่เฉิงกวาดล้างผู้คัดค้านในราชสำนัก รอเขาเก็บกวาดเสร็จแล้ว ข้าเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ท่านว่าสามขั้วอำนาจใหญ่จะมาได้เมื่อไรกันเล่า” อี้เซิงพร่ำบ่นตามอำเภอใจ
หลินซีนเยียนลอบทอดถอนใจ เงยหน้ามองไปทางท้องนภาซึ่งพร่างพรายด้วยดวงดาราคณานับ “ในเมื่อเป็นถึงตระกูลขุนนางเร้นลับที่สามารถเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ได้อย่างสิ้นเชิง ทุกสถานที่ควรจะมีคนของพวกเขากระมัง ข้าคิดว่า…เผลอๆ คืนนี้ พวกเขาก็จะถึงได้แล้ว?”
คืนนี้?
อี้เซิงไม่ปักใจเชื่อ รกรากเดิมของต้นตระกูลเร้นลับบางแห่งก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถึงแม้ที่นี่เองก็มีคน ทว่าต้องส่งสาส์นกลับไป จากนั้นจึงย้ายคำสั่งและกำลังพลมาถึงที่แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้ข้ามคืน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่ บางครั้ง เรื่องราวมักจะนอกเหนือความคาดหมาย
ในยามวิกาลวันนี้ ก็มีคนมาจริงๆ ด้วย
ก็ครั้นหลินซีนเยียนและอี้เซิงนั่งดูดาวหนึ่งชั่วยามค่อนข้างพร่า เตรียมจะกลับห้องแล้ว ชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวบนหลังคาห้องกลางเวหาพร้อมคนหนุ่มหลายนาย ภายใต้แววตาตกตื่นของหลินซีนเยียนและอี้เซิง พวกเขาก็ร่อนลงภายในสวน
ขณะนั้นสวี่ห้าวกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง จากวรยุทธ์ของเขา ย่อมรับรู้ถึงคนเหล่านี้เป็นธรรมดา ดังนั้นจึงโถมออกมายืนด้านหน้าของหลินซีนเยียนทั้งสองแต่แรก
ชายวัยกลางคนนั้นเห็นว่าสวี่ห้าวออกมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้ บนใบหน้าเผยแววตระหนกออกมา “คิดไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีปรมาจารย์แบบนี้อยู่”
“เหตุใดจึงเป็นเจ้า” คนที่เอ่ยคำไม่ใช่สวี่ห้าว กลับเป็นหลินซีนเยียน หลังจากหลายวันมานี้ หลินซีนเยียนแม้จะเป็นหญิง แต่กลับกลายเป็นกระดูกสันหลังของใครหลายๆ คน
เพียงแต่ สิ่งที่นางคาดคิดไม่ถึงคือ คนที่มาเป็นอันดับแรก จะเป็นหลี่ห่าย อาของหลี่อวิ๋นซ่าน คนที่เคยสัญญากับหลี่อวิ๋นซ่านว่าจะช่วยเขากลายเป็นต้นตระกูลหลี่คนนั้น
และหลี่ห่ายเองก็คาดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับหลินซีนเยียนอีกครั้งในที่แห่งนี้ เขามุ่นคิ้วขบคิด เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ที่นี่คือราชวังของประเทศหมัน ที่สวนนี้ถูกปิดล้อมก็เพราะวันพรุ่งจะสถาปนาสายโลหิตประเทศหมัน…” เขามองอี้เซิงที่อยู่ด้านข้างของหลินซีนเยียน ราวกับตระหนักถ่องแท้ ก่อนกล่าว “เขาก็คือสายโลหิตประเทศหมัน? เจ้าเกี่ยวพันอะไรกับเขา”
“เขาคือน้องชายของข้า เป็นน้องชายแท้ๆ ที่มากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีก!” หลินซีนเยียนกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“แม่นางหลินช่างทำให้แซ่หลี่ต้องมองใหม่แล้วเสียจริง ไม่เพียงแต่ทำให้วีรบุรุษมากมายขนาดนั้นหลบอยู่ใต้กระโปรงทับทิมของเจ้า แม้กระทั่งสายโลหิตของประเทศหมันก็ยังตกเข้าสู่ย่าม…” ยามที่หลี่ห่ายเอ่ยคำ น้ำเสียงเจือแววเสียดสีอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาอยู่ยศถาสูงศักดิ์ในตระกูลหลี่ แต่หลินซีนเยียนกลับปฏิเสธจะเป็นนายหญิงของตระกูลหลี่ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว หลินซีนเยียนมิใช่คนอัปยศคนหนึ่ง
สวี่ห้าวได้ยินน้ำเสียงของเขาไม่ประนอม สีหน้าก็ปั้นยาก จึงหันหน้ามาถามหลินซีนเยียน “ท่านรู้จักเขา? ตัวคลายหมาในปากออกมาไม่ได้”
“รู้จัก เขาคือคนของตระกูลหลี่ หลี่ห่าย” หลินซีนเยียนตอบ กลับไม่ได้มีท่าทีพูดแทนหลี่ห่ายแต่อย่างใด แต่ไรมานางไม่เคยเป็นฝ่ายยั่วยุผู้อื่น แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เอาโทษคนอื่น
“เดิมทีหัวหน้าตระกูลยังว่าการเมืองประเทศหมันเปลี่ยนไป ให้ข้ามาเจรจากับสายโลหิตสันตติวงศ์ประเทศหมัน หากว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอันได้เปรียบที่เหมาะสมล่ะก็ ยังสามารถร่วมมืออันใดได้ ตอนนี้ดูท่าทางของแม่นางแล้ว เห็นชัดว่ามีไผ่ในกำมือ คงไม่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเราแล้ว เช่นนั้นก็เอาเถิด พวกเราไปก่อน…” หลี่ห่ายแค่นเสียงเย็น ดวงตาจ้องเบิก หมุนกายเตรียมจะไป
แน่นอนว่าหลี่ห่ายมองทะลุสถานการณ์ในปัจจุบันของหลินซีนเยียนและคนอื่นๆ ล้วนเป็นหนูติดจั่นแล้ว ยังมีอภิสิทธิ์การเลือกเสียที่ไหน ดังนั้นเขาคิด ขอเพียงเขาแสดงท่าทีจะจากไป พวกหลินซีนเยียนก็ร้อนรน ต้องเรียกเขาเอาไว้แน่ ให้เขาอยู่ อ้อนวอนเขา แต่ว่า เขาหมุนกายเดินไปไม่กี่ก้าว กลับยังคงไร้ซึ่งเสียงยื้อจากด้านหลัง
ยามที่เดินใกล้ถึงประตูสวนแล้ว ในที่สุดเขาก็อดเรียกสติไปมองไม่ได้ พลางถาม “พวกเจ้า ไม่ยื้อข้า?”
หลินซีนเยียนยิ้มอย่างสงบเย็น ชี้ไปที่หลังคาห้อง “หากท่านนึกอยากไปจริงๆ ก็ควรจะไปทางหลังคาห้อง หน้าประตูสวนมีองครักษ์มากมายขนาดนั้น คงไม่ใช่ทางที่ฉลาด ท่านทำอากัปกิริยาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจือแววรอให้พวกเราเอ่ยปากยื้อหรอกหรือ แต่ว่าเสียดาย ในเมื่อท่านรู้แล้วว่าคนที่อยู่ที่นี่คือข้า ก็ควรรู้ ในกำมือของเขาล้วนมีของที่สามตระกูลขุนนางใหญ่เร้นลับต้องการทั้งนั้น ดังนั้น ท่านไปได้ อย่างไรคนของอีกสองตระกูลก็น่าจะกลับมาในเร็วๆ นี้แล้ว…”
ถ้อยคำเหล่านี้ของหลินซีนเยียน ทำให้สวี่ห้าวและอี้เซิงค่อนข้างฟังไม่รู้เรื่อง ทว่าหลี่ห่ายกลับเข้าใจแล้ว เขายิ้มอย่างลำบากใจ ก่อนจะถอนกลับมา รอยยิ้มนอบน้อมกว่าก่อนหน้าหลายเท่า “แม่นางหลินช่างมากด้วยเชาว์นัก ทำให้แซ่หลี่เลื่อมใส เลื่อมใส สายโลหิตที่เหลืออยู่จากราชวงศ์ประเทศหมันได้มาพบคนแข็งแกร่งเช่นนี้อย่างแม่นาง ช่างเป็นพรที่ตกทอดกันมาหลายชั่วรุ่น ถือว่าชะตาของประเทศหมันยังไม่ถือคราวล่มสลาย”