ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 448
ตอนที่448 ใช้ความตายบังคับ
“อี้เซิง อี้เซิง…” หลินซีนเยียนพลิกมืออันไร้การควบคุมไปจับข้อมือของอี้เซิงเอาไว้ กล่าวเสียงแผ่ว “เจ้ารีบบอกข้าเร็วเข้า บอกข้าว่านี่ไม่ใช่ความจริง ข้ากำลังฝันไป ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่”
“พี่สาว…” อี้เซิงทนไม่ไหวที่จะเห็นนางเป็นแบบนี้ แอบร้องไห้ไม่ส่งเสียง
หลินซีนเยียนกลับกระซิบกล่าวอย่างดื้อรั้น เพียงแต่เสียสบถในตอนท้าย ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกโศกา “นี่มันเป็นไปไม่ได้! คนอย่างโม่จื่อเฟิงนั่น จะตายได้อย่างไรกันเล่า ล้วนกล่าวว่าคนชั่วช้าอยู่ยงหมื่นปี เขาโหดเหี้ยมเสียขนาดนั้น จะตายไปอย่างง่ายดายแบบนี้ได้อย่างไรกัน ข่าวนี้จะต้องเป็นของปลอมแน่ พวกเจ้ากำลังโกหกข้าอยู่ ไม่ เป็นเขา เขาต้องรู้ว่าข้ากำลังสืบข่าวของเขาอยู่ ดังนั้นจึงจงใจพูดแบบนี้ ทำให้ข้าหาเขาไม่พบตลอดกาล ไม่อาจพบเสี่ยววี่จิ่งได้ตลอดไป…”
ชั่วขณะนั้น อี้เซิงพลันรู้สึกว่าหลินซีนเยียนช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน คนๆ หนึ่งที่เข้มแข็งมาก ยามที่ประสบกับเรื่องและคนที่ใส่ใจมากที่สุด ล้วนเปลี่ยนเป็นอ่อนแออย่างถึงที่สุด
หลินซีนเยียนเข้มแข็งมาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากลำบากแค่ไหนนางก็สามารถมองเห็นความหวังในสายตาได้ ความรู้สึกแห่งความหวังประเภทนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ละครั้งตอนที่เขารู้สึกสิ้นหวังก็ล้วนจุดประกายความปรารถนาในชีวิตของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าตอนนี้ แม้แต่ตัวนางก็ยังเริ่มสิ้นหวังแล้วจะทำอย่างไรดี
“ใช่ เขาจะต้องกำลังโกหกท่าน อ๋องอู่เสวียนเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม จะตายไปง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไรกันเล่า เขาจะต้องโกหกท่านอยู่เป็นแน่ พี่สาว…ท่านอย่าได้กังวลเลย ใจเย็นเสียก่อน ปัจจุบันนี้ข้าเป็นถึงฮ่องเต้แห่งประเทศหมันแล้ว รอให้กองกำลังของข้าเติบโตขึ้นเสียก่อน ข้าจะต้องช่วยท่านสืบข่าวคราวสถานการณ์ปัจจุบันของเขา จะต้องช่วยท่านตามหาเขา ตามหาเสี่ยววี่จิ่งให้พบจงได้ ทำให้ครอบครัวของพวกท่านอยู่พร้อมหน้ากัน จะต้องทำได้ ต้องทำได้! ท่านต้องเชื่อข้า!”
อี้เซิงเกรงว่าหลินซีนเยียนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้จิตวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงๆ ต่อไป จึงรีบกล่าวตามน้ำคำของนาง หลังจากที่เขากล่าวจบแล้วก็มองไปทางเสี่ยวหลงพลางกล่าว “เสี่ยวหลง เจ้าก็ลองพูดมาดูหน่อย จะต้องเป็นข่าวลวงโคมลอยที่ปล่อยมาจากเจ้านายของเจ้า ใช่หรือไม่”
หลังจากที่เขาดูเนื้อหาในกระดาษลายฉลุนั่นแล้ว เสี่ยวหลงเองก็อยู่ในสภาพสติเลื่อนและตื่นตระหนก แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ล้วนไม่อาจตอบสนองได้ ในกระดูกของเขา เขาไม่เชื่อว่าเจ้านายจะตายไปอย่างง่ายดายเพียงนี้ แต่ว่า เขาเองก็รู้ว่าข่าวคราวที่พิราบส่งสาส์นนำกลับมานั้นเป็นเรื่องจริง
เขาสะอื้นในลำคอ แต่กลับส่ายหน้า “ไม่ หากว่าเจ้านายยังมีชีวิตอยู่ คนที่เขียนข้อความเหล่านั้นของเจ้าพิราบส่งสาส์นนั่นก็คือเจ้านายเอง หากว่าเจ้านายตายแล้ว พิราบส่งสาส์นนี่ก็จะร่อนลงในเงื้อมมือกองลับที่พวกเราสอดแทรกไว้ในตระกูลหรง แต่ว่า ลายมือบนกระดาษฉลุในครั้งนี้ ไม่ใช่ของเจ้านาย ดังนั้น…ข่าวสารนี้กองลับนั่นเป็นคนเขียน พิราบส่งสาส์นตกอยู่ในมือของกองลับ จะต้องเกิดเรื่องกับเจ้านายแล้วแน่…”
แม้ว่าไม่เต็มใจเชื่อ ทว่าเสี่ยวหลงเป็นถึงกลุ่มคนที่โม่จื่อเฟิงปลูกฝังมากับมือตัวเอง ยิ่งยามที่ประสบกับเรื่องคอขาดบาดตาย เขายิ่งมีความสามารถในการขบคิดแบบสงบอย่างที่หาผู้ใดเปรียบไม่ได้ ดังนั้นต่อให้พูดออกมาแล้วจะเป็นการโจมตีครั้งยิ่งใหญ่ต่อผู้คนรอบด้าน เขายังเลือกที่จะพูดความจริงออกมา
หลังจากที่หลินซีนเยียนได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ทั้งกายก็ยิ่งสั่นเทาอย่างรุนแรงมากขึ้น ปากของนางก็งึมงำแผ่วเบา “เขาเกิดเรื่องแล้วจริงๆ เกิดเรื่องแล้ว…”
ดวงตาของเสี่ยวหลงก็ค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา เขากำหมัดแน่น ทำความเคารพต่ออี้เซิงและสวี่ห้าว ก่อนกล่าว “เจ้านายเกิดเรื่องแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก ไม่ว่าอย่างไร ข้าต้องกลับสู่เรือนตระกูลหรงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
เสี่ยวหลงกลับห้องแล้วหลังจากเร่งรีบเก็บสัมภาระเสร็จแล้วก็จากไป ภายในสวน หลินซีนเยียนที่อ่อนแรงอยู่ในอ้อมกอดของอี้เซิงกลับฝืนยืนขึ้นมาในตอนที่เสี่ยวหลงกำลังจะจากไป นางดึงแขนของเสี่ยวหลงเอาไว้ กัดฟันกล่าวอย่างมาดมั่น “ข้าจะไปบ้านตระกูลหรงกับเจ้า!”
เสี่ยวหลงตกใจ “แม่นางหลิน ท่านกำลังล้อเล่นอะไรอยู่!”
“ข้าเหมือนกำลังล้อเล่นอยู่หรือ?” หลินซีนเยียนแค่นเสียงเย็น กัดฟันแน่นพลางกล่าว “นอกจากข้าจะเห็นร่างของเขาด้วยตาตัวเอง ไม่เช่นนั้นข้าไม่เชื่อว่าเขาจะตายไปอย่างนี้!”
“แต่ว่าตระกูลหรงไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถไปได้ ท่านคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่อะไรกันแน่ ท่านเป็นแม่นางผู้หนึ่ง เกรงว่ายังไม่ทันได้ย่างเข้าสู่อาณาเขตของตระกูลหรงก็ถูกคนฆ่าตายแล้ว! หลายศตวรรษมานี้ เรือนตระกูลหรงไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา!” เสี่ยวหลงคิดว่าหลินซีนเยียนถูกความเศร้าโศกเล่นงานสมองไปแล้ว
หลินซีนเยียนส่ายหน้า “ไม่ เจ้าคงลืมแล้ว ตอนนี้เข้าเป็นคนที่สามตระกูลใหญ่เร้นลับกำลังแย่งตัวอยู่ เป็นคนเดียวที่สามารถเปิดกรุสมบัติลับได้ เจ้าคิดว่าตระกูลหรงยังจะปฏิเสธข้าหรือ”
เสี่ยวหลงตบฉาดเข้าที่ท้ายทอยของตัวเอง “ก็จริง ตอนนี้หากว่าท่านไป ตระกูลหรงจะต้องบริการท่านอย่างแม่นางชั้นสูง เพียงแต่…ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ท่านเพิ่งจะบรรลุข้อตกลงกับอีกสองตระกูลไปเองหรือ เรื่องรอบกายของอี้เซิงล้วนจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองตระกูลนั่นจะต้องกระตุ้นให้ท่านไปเสาะหากรุสมบัติอย่างมันทีแน่ ข้ากลัวว่าพวกเขาไม่อาจให้ท่านไปตระกูลหรงในตอนนี้…”
คำว่า “ไป” ยังไม่ทันได้เอ่ยออกจากปาก ก็เห็นหน้าประตูใหญ่ของสวนปรากฏเงาของหลี่ห่ายและหลิงหงขึ้นเสียแล้ว
หลิงหงถลาเข้ามาเบื้องหน้าของหลินซีนเยียนโยยไม่พูดไม่จาใดๆ ก่อนกล่าวอย่างบันดาลโทสะ “นังเล่นสกปรก เจ้านึกอยากเสร็จศึกฆ่าขุนพลรึ เมื่อครู่เพิ่งช่วยเจ้าจัดการเรื่องอลเวงไป ทำไม เจ้าจะไปเรือนตระกูลหรงแล้ว? ทำไม นึกอยากหลบเลี่ยงพวกเราตระกูลหลิงกับตระกูลหลี่ แล้วจะเชื่อนไมตรีกับตระกูลหรงเพียงลำพัง จากนั้นก็ไปเสาะหากรุสมบัติลับหรือ เจ้าคิดว่าพวกเราตระกูลหลิงว่าง่าย?”
และนั่นเอง ยามนี้หลินซีนเยียนมีท่าทีว่าจะไปตระกูลหรง จะกลายเป็นสายชนวนที่ทำให้ข้อพันธะขาดสะบั้นได้อย่างง่ายดายนัก
หลี่ห่ายถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีอารมณ์เดือดดาลแบบหลิงหง ทว่าการแสดงออกบนใบหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก อย่างไรเสียเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาด้านความรู้สึกส่วนบุคคลแล้ว แต่ยังเกี่ยวโยงถึงอนาคตของต้นตระกูล
หลินซีนเยียนขมวดหัวคิ้วมองไปที่คนทั้งสอง แววตากลับไม่ประนีประนอมสักนิด “ไม่ว่าพวกท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ ข้าก็จะไปตระกูลหรง! เมื่อข้ายืนยันในเรื่องที่ข้าอยากรู้ได้แล้ว ข้าจึงจะไปช่วยพวกท่านเสาะหากรุสมบัติอย่างสงบจิตได้ ไม่เช่นนั้น…”
นางยิ้มอย่างเย็นชา ตอนที่คนรอบด้านยังไม่ได้ตอบสนองนั้น นางก็ยกมือขึ้น เปิดปุ่มกำไลบนข้อมือออก เผยให้เห็นเข็มแหลม หัวเข็มจ่ออยู่ที่เส้นเลือดใหญ่ตรงลำคอของตัวเอง
“ท่าน นี่ท่านกำลังจะทำอะไร…” หลี่ห่ายมองนางอย่างตกใจ
“พี่สาว ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียวนะ!” อี้เซิงตึงเครียดเสียจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
สีหน้าของเสี่ยวหลงและสวี่ห้าวก็เผยความกังวล
หลินซีนเยียนกลับทำเพียงหัวเราะเย็นเยียบ “ข้ารู้ ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง พวกท่านไม่เชื่อข้า แต่ว่า ข้ารับรอง ขอเพียงข้าเสร็จธุระเรื่องนี้แล้วจะต้องพาไปท่านไปหากรุสมบัติลับแน่! แต่ว่า หากว่าพวกท่านไม่ปล่อยให้ข้าไปตระกูลหรงก่อนล่ะก็ ข้าจะตายมันอยู่ที่นี่บัดนี้เลยเชียว อย่างไร…ก็แค่ตายเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น…”
ในน้ำเสียงของนาง เป็นความสิ้นหวังที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้สึกถึง
อาจเพราะคำขาดของนาง ทำให้หลี่ห่ายและหลิงหงล้วนตกตะลึงยกใหญ่ ทั้งสองไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปสักพัก
เป็นหลี่ห่าย เห็นว่านางให้ความตายมาบังคับ จึงรีบออกตัวประนีประนอม “แม่นางหลิน ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่เชื่อท่านหรอก เพียงแต่เรื่องนี้ มันใหญ่โตเกินไป ข้าไม่กล้าเอาโชคชะตาของต้นตระกูลมาเดิมพันกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใดๆ ได้เลย”