ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 453
ตอนที่453 พบหัวหน้าตระกูล
ท้องฟ้าค่อยๆ อ่อนแสงลง ท่ามกลางภูเขาหิมะ ต่อให้แผ่นนภามืดสนิทแล้ว ก็สามารถมองเห็นเงาเลือนรางของปลายยอดเขาได้ หากว่ามีจันทรา ยิ่งจะสามารถทำให้ภูเขาหิมะทั้งลูกเป็นบริเวณที่อยู่ท่ามกลางแสงเรืองรองอันสว่างไสว
คืนนี้ มีดวงจันทรา ในดินแดนสงบอันไกลโพ้นแห่งตระกูลหรงนี้ไม่ว่าจะอยู่หนแห่งใดก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืนท่ามกลางภูเขาหิมะได้ หากว่าเป็นคนทั่วไป ได้เห็นฉากภาพสะคราญตาก็ยากจะเลี่ยงการอุทานออกมาได้ ทว่าคนของตระกูลหรงเห็นมามากโขแล้ว ดังนั้นภายในระเบียงยาวที่ใกล้กับฝั่งมรกต แทบจะไม่มีเงาคน ในส่วนของฉากงดงามเช่นนี้ คนของตระกูลหรงไม่รู้สึกว่ามีความน่าอัศจรรย์มากมายเท่าใดนัก
เด็กสาวถือตะเกียงอันหนึ่งเดินนำหน้า เสี่ยวหลงและหลินซีนเยียนเดินตามหลัง ตอนที่ใกล้จะเข้าสู่เรือนหลักตระกูลหรง เด็กสาวก็ชะงักกึก “ด้านหน้านั่นข้าไม่ไปแล้ว เดินไปข้างหน้าอีกสักหน่อยก็เป็นสวนของหัวหน้าตระกูลแล้ว พวกท่านนึกอยากพบพี่หนีหว่าน ก็ต้องตัดผ่านสวนหัวหน้าตระกูลไปคุกใต้น้ำ”
“ไม่มีปัญหา อย่างไรเสียพวกเรามายังตระกูลหรงแล้ว ก็ต้องไปพบหน้าค่าตาหัวหน้าตระกูลหรงสักหน่อย” หลินซีนเยียนกล่าวเสียงเจือจาง ไม่ได้เป็นกังวลว่าหัวหน้าตระกูลนั่นจะทรมานนางเลยสักนิด อย่างไรเสีย ตอนนี้ในมือของนางก็ยังมีไพ่ตายอยู่
ยามที่มาถึงสวนหลักเรือนอาศัยของหัวหน้าตระกูลหรง ได้มีผู้ดูแลนายหนึ่งรออยู่หน้าประตูแล้ว มองเห็นหลินซีนเยียนและเสี่ยวหลงที่ถือตะเกียงมา ผู้ดูแลคนนั้นก็รีบก้าวมาข้างหน้าเพื่อถามไถ่ “ท่านก็คือแม่นางหลิน?”
หลินซีนเยียนพยักหน้า
ผู้ดูแลคนนั้นจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก ก่อนกล่าวงึมงำ “ข้ารอพวกท่านอยู่ที่นี่ตั้งสองชั่วยามแล้ว ไม่ใช่ว่ายามเที่ยงก็ถึงแล้วหรือ เหตุใดจึงเพิ่งมาเรือนหลักเอาป่านนี้ หัวหน้าตระกูลได้ยินว่าเสี่ยวหลงถือเอาป้ายอาญาสิทธิ์พาท่านขึ้นเขามาแล้ว ฉับพลันก็ให้ข้ามารอคอยอยู่ที่นี่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฟ้ามิดแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของพวกท่าน”
ที่แท้ก็เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด หัวหน้าตระกูลหรงให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อหลินซีนเยียนคนที่สามารถเปิดแหล่งที่มาของเกิงจีนได้
“เรือนของตระกูลหรงโอ่อ่าเกินไปแล้ว อดให้เสี่ยวหลงพาข้าไปชมรอบๆ ไม่ได้เลย อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลงล้วนไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่ ไม่ทันได้ระวังก็หลงทางเสียแล้ว ทำให้ท่านต้องรอนานแล้ว” หลินซีนเยียนยอบกายลงช้าๆ เพื่อเป็นการขอโทษขอโพย
“อัยยะ แม่นางหลินสุภาพเกินไปแล้ว ท่านเป็นแขกพิเศษ การรอท่านเป็นหน้าที่ของข้าต่างหาก” ผู้ดูแลคนนั้นจะกล้ารับความเคารพจากหลินซีนเยียนเสียที่ไหน จึงรีบทำท่าประคองร่างนางขึ้นมา ก่อนกล่าว “หัวหน้าตระกูลได้จัดงานเลี้ยงที่สวนหลัง กำลังรอให้แม่นางไปหาอยู่ ไปเถิด ข้าพาท่านเข้าไป”
หลินซีนเยียนพยักหน้า เอาตะเกียงในมือส่งให้เสี่ยวหลง เดินตามผู้ดูแลคนนั้นเข้าไปในสวนหลัก
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลงจะแอบแฝงในตระกูลหรงอยู่หลายปี ทว่าเขาในตอนแรกได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป ปัจจุบันนี้ได้เผยโฉมเดิมของตัวออกมา คนรอบตัวเขาล้วนจำเขาไม่ได้ เขาเองก็สวมบทบาทได้ดีนัก สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงต่อบรรยากาศสิ่งก่อสร้างอันวิจิตรของตระกูลหรง
ผู้ดูแลที่เห็นเสี่ยวหลงมีอากัปกิริยาเช่นนี้ ใบหน้าก็มีอารมณ์ภาคภูมินัก “เสี่ยวหลงหนอ ครั้งนี้หัวหน้าตระกูลพึงพอใจกับเรื่องที่เจ้าเป็นธุระให้นัก กลับไปนี้ก็ไม่แน่ว่าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามกระมัง”
“โอ้ เช่นนั้นก็รู้สึกดีเกินไปแล้ว” เสี่ยวหลงหัวเราะเบิกบานใจ สายตาเผยความโลภออกมาอย่างจงใจ
“นั่นก็ไม่ แต่เสียดาย เจ้านายเก่าของเจ้าเป็นลูกทอดทิ้งของตระกูลหรง ไม่เช่นนั้น จากความสามารถของเจ้าจะต้องได้รับการเรียกใช้ใหม่จากเจ้านายเป็นแน่” ผู้ดูแลคนนั้นทั้งนำทางไปพลาง ทั้งคุยสัพเพเหระกับเสี่ยวหลงไปพลาง
เพียงแต่ ตอนที่ผู้ดูแลคนนั้นเอ่ยถึงคำว่าลูกทอดทิ้งตระกูลหรงไม่กี่คำนั้น มือของหลินซีนเยียนกำแน่นโดยไม่รู้ตัว โม่จื่อเฟิงคนที่ทะเยะทะยานสูงนั่น ในสายตาลูกน้องของตระกูลหรงก็เป็นได้แค่เพียงลูกทอดทิ้งคนหนึ่งเท่านั้นเองหรือ ไม่มีเหตุผล ความชิงชังที่หลินซีนเยียนมีต่อตระกูลหรงนี้ยังล้ำลึกขึ้นมาหลายเท่า
ภายในสวนหลังมีคนไม่กี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะเหลี่ยมห้าฟุตตัวหนึ่ง คนที่นั่งอยู่ด้านบนคือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ด้านซ้ายมือของเขายังมีชายหนุ่มที่อายุค่อนข้างละอ่อนนั่งอยู่ เครื่องหน้าของชายคนนั้นกับชายวัยกลางคนละม้ายคล้ายกันเจ็ดส่วน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นบุตรบิดา
“ใต้เท้าหัวหน้าตระกูล ท่านนี้ก็คือแม่นางหลิน” ผู้ดูแลพาทั้งสองมายังด้านหน้าโต๊ะเหลี่ยม และรอการตอบกลับจากชายวัยกลางคนอย่างนอบน้อม
หรงเย่หัวหน้าตระกูลหรงเหลือบตาขึ้นสบกับหลินซีนเยียนแวบหนึ่ง ราวกับไม่ได้คาดหมายว่าจะเป็นหญิงงามอรชรคนหนึ่งเช่นนี้ แต่ว่าเป็นถึงหัวหน้าตระกูลของตระกูลหรง เคยเห็นหญิงงามมานับครั้งไม่ถ้วน นับประสาอะไรกับเนื่องจากความสัมพันธ์ทางวิทยายุทธ์เฉพาะกิจของตระกูลหรง ตอนที่เขาเป็นหนุ่มเคยทอดสะพานกับสาวงามจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงทำเพียงเหลือบมองสองสามแวบ ก่อนจะทำสัญญาณมือเชิญหลินซีนเยียน “แม่นางหลินมาจากแดนไกล แซ่หรงได้ตระเตรียมเหล้าอ่อนๆไว้ให้ แม่นางหลินไม่ต้องเกรงใจ มานั่งลงเถิด”
“เช่นนั้นก็ข้าขอคารวะด้วยชีพแล้ว ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินซีนเยียนทำความเคารพ มานั่งลงยังด้านล่างของหรงเย่อย่างใจเย็น เพียงแต่ บนรูปลักษณ์ใบหน้าของนาง กลับยังคงมองข้ามสายตาจดจ้องของชายวัยรุ่นด้านข้างอย่างยากลำบาก นางย่นคิ้วอย่างไม่มีร่องรอย ไม่ได้หันหน้าไปมองแม้สักแวบ
ตั้งแต่ต้นจนจบหรงอวี๋นที่ถูกเพิกเฉยอย่างสมบูรณ์ อารมณ์ในตอนนี้เริ่มตื่นเต้น เขาไม่เหมือนบิดาของเขา ช่วงเวลาอันสำคัญที่ผ่านการฝึกฝนวรยุทธ์ เขาในตอนนี้ ร่างกายได้ถูกวิทยายุทธ์ควบคุมไว้ทั้งสิ้น สำหรับสาวงามเช่นนี้ก็ยิ่งกระตุ้นขับขึ้นมาหลายเท่า เพียงแต่ร่างกายของหลินซีนเยียนไม่ได้มีการผันผวนของวิทยายุทธ์อยู่ภายในสักนิด ต้องให้ต้องการนางแล้ว ก็ไม่ได้มีส่วนช่วยต่อวิทยายุทธ์เลย ทว่า ความปรารถนาดั้งเดิมของผู้ชายกลับทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ท่านพ่อ พวกท่านจะยังนิ่งอยู่ไย มา ข้าจะรินเหล้าให้พวกท่าน” หรงอวี๋นยันกายลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย หยิบโถเหล้าเบื้องหน้าแล้วเดินมาทางหลินซีนเยียน สายตาคู่นั้นทอประกายวิบวับแห่งความปรารถนา
รู้ใจลูกชายก็มีเพียงผุ้เป็นพ่อ เพียงแค่หรงอวี๋นขยับ หรงเย่ก็รู้โดยพลันถึงความหมายของลูกชายตัวเอง เขาขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปขวางหรงอวี๋น “อวี๋นเอ๋อร์ อย่าหยาบคายกับแม่นางหลิน” หรงเย่จ้องหรงอวี๋นอย่างเบาๆ คราวนี้หรงอวี๋นจึงค่อยถือโถเหล้ากลับไปนั่งตามเดิมอย่างขุ่นเคือง
“ให้แม่นางหลินดูฉากตลกเข้าแล้ว เจ้าลูกหมาดูท่าจะกระตือรือร้น หากมีข้อผิดพลาดประการใดขอแม่นางหลินอย่าได้ใส่จ” พูดไปพลาง หรงอวี๋นหยิบตะเกียบขึ้นมาเป็นอันดับแรก “แม่นางหลินเดินทางมากี่วันแล้ว เหนื่อยแย่กระมัง พวกเราไม่พูดถึงสิ่งอื่น รีบทานข้าวก่อน ทานข้าวก่อน”
ในฐานะหัวหน้าตระกูลของตระกูลขุนนางเร้นลับ ไม่ใช่ว่าจะสุภาพกับทุกคนขนาดนี้ ความสุภาพของเขา ก็ต้องดูถึงคุณค่าการใช้ประโยชน์ของอีกฝ่ายด้วย ดังนั้นหลินซีนเยียนจึงไม่ได้มีท่าทีแห่งความโง่เง่า ที่คิดว่าหรงเย่ที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนดีจริงๆ
หลินซีนเยียนเองก็หยิบตะเกียบขึ้นมาทานอาหาร การเคลื่อนไหวสง่างามอารี ไม่ได้มีความกระดากอายเลยสักนิด อารมณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้หรงเย่จับจ้องตาไม่กะพริบ
ยามที่ทานอาหาร หรงเย่ได้พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหลินซีนเยียน หลินซีนเยียนก็ไม่ได้เป็นมิตรนัก เขาถามอะไร นางก็ตอบสิ่งนั้น แต่ไม่ได้ถึงขึ้นเย็นชา จนกระทั่งเวลาอาหารเย็นมาถึงจุดสิ้นสุด หรงเย่จึงค่อยหยิบน้ำชามารินใส่แก้วชาให้หลินซีนเยียนด้วยตัวเอง “แม่นางหลินมาตระกูลหรงครั้งนี้ มีอะไรให้ตระกูลหรงของข้าต้องตระเตรียมการหรือไม่”
ต่อหน้าฝูงชน เขาไม่ได้เอ่ยถึงกรุสมบัติลับแหล่งที่มาของเกิงจีนแม้แต่น้อย แต่ว่าเขารู้ หลินซีนเยียนจะต้องฟังเข้าใจเป็นแน่