ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 454
ตอนที่454 เข้าไปในคุกใต้น้ำ
หลินซีนเยียนรับแก้วชามา มุมปากก็ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องให้ท่านพูด ข้ามา อันที่จริงมีเรื่องจะร้องขอท่าน เพียงแต่ ข้าเองก็ไม่อาจให้ท่านลำบากนัก ข้อเสนอที่ข้ากำลังจะเอ่ย ท่านจะต้องพอใจเป็นแน่”
“โอ้? อยากฟังรายละเอียด” หรงเย่กล่าว
“อันที่จริงสำหรับท่านแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าอยากเห็นอ๋องอู่เสวียนโม่จื่อเฟิง” หลินซีนเยียนกล่าวประโยคแบบนี้ออกมา กลับเป็นผลให้สีหน้าของหรงเย่เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ท่านรู้จักโม่จื่อเฟิง?” หรงเย่และหรงอวี๋นสองบุตรบิดามองกันและกันแวบหนึ่ง มองเห็นความเคลือบแคลงจากสายตาของอีกฝ่าย
หลินซีนเยียนรู้ว่าพวกเขาจะต้องสงสัย ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงออกถึงความงุนงงใดๆ สักน้อย ทำเพียงเอ่ยต่อไป “ข้ากับโม่จื่อเฟิงมีความเป็นมากันอยู่บ้าง อีกอย่างยังมีบางเรื่องที่อยากพิสูจน์จากปากของเขาเอง ดังนั้นจึงอยากพบเขาสักครั้ง เพียงแค่พบหน้าสักครั้งเท่านั้น สำหรับหัวหน้าตระกูลหรงแล้วคงไม่ได้มีผลกระทบและความลำบากอะไร แต่ว่าสำหรับข้าแล้วมันสำคัญมาก หากว่าหัวหน้าตระกูลหรงตอบตกลงล่ะก็ ข้าจะขอสัญญา ตอนที่นำพาสามตระกูลใหญ่ไปสถานที่แห่งนั้น จะคอยช่วยเหลือตระกูลหรงในมุมมืด…ให้ได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง”
ความหมายของนางนั้นชัดเจนมาก ทำเพียงหรงเย่พึงพอใจกับข้อวิงวอนของนาง ยามที่ไปแหล่งที่มาเกิงจีนนางก็จะขยับมือเท้า ทำให้ตระกูลหรงได้รับกรุสมบัติลับทั้งหมด
กรุสมบัติลับเหล่านั้นสำหรับต้นตระกูลขุนนางเร้นลับแต่ละตระกูลแล้วสำคัญยิ่งนัก หากว่าได้รับแล้ว ก็หมายความภายในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตก็จะสามารถเขี่ยอีกสองตระกูลตกไปได้
ข้อนี้สำหรับหรงเย่แล้วเป็นการดึงดูดที่ยิ่งใหญ่มากๆ โดยเฉพาะเขาในฐานะหัวหน้าตระกูล ยิ่งยากจะปฏิเสธการล่อลวงนี้ได้
“เพียงแต่…” หรงเย่ทอดถอนใจ “เงื่อนไขของท่านทำให้หัวใจข้าเต้นแรงนัก และก็อยากจะให้ท่านพึงใจ แต่ว่า…โม่จื่อเฟิงตายแล้ว ให้ท่านพบหน้าเขาสักครั้งเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“ตายแล้ว?” หลินซีนเยียนกลืนน้ำลาย ตอนที่ได้ยินข่าวนี้อีกครั้ง ในอกก็ยังคงหลีกเลี่ยงการกระตุกเกร็งไม่ได้ “หัวหน้าตระกูลหรง ข้าล้วนจริงใจเพียงนี้แล้ว ท่านคงไม่ได้จะประดิษฐ์ประดอยกับข้ากระมัง?”
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันเล่า” หรงเย่เทชาให้หลินซีนเยียนอีกครั้ง คราวนี้จึงค่อยกล่าวท่องอย่างเชื่องช้า “ข้าเองก็กลัวจะเล่นตลกกับแม่นาง อ๋องอู่เสวียนโม่จื่อเฟิงนั่นถึงแม้ในร่างกายจะมีสายเลือดของพวกเราตระกูลหรง ทว่าตั้งแต่เล็กสำหรับตระกูลหรงแล้วก็เป็นลูกทอดทิ้งคนหนึ่ง เขามีชีวิตรอดอยู่ ทั้งหมดนั่นก็พึ่งความเพียรและโชคชะตาของเขา แต่น่าเสียดาย หลายวันก่อน เพื่อจะรักษาอาการเจ็บสาหัสของเขา เขาเข้าไปยังที่ต้องห้ามของตระกูลพวกเรา จากนั้น…โยว ก็ต้องโทษชะตาเขาที่เป็นแบบนี้”
“ศพเล่า?” หลินซีนเยียนปกปิดก้อนสะอื้นในลำคอของตัวเองอย่างสุดพลัง
“ตอนนั้นศพของเขาข้าเป็นคนไปยืนยันด้วยตัวเอง หลังจากแน่ใจว่าชีพจรหยุดเต้นแล้วก็ให้คนแบกเขาไปเผาอยู่หลังเขา ศพของเขาถูกไฟเผากลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว วันนั้นลมค่อนข้างแรง ยังไม่ทันจะได้เก็บเถ้ากระดูกของเขา หลังจากลมพัดแรงยกใหญ่ ก็แม้แต่ฝุ่นผงยังไม่มีหลงเหลืออยู่เลย”
คนที่พูดนั้นเป็นหรงอวี๋น ตอนที่เขาเอ่ยวาจายังแอบซ่อนแววภูมิใจบางอย่างอยู่ ราวกับเป็นคนใต้หล้าแบบนี้ต่างก็ถูกคนมองว่าเป็นบุคคลวีรบุรุษ สุดท้ายตายลงต่อหน้าเขา แม้แต่เถ้าสักนิดก็ไม่หลงเหลือ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเป็นอมตะมากขึ้นแล้ว
เพียงแต่ ไม่กี่ประโยคนี้ตกกระทบสู่โสตหูของหลินซีนเยียน ยิ่งคล้ายกับทำเกลือหล่นใส่แผนบนปากก็ไม่ปาน ทำให้จิตวิญญาณของนางกระตุกเกร็งขึ้นมา
แม้แต่เถ้าก็ไม่มี…
แม้แต่เถ้าก็ไม่มี…
ในหัวสมองของหลินซีนเยียน มีแต่คำไม่กี่คำนี้วกไปวนมา เขาคนที่ทะเยอทะยานหาใดเปรียบ ท้ายที่สุดกลับมีจุดลงเอยอันตกอับ มันต้องเป็นถึงขนาดนี้หรือ
นี่ จะให้นางยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ได้อย่างไรกัน
อาจเพราะสีหน้าซีดขาวและแววตาอับสับสนของหลินซีนเยียนทำให้บุตรบิดาหรงเย่ทั้งสองยิ่งรู้สึกกังขา ดังนั้นหรงเย่จึงขมวดคิ้วพลางกล่าว “เห็นชัดว่าสีหน้าของแม่นางเหมือนจะรวดร้าวนัก? ทำไม…ท่าน เป็นสหายของเขา?”
โม่จื่อเฟิงไม่มีมิตรสหาย แต่กลับเคยมีผู้หญิงมากมาย หากว่าหลินซีนเยียนเป็นผู้หญิงของโม่จื่อเฟิง เช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งต้องให้ความสนใจมากขึ้นเท่าหนึ่งแล้ว
หลินซีนเยียนขบเรียวปากล่าง ไม่นานก็ผละปล่อยออก รีบปกปิดแววร้าวรานบนใบหน้าเอาไว้ แปรเปลี่ยนเป็นความดูแคลนจางๆ “สหาย? จะเป็นสหายกันได้อย่างไรเล่า เขาฉุดชีวิตของญาติคนสำคัญที่สุดของข้าไปเองกับมือ เพียงแต่อยากถามเขาบางเรื่องก็เท่านั้น ในเมื่อเขาตายแล้ว เช่นนั้นก็ช่างเถิด แต่ว่า…รอบกายเขายังมีญาติคนสำคัญที่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
เมื่อหรงเย่ได้ยิน ความระแวงบนใบหน้าก็คลายลงสามส่วน ก่อนกล่าวพลางหัวเราะ “ตอนที่เขามาตระกูลหรง ข้างกายก็มีองครักษ์ตามมาหนึ่งคน โชคดีที่องครักษ์หญิงคนนั้นได้รับความโปรดปรานจากบุตรของข้า ดังนั้นชะตายังคงมีเหลืออยู่ องครักษ์หญิงคนนั้นเป็นคนสนิทของโม่จื่อเฟิง เผลอๆ อาจจะยังรู้อะไรบ้าง หากว่าเงื่อนไขของแม่นางหลินยังนับรวมอยู่ด้วย ข้าสามารถให้พวกท่านพบหน้ากันสักครั้ง แม้ว่า ท่านจะต้องการเอาชีวิตของนางไปด้วยก็ย่อมได้”
“โอ้?” แววตาของหลินซีนเยียนมาประกายวิบวับก่อนจางลง ราวกับลังเลอยู่สักหน่อย “องครักษ์หญิงนางหนึ่งเท่านั้น จะแลกเปลี่ยนกับกรุสมบัติลับอันมหาศาลขนาดนั้น นี่…”
นางยิ้มอย่างเคืองขุ่น “หัวหน้าตระกูลหรง ข้อนี้ไม่ใช่ว่าท่านจะทำเกินไปหน่อยหรอกหรือ”
หรงเย่ยิ้มอย่างลำบากใจ “ก็จริงอย่างว่า องครักษ์หญิงนางหนึ่งจะเทียบชั้นกับอ๋องอู่เสวียนได้อย่างไรกัน เช่นนั้นไม่สู้อย่างนี้ ข้าเต็มใจถอยหนึ่งก้าว องครักษ์หญิงนั่นท่านจะจัดการใดๆ กับนาง แต่ว่าถึงตอนนั้นที่ไปหาสมบัติ แม่นางหลินมุ่งมั่นหาใดเปรียบ ทำให้พวกเราแบ่งสรรอย่างน้อยหนึ่งในสองส่วน อีกประการแม่นางหลินโปรดวางใจ ขอเพียงเรื่องนี้บรรลุแล้ว ท่านจะเป็นแขกคนสำคัญที่สุดของตระกูลหรงไปตลอดกาล จากนี้แม่นางหลินมาปัญหาใดๆ ขอเพียงเอ่ยหนึ่งประโยค ตระกูลหรงของพวกเราจะรวบรวมกำลังพลทั้งหมดไปช่วยสุดความสามารถ”
ใช้ผู้หญิงที่ไร้ประโยชน์ไปแล้วมาแลกเปลี่ยนกับกองเงินกองทอง เรื่องดีๆ แบบนี้ สำหรับสองบุตรบิดาหรงเย่แล้วช่างคุ้มค่าเกินไปจริงๆ ความจริงพวกเขานึกไม่ออกถึงเหตุผลที่จะมาเจรจาธุรกรรมนี้ อีกอย่าง ในสายตาของพวกเขาหลินซีนเยียนเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ท่ามกลางคนแบบนี้อย่างพวกเขา ในกระดูก ก็ไม่ได้เห็นว่าผู้หญิงเป็นคู่ปรับตัวฉกาจอยู่แล้ว
หลินซีนเยียนแสร้งทำเป็นขบคิดอย่างลำบากอยู่สักพัก คราวนี้จึงค่อยพยักหน้าตอบตกลงอย่างแช่มช้า
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วหรงเย่พลันบัญชาให้หรงอวี๋นพาหลินซีนเยียนทั้งสองคนไปคุกใต้น้ำหลังเขา ได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ สองบุตรบิดาก็เอาความเปี่ยมสุขสลักไว้บนใบหน้า ดังนั้นท่าทีต่อหลินซีนเยียนก็ยิ่งน้อมประณีตขึ้นหลายเท่า
ท้องนภายิ่งมืดสนิทขึ้นแล้ว เนื่องจากตำแหน่งของคุกใต้น้ำอยู่ในที่อับแสง ดังนั้นในมือของทุกคนล้วนถือตะเกียงคนละอัน แสงตะเกียงสลัวกวัดแกว่งอยู่ระหว่างหุบเขา เห็นชัดถึงความโดดเดี่ยวเจ็ดส่วน อีกสามส่วนแห่งความโศกเศร้า
เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าเวรคุกใต้น้ำเห็นว่าหรงอวี๋น จึงรีบคารวะโดยพลัน จากนั้นจึงเปิดประตูบานใหญ่ของคุกใต้น้ำออก
“ที่นี่คือน้ำมรณะหลายสิบปีมาแล้ว ดังนั้นน้ำจึงสกปรกมาก กลิ่นก็รุนแรงนัก แม่นางหลินยังต้องอดทนอีกสักหน่อยจึงจะดี” หรงอวี๋นมอบผ้าฝ้ายผืนหนึ่งส่งให้อย่างนอบน้อม ซ้ำยังแฝงกลิ่นความประสบสอพลออยู่บ้างอีกด้วย
“ไม่จำเป็น ความอึดอัดเล็กน้อยนี้ข้ายังทนได้อยู่” หลินซีนเยียนไม่ได้รับผ้าฝ้ายผืนนั้น แต่กลับล้วนผ้าผืนหนึ่งจากอกเสื้อของตัวเองออกมาอุดปากจมูกเอาไว้
ผ้าฝ้ายที่หรงอวี๋นส่งมอบถวายให้อย่างนอบน้อมถูกปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้หัวเสียแม้สักนิด ถือเอาผ้าฝ้ายนั้นขึ้นมาปิดปากจมูกของตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็เดินอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทางให้คนทั้งสอง