ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 479
ตอนที่479 ค้นหากลไก
โดยที่ไม่รู้สึกตัว เมื่อไหร่ที่เผชิญกับปัญหา ปฏิกิริยาของทุกคนก็คือปรึกษาหลินซีนเยียน แม้แต่หรงเย่ เมื่อเกิดเรื่องใดขึ้นก็จะไปถามความคิดเห็นของหลินซีนเยียนทันที กล่าวสำหรับสตรีที่ครั้งหนึ่งถูกพวกเขาดูแคลน ย่อมจะไม่น่าเชื่อมากเกินไปแล้ว
ครั้งนี้ หลินซีนเยียนกลับไม่ได้ปล่อยให้ทุกคนคาดเดาสงสัย เพราะว่าเวลาไม่เช้าแล้วจริงๆ เวลายืดยาวไปนานกว่านี้ล้วนไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้ใด
”ข้าก็ไม่มีวิธีข้ามผ่านผาหินนี้ อีกทั้งข้าก็ไม่มีวรยุทธ์ ข้าไม่อาจป่ายขึ้นไปที่นั่นชี้นำให้พวกท่านได้” หลินซีนเยียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา ขณะที่ถ้อยคำของนางทำให้ผู้คนแสดงความสับสนมากยิ่งขึ้นนั้น นางก็เอ่ยว่า “เพียงแต่ ข้าอาจไม่จำเป็นต้องบอกว่าขุมทรัพย์สมบัติทองเกิงจีนจะต้องข้ามผ่านผาหินไปนี้ไปถึงจะสามารถไปถึงได้”
”ความหมายของเจ้าคือ…” หลี่อวี๋นซ่าน คนยังเยาว์วัย ความคิดกระฉับกระเฉงกว่าผู้เฒ่าเหล่านี้อยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา “ความหมายของเจ้าคือไม่จำเป็นต้องปีนข้ามไป?”
หลินซีนเยียนพยักหน้า จากนั้นล้วงเอามีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มาถึงบนก้อนหินโป่งนูนใต้ผาหิน นางแยกก้อนหินบนผาหิน จากนั้นยื่นมือไปปัดปาดลวดลายตกแต่งด้านบน ทำให้เรื่องที่คาดไม่ถึงปรากฏขึ้นแล้ว
ด้านบนก้อนหินนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีรอยสลักหนึ่ง รอยสลักนั้นราวกับนกเฟิ่งหวงอมตะคืนชีพจากความตาย เพียงแต่กาลเวลาผ่านมาเนิ่นนานไปสักหน่อย ความชัดเจนของสัญลักษณ์เห็นได้ไม่ชัดเจนแล้ว แม้แต่รอยสลักก็ถูกพายุทรายเป่าพัดจนราบเรียบไปไม่น้อยแล้ว
”หินนี้ซุกซ่อนอยู่ด้านหลังเถาวัลย์ เจ้าค้นพบได้เยี่ยงไร?” หลี่อวี๋นซ่านดวงตาเปล่งประกาย อดที่จะสอบถามไม่ได้
หลินซีนเยียนยิ้มบาง ไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเขา นางจะกล่าวว่าชั่วพริบตาที่นางเข้าใกล้ที่แห่งนี้ ร่างกายก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างผิดปกติได้หรือ? ราวกับว่ามีโลหิตส่วนหนึ่งเดือดพล่าน เรื่องที่ตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อเช่นนี้ บอกเล่าออกไปกลับไม่ใช่การอธิบายที่ดี
บางทีภายในเลือดเนื้อของนาง อาจมีสายเลือดของตระกูลเฟิ่งไหลเวียนอยู่จริงๆ บิดาของนางเป็นคนเมืองเทียนฉินย่อมไม่ใช่ลูกหลานตระกูลเฟิ่งแน่ เช่นนั้นก็เหลือเพียงมารดาของนาง สตรีผู้นั้นที่ทั้งน่าสงสารและน่าโศกเศร้า นางอดคิดถึงเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ของผู้เฒ่าตระกูลเฟิ่งผู้นั้นขึ้นมาไม่ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นคือมารดาของนาง?
ความสงสัยในใจยิ่งหนักหนา ใบหน้าของนางก็ยิ่งเย็นชาอย่างมาก
ทุกคนเห็นนางไม่กล่าวคำ จึงไม่ได้คิดจะคาดคั้นเอาความ อย่างไรเสีย ตราบใดที่มีคนให้พึ่งพิง ในมือล้วนมีไพ่ตายอยู่บ้าง ผู้ใดจะให้ผู้คนรับรู้ไพ่ตายของตนได้อย่างง่ายดาย?
มือของหลินซีนเยียนลูบไล้หินก้อนนั้น ราวกับกำลังค้นหากลไก นางหาไปพลาง เอ่ยไปพลาง “ข้าคาดเดาว่าในเมื่อขุมทรัพย์สมบัติทองเกิงจีนอยู่ใต้ดิน เล่นนั้นพวกเราก็ไม่ควรพุ่งหน้าขึ้นไป เกรงว่ายิ่งผ่านผาหินนี้ก็ยิ่งมีความหมายอะไร? ดังนั้นไม่แน่ว่า บางทีอาจสามารถเปิดประตูทางเข้าขุมทรัพย์จากที่นี่เลยก็เป็นได้”
”อ้อ ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” หลี่อวี๋นซ่าน ก็เข้ามาสำรวจหินก้อนนั้นใกล้ๆ “เพียงก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้วิธีใดจึงจะสามารถเปิดประตูทางเข้านี้ได้”
หรงเย่และหลิงสู่ก็ร่วมกันเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เพียงแต่ก้อนหินอย่างไรเสียก็เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง ไม่สนใจว่าจะมีผู้คนมากน้อยเท่าไหร่มองมา ก็ไม่มีทางเขินอายใจเต้น อีกทั้งบนหินก้อนนั้น นอกจากบริเวณรอยสลักอันแปลกประหลาดแล้ว ก็ไม่มีบริเวณอื่นใดที่นับว่าเป็นกลไก
”ถ้าเช่นนั้น พวกเราผ่าหินก่อนนี้กันไหม?” กลุ่มของหลิงสู่ไม่มีความอดทนปมเล็กน้อยน้อย ขมวดคิ้ว
หรงเย่กลับส่ายหน้า “เช่นนั้นจะได้อย่างไร แม้แต่ถ้ำเกิงจีนพวกนั้นที่ใช้เพื่อทำให้พวกเราสับสนก็ยังมีกับดักซับซ้อนหลายชั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่สำคัญเช่นนี้ หากว่าทำลายหินก้อนนี้ สัมผัสกลไกภายใน ถ้าหากเพียงเพิ่มความยากลำบากให้กลไกก็ยังพอทน แต่หากปิดผนึกขุมทรัพย์สมบัติทองเกิงจีนทั้งหมด พวกเราจะทำอย่างไรกัน?”
หลิงสู่ไม่ส่งเสียง แต่กลับเดินไปมาอย่างหงุดหงิดใจอยู่ด้านหลังผู้คน
ผู้คนรอบด้านสำรวจหินก้อนนั้นอยู่เนิ่นนาน กลับยังคงไม่ค้นพบสิ่งใดเหมือนก่อนหน้า ชั่วครู่เวลาก็ผ่านไปทีละน้อย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สลัวรางลง สีหน้าของหลายผู้คนล้วนเผยให้เห็นความร้อนใจอยู่หลายส่วน
”เป็นไปได้หรือไม่พวกเราจะถูกกั้นไว้ที่นี่ตลอดไป?” หลี่อวี๋นซ่านก็เดินค้นหาอยู่รอบด้านล่างของหินผาไปรอบหนึ่ง ก็ไม่พบสิ่งอื่นใดอีก นอกเสียจากเถาวัลย์แล้วก็เถาวัลย์
หลินซีนเยียนขมวดคิ้วแน่น จ้องมองไปที่รอยสลักบนหินก้อนนั้นและมองอีกครู่หนึ่ง ทันใดนั้นภายในสมองของนางก็ปรากฏแสงวาบ จากนั้นหยิบมีดสั้นขึ้นมาจะปาดนิ้วของตนเอง
”เจ้าทำอะไร?” หลี่อวี๋นซ่านชะงัก แล้วคว้าข้อมือของนางโดยสัญชาตญาณ
หลินซีนเยียนเงยหน้า กล่าวอย่างเฉยชาว่า “ข้าคิดจะลองใช้เลือดของตัวเองดู”
หลี่อวี๋นซ่านตกตะลึง นัยน์ตาพลันวาบความไม่มั่นใจและเป็นกังวลยิ่ง “เจ้าแน่ใจหรือ?”
หลินซีนเยียนส่ายหน้า “ไม่มั่นใจ แต่ก็จำเป็นต้องลองดู”
นางกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว หลี่อวี๋นซ่านจึงปล่อยมืออย่างเชื่องช้า
หลินซีนเยียนหยิบมืดสั้นขึ้นมาปาดปลายนิ้วของตนเองอย่างระมัดระวัง บีบหยดเลือดลงไปบนหินก้อนนั้นเล็กน้อย อย่างไรเสียเรื่องเช่นนี้ก็ไม่แน่นอน นางก็ไม่ได้โง่งมให้เลือกเนื้อของตนเองทำให้ตนเองต้องลำบากสักครั้งหรอก
หยาดโลหิตสองสามหยดร่วงลงไปบนรอยสลักของก้อนหินนั้น เส้นสายถูกสายลมพัดจนแทบไม่เหลือร่องรอยแล้ว ทว่าขณะที่หยดเลือดสัมผัสกับรอยสลักทั้งหมด กลับยังมองเห็นเค้าโครงของรูปแบบเส้นร่างดังก่อนหน้า
”ไม่ได้ผลหรือ?” หรงเย่ร้องอย่างประหลาดใจ และหันไปมองหลินซีนเยียน “เพราะว่าเลือดน้อยเกินไปหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ใช้เลือดอีกสักหน่อย หรือว่าถ้าหากเจ้าลงมือไม่ได้ ข้าสามารถช่วยทำแทนให้ได้”
หลินซีนเยียนกลอกตามองเขา ไม่ได้ส่งเสียงใดเพียงแต่ใบหน้าก็เคร่งขรึมจริงจังนัก
”ก็แค่เลือดเล็กน้อย เจ้าจะป้องกันแน่นหนาไปทำไม แล้วก็ไม่ได้ต้องการชีวิตเจ้า” หลิงสู่เห็นท่าทีเช่นนี้ของหลินซีนเยียน พลันไม่พอใจขึ้นมาทันที เอ่ยวาจาเยาะหยัน
หลินซีนเยียนยังไม่ทันได้ตอบคำ หลี่อวี๋นซ่านก็ออกหน้าแทนนางแล้ว “ท่านเจ้าบ้านหลิง นี่ไม่ได้ใช้เลือดของท่าน ท่านก็กล่าวได้แล้วให้ผู้อื่นทำ ไม่อย่างนั้นใช้เลือดของท่านมาลองดูหรือไม่ละ”
หลิงสู่ได้ยินก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที กำลังเตรียมจะเอ่ยอะไร กลับถูกหลินซีนเยียนแทรกขึ้นมา
”พอแล้ว พวกท่านสงบสักหน่อย ตั้งใจฟัง” หลินซีนเยียนขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้น
ทั้งสามคนชะงักถ้อยคำ พลันฟังอย่างตั้งใจ ฉับพลันก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ พวกเขาล้วนเป็นผู้มีวรยุทธ์ ความสามารถในการได้ยินย่อมดีกว่าหลินซีนเยียนมาก แม้แต่หลินซีนเยียนยังได้ยินเสียง พวกเขาเพิ่มความใส่ใจสักเล็กน้อยก็ได้ยินชัดเจน ก่อนหน้าเพราะว่าทะเลาะเบาะแว้งและไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ฟังอย่างตั้งใจแล้ว พลันได้ยินเสียงสั่นสะเทือนแผ่วเบาลอดออกมาจากภายในผาหิน
หลี่อวี๋นซ่านกลืนน้ำลาย ไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เป็นกลไกขยับตัวหรือไม่? เลือดของเจ้า… ใช้ได้”
หลินซีนเยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ควรจะใช่นะ เพียงแค่หากคาดเดาจากเสียงนี้ กลไกภายในนี้ มโหฬารเกินกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้”
นาทีเช่นนี้ เสียงกลไกเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปอีกสักพักก็หยุดลง สามารถเห็นได้ว่ากลไกภายในนี้มีความซับซ้อนมากเพียงใด
พวกของหรงเย่ หลิงสู่ไม่ได้กล่าวคำ ทว่าในใจกลับมีความคิดแล้ว ยิ่งเกิดความรู้สึกว่าถ้าหากครั้งนี้ไม่มีหลินซีนเยียน ขุมทรัพย์นี้ก็บางทีกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว ก็จะเป็นปริศนาไปชั่วชีวิต