ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 491
ตอนที่ 491 บทสรุปครั้งยิ่งใหญ่ (หนึ่ง)
กลิ่นคาวเลือดฉุนคลุ้งท่ามกลางอากาศ กรีดแทงต่อมความรู้สึกของคน ทำให้ผู้คนไร้หนทางมองข้ามสัจธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
หลินซีนเยียนทอดถอนใจเฮือกยาว ในช่องคอมีก้อนสะอื้น “ไฉนท่านจึงทำเช่นนี้”
แต่ไรมานางไม่เคยให้คำมั่นใดๆ กับเขาเลย อย่างไรเสีย จากต้นจนจบ นางแม้แต่ความคลุมเครือเพียงเล็กน้อยก็ไม่เคยให้เขา แต่ว่า เขากลับทำเพื่อนางได้ถถึงขั้นนี้เชียว
ถามว่ารักคือสิ่งใดกันเล่า เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายเชียวหรือ ไม่ ประโยคนี้ นางไม่เชื่อหรอก แม้แต่ชีวิตก็ไม่เหลืออยู่แล้ว หยิบเอาความรู้สึกมายังจะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า ในกระดูกนั้นอันที่จริงนางก็เป็นคนที่เห็นสัจธรรมคนหนึ่ง
“ช่างนึกไม่ถึงจริงๆ เชียว หัวหน้าตระกูลหลี่รุ่นนี้จะบูชารัก ฮ่าๆ ละครฉากนี้ น่าชม น่าชม!” หรงเย่แหงนหน้าระเบิดหัวเราะลั่น
หลี่อวิ๋นซ่านทรุดลงในบ่อเลือด สีหน้าค่อนข้างซีดขาว ก่อนกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ตอนนี้ ปล่อยนางได้หรือยัง ข้ามาเป็นตัวประกันของเจ้าแล้ว” ”
“เจ้า?” หรงเย่ส่ายหน้า “ถึงแม้เจ้าจะเป็นหัวหน้าตระกูลหลี่ แต่ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว ชีวิตของนางล้ำค่ากว่าเจ้ามากโขเลย เพียงแต่ เห็นเจ้าทารุณตัวเองจนพิกลพิการเข้า ข้าอาจจะให้นางทรมานน้อยลงหน่อย ตอนนี้ เจ้าตัดข้อมือซ้ายของตัวเองขาดเสีย”
เจ้า…” หลี่อวิ๋นซ่านเบิกตากว้าง สีหน้ากลายเป็นซีดขาวโดยสมบูรณ์
“ข้าอะไรเล่า เจ้าทนขมขื่นมากหน่อย ข้าก็จะให้นางได้รับทัณฑ์น้อยลง นี่ไม่ใช่ว่ายุติธรรมยิ่งนักหรอกหรือ ถ้าหากว่าเจ้าไม่เต็มใจล่ะก็ เช่นนั้นข้าจะฟันมือของนางขาดเสียก็ได้แล้ว” หรงเย่พูดอย่างง่ายดาย ก็เหมือนกับสิ่งที่พูดนั้นไม่ใช่ทำลายร่างกายมนุษย์ แต่เป็นเกมที่น่าสนใจเกมหนึ่ง
สีหน้าของหลินซีนเยียนค่อยๆ ขรึมลง ถึงแม้นางจะไม่ได้มีความรักต่อหลี่อวิ๋นซ่าน ทว่ากลับไม่ได้ความเคียดแค้น ชั่วชีวิตนี้ของนาง สิ่งที่ไม่ต้องการมากที่สุดก็คือติดค้างความรู้สึกกับผู้อื่น ถ้าหากว่าวันนี้หลี่อวิ๋นซ่านจะกลายเป็นคนพิการขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นนางจะชดใช้คืนด้วยสิ่งใดเล่า
ประจวบกับตอนที่หลินซีนเยียนกำลังขบคิดว่าควรจะเดิมพันกับหรงเย่ดีหรือไม่ ปลายตาก็มองเห็นเงาร่างสว่างวาบท่ามกลามหมอกหนา แววกลางดวงตาของนางตกใจ แต่ในช่วงเวลาหนึ่งนางก็เก็บเอาความสงสัยเอาไว้ ก่อนกล่าวกับหรงเย่อย่างมาดมั่น “หรงเย่ ถ้าหากท่านให้เขาทำร้ายตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าก็จะปล่อยให้ท่านฆ่าข้า ข้าก็ไม่อาจเปิดกลไกของหุบถ้ำนี้ให้ท่านแน่”
“โอ้? ไม่เปิดกลไกลับ หรือเจ้าอยากจะฝังร่างไปพร้อมกับข้าที่นี่เชียวรึ” หรงเย่เลิกคิ้ว เห็นชัดว่าไม่เชื่อเรื่องจะมีคนรนหาที่ตาย
“เชื่อหรือไม่ ท่านสามารถลองดูได้ อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็ตัวลำพัง ของเหล่านี้สำหรับพวกท่านแล้วเป็นความมั่งคั่งที่ดึงดูดกองกำลังได้อย่างมหาศาล ส่วนสำหรับข้าล้วนไม่มีความหมายใดๆ ท่านไม่รู้สึกว่าแปลกๆ เชียวหรือ เหตุใดข้าจึงพาคนของสามตระกูลใหญ่ของพวกท่านมาเสาะหาสมบัติ แต่ว่าจนสุดท้าย บุคคลสำคัญแต่ละตระกูลของพวกท่านล้วนบัญชามาอยู่ที่นี่ แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างข้ากลับยังคงมีชีวิตอยู่” ยามที่หลินซีนเยียนเอ่ยคำ ไม่ได้ปกปิดความเสียดสีในน้ำเสียงเลยแม้แต่นิด
ประดุจถูกตบแสกหน้า ชั่วครู่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงเย่แข็งทื่อทั่วทุกอณู นางไม่พูดก็ยังดี แต่เมื่อนางเอ่ยถึงเช่นนี้ เขาจึงเพิ่งจะตระหนัก การมาตามล่าหาสมบัติครั้งนี้ เดิมทีก็โผล่กลิ่นตุๆ ผิดวิสัยคลุ้งออกมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เพียงแค่มาตามหาสมบัติเท่านั้นเอง ไฉนจำต้องให้หัวหน้าตระกูลของทั้งสามตระกูลออกโรงมาเองด้วย หากจะบอกว่าต้องนำคำสั่งของหัวหน้าตระกูลมา แต่ว่านับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ มีสถานที่ใดบ้างที่ต้องใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ของหัวหน้าตระกูล ขบคิดถี่ถ้วนแล้ว ตลอดเส้นทางนี้มีเหตุสุดวิสัยไม่ขาด ทว่าหลังจากเหตุไม่คาดฝันนั้น ผู้คนก็ล้มตายต่อกันคนแล้วคนเล่า
ทั้งหมดนี้มองย้อนกลับไป ก็ไม่ใช่ว่าเป็นโครงร่างที่สมบูรณ์และพิถีพิถันหรอกหรือ เพียงแต่ ไม่มีผู้ใดคาดถึง ว่านี่จะเป็นกลอุบายของผู้หญิงอ่อนแอไร้วรยุทธ์คนหนึ่งก็เท่านั้นเอง
“เจ้าจะบอกว่า เจ้าแค่นึกอยากให้บุคคลสำคัญทั้งสามตระกูลของพวกเราตายอยู่ที่นี่?” หรงเย่เบิกตาโพลง ยามเอ่ยคำนั้นเรียวปากแห้งกรังอย่างยิ่ง “แต่ว่า พวกเราไร้แค้นไร้ชิงชัง เจ้าทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พูดว่ากรุสมบัติลับเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายต่อเจ้าหรอกหรือ”
“จุดประสงค์อะไร” หลินซีนเยียนยิ้มเย็น “หัวหน้าตระกูลหรง ท่านอย่าได้ลืมเสีย ข้าคือภรรยาของโม่จื่อเฟิง ข้ากับเขา ยังมีบุตรชายแสนน่ารักคนหนึ่ง และเขา กลับตายอยู่ในตระกูลหรงของพวกท่าน”
หรงเย่หรี่ตาลง “ความหมายของเจ้าคือ สิ่งที่เจ้าทำทั้งหมดเพื่อล้างแค้นให้โม่จื่อเฟิง?”
หลินซีนเยียนทอดถอนใจเอกยาว “ใช่ ก็คือการล้างแค้น ทำไม จุดประสงค์ข้อนี้ ทำให้ท่านผิดหวังยิ่ง?”
ผู้ใดสามารถคาดเดาได้ ผู้หญิงนางหนึ่งจะสามารถทำเรื่องดุจสิ่งมหัศจรรย์สำหรับคนที่รักออกมาได้ หรงเย่ไม่เชื่อ หลี่อวิ๋นซ่านเองก็ไม่ เชื่อ สิ่งที่หรงเย่ไม่เชื่อคือนางซึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ ส่วนสิ่งที่หลี่อวิ๋นซ่านไม่เชื่อกลับเป็น…นางรักผู้ชายคนนั้นมากปานนั้นเชียวหรือ
“กองกำลังของทั้งสามตระกูลขุนนางใหญ่เร้นลับถูกรวมเข้าด้วยกัน ขอบเขตของอิทธิพลแผ่กระจายไปทั่วแผ่นดินใหญ่ เจ้าคิดว่าให้พวกเราเหล่านี้ตายอยู่ที่นี่สามตระกูลใหญ่ก็จะดับสลายแล้ว? เด็กน้อย เจ้ายังคิดอย่างง่ายดายเกินไปเสียหน่อย…”
“อย่าหยุด!” หลินซีนเยียนกระตุกมุมปาก ค่อยๆ แย้มรอยยิ้มขึ้นมา “อีกสองตระกูลข้าไม่กล้าฟันธง แต่ว่าตระกูลหรง จะต้องสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าตอนนี้เรือนของตระกูลหรงน่าจะกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วกระมัง ข้าพาหัวหน้าตระกูลหรง ผู้อาวุโสคนเหล่านี้ของพวกท่านออกมาอย่างไม่ง่ายดายนัก ท่านคิดว่า เรือนของตระกูลหรงข้าไม่ได้ตระเตรียมการเอาไว้หรือ”
หรงเย่จ้องนางอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าทำอะไรกันแน่”
“ก็ไม่ได้มีอะไร เพียงแต่เป็นการศึกษาดินปืนดำบางส่วน จากนั้นก็ทำให้ผู้คนถูกฝังอยู่ในทุกซอกมุมของเรือนตระกูลหรงก็เท่านั้นเอง ท่านฟังให้ดี ได้ยินเสียงระเบิดอย่างรุนแรงจากที่ไกลโพ้นหรือไม่? ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!” ดวงตาของหลินซีนเยียนมองสีหน้าของหรงเย่ที่ค่อยๆ ซีดขาว นิ้วมือเริ่มสั่นเทา นางเองก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าหัวเราะออกมา “ดังนั้น วันนี้ถ้าท่านฆ่าข้า ตระกูลหรงของท่านเองก็จบแล้ว และฝังร่างเป็นเพื่อนคนที่ข้ารักด้วย…”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…” หรงเย่ส่ายหน้า มีสีหน้าค่อนข้างขลาดเขลาอยู่พอตัว
สิ่งที่หลินซีนเยียนเฝ้ารอ ก็คือช่วงเวลานี้ ฉวยเอาจังหวะที่หรงเย่ละลึงงัน นางไม่ต้องยั้งคิด ก็ยกเท้าเตะเข้าที่บริเวณลูกหมากของหรงเย่ จากนั้นก็ถอยหลังด้วยความเร็ว ล้วงปืนพกออกมาจากกลางอก
เพียงแต่ หรงเย่เป็นถึงปรมาจารย์วิทยายุทธ์ ต่อให้หลินซีนเยียนให้ความเร็วที่เร็วที่สุดแล้ว ในมุมมองของเขายังคงเป็นเหมือนบูมเมอแรงอันเชื่องช้า การช่วงชิงจังหวะของนางไม่ประสบผลสำเร็จ และเขาเองก็ไม่อาจให้นางมีโอกาสล้วงอาวุธออกมา
“เด็กสมควรตาย เอาชีวิตเจ้ามา!” หรงเย่โกรธจนตาแดงก่ำ เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ตระกูลหรงกลายเป็นซากปรักแล้ว เขาก็ถูกหลักเหตุผลกรูถลาเข้าสู่หัวสมอง อดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป และก็นึกอยากเอาชีวิตของหลินซีนเยียนโดยพลัน
หลินซีนเยียนมองมือเปื้อนเลือดของหรงเย่ที่พุ่งมาทางตนเองตาปริบๆ แต่ว่านางกลับไม่ได้หลีกเลี่ยงแต่อย่างใด ต่อหน้าบรรดาวิทยายุทธ์ขั้นสูงเหล่านี้ ปืนพกยังไม่ทันได้อยู่ในมือ ก็ราวกับว่าไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง!
หมดกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ความตายเท่านั้นเอง นางเป็นถึงคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังจะกลัวอะไรอีก
หลินซีนเยียนผู้นำพาเอาหัวใจมุ่งมั่นที่จะตายมา มีอยู่แวบหนึ่ง ก็มองทะลุถึงความอัตคัดของชีวิตมนุษย์อย่างกะทันหัน นางยืนอยู่เช่นนั้น หลับตาลงอย่างแช่มช้า
เพียงแต่ รออยู่สักหนึ่ง ความเจ็บปวดที่คาดการณ์เอาไว้ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น