ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 497
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 497 บทสรุปครั้งยิ่งใหญ่ (เจ็ด) (อวสาน)
“ตายแล้ว” ต่อหน้าความเป็นความตาย ภาษาวิลิศมาหราอันงดงามก็ล้วนเห็นชัดว่าซีดขาวไร้แรง หลินซีนเยียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร สุดท้ายก็ใช้ถ้อยคำอันเรียบง่ายกล่าวเรื่องราวทั้งหมด
อู๋อี้กำหมัดแน่นอย่างเอาตาย ราวกับว่ารับความจริงข้อนี้ไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ และเปลี่ยนจากดำเป็นขาวอีกครั้ง จนท้ายที่สุด ทำเพียงถามอย่างติดขัด “ตายอย่างไร แค้นชำระหมดแล้ว?”
หลินซีนเยียนลังเลเล็กน้อย ท้ายสุดก็พยักหน้า “ชำระแล้ว คนของศาลาความลับแห่งสวรรค์ล้วนตายกันหมด”
ในส่วนเรื่องตอนสุดท้ายของโม่จื่อเฟิงและเซียวฝาน นางเลือกจะไม่พูด ไฉนนางต้องลากอู๋อี้มาลุยธารด้วยกันเล่า พวกเขาล้วนเป็นคนที่นางห่วงใย เช่นนั้นทุกอย่างนี้ล้วนให้นางแบกรับภาระเองก็พอแล้ว บทลงทัณฑ์แห่งความสำนึกผิดก็ดี การแก้แค้นของพระเจ้าก็ดี ปล่อยให้นางเป็นรับเองคนเดียว ดีหรือไม่
อู๋อี้ทอดถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง สักพักใหญ่ล้วนไม่ได้เอ่ยคำอีก
เป็นหมิงเช่อที่ร้อนรนทนไม่ไหวแล้ว ประสานมือคารวะต่อโม่จื่อเฟิง พลางลากลำแขนของอู๋อี้หมายจะออกไป “ท่านอู๋ ตอนนี้เวลาของพวกเรากระชั้นชิดนัก มีอะไรอาลัยอาวรณ์ กลับไปนี้ข้าจะให้ทั้งประเทศเป่ยหมิงช่วยเจ้าจัดการ ตินนี้พวกเราต้องรีบกลับเข้าเมืองโดยด่วนแล้ว!”
อู๋อี้เป็นบุรุษคนหนึ่ง ความคิดอ่านมักจะอยู่เหนือความรู้สึก ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า กล่าวกำชับต่อหลินซีนเยียนสักสองสามประโยคแล้วจึงออกเดินทาง คราวนี้เขาจึงพยุงเอ้อร์ยาที่อยู่ด้านข้างหยัดกายขึ้น กล่าวกำชับ “เจ้าก็ไปปรนนิบัติคุณหนูของเจ้าเถิด ไม่ต้องตามข้าไปกลับไปหอเฟิงชานลู่แล้ว”
เอ้อร์ยามองหลินซีนเยียน และมองทางอู๋อี้ กลางแววตานั้นไม่บางอย่างที่ทำใจไม่ได้กำลังไหลเวียนอยู่
แทบจะชั่วขณะนั้น หลินซีนเยียนก็เข้าใจถึงแววตาของเอ้อร์ยา มุมปากของนางแย้มรอยยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ ยื่นมือไปลูบศีรษะของเอ้อร์ยา พลางกล่าว “อยากตามศิษย์พี่ไป ก็ไปเถิด ข้าอยู่นี่ไม่ต้องการเจ้าหรอก”
เด็กสาวแรกแย้มกับชายหนุ่มเย็นชา บางทีทั้งสองล้วนไม่ได้ตระหนักถึง มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปท่ามกลางความไม่รู้สึกตัวแล้วกระมัง
“คุณหนู เอ้อร์ยาเองก็มีหลายอย่างอยากพูดกับท่าน แต่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ท่านรอพวกเรากลับมา ดีหรือไม่ รอท่านชายจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ข้ากับท่านชายจะกลับมาหาท่านด้วยกัน” เอ้อร์ยากล่าวเช่นนี้ พลางรีบสาวเท้าเดินตามหลังของอู๋อี้
หลินซีนเยียนยืนอยู่ภายในสวน มองทั้งสามคนจากไป สายตาก็ทอดไปบนประตูสวนอันว่างเปล่าเนิ่นนานไม่ได้เรียกสายตาคืนมา จนกระทั่งลมเย็นพัดผ่าน นางสะบัดร้อนสะบัดหนาวเสร็จแล้วจึงหันหน้าไปเอ่ยถามกับโม่จื่อเฟิงอย่างไม่รู้ตัว “ท่านว่า เขาจะอยู่ด้วยกันกับเอ้อร์ยาหรือไม่”
ชั่วขณะนั้นโม่จื่อเฟิงมุ่นคิ้ว “พวกเขาจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เอาล่ะ ค่ำคืนนี้ คนเจ้าก็เห็นแล้ว คำพูดก็ได้เอ่ยแล้ว พวกเราควรกลับไปนอนหลับได้แล้ว!”
เขากัดฟันพูดคำว่า นอนหลับ สองคำนี้อย่างหนัก จากนั้นก็ไม่ได้รอหลินซีนเยียนตอบสนองเลยสักนิด ตรงดิ่งรวบกอดนางกลับเข้าไปในห้อง
ราตรี เอ้อระเหยอ้อยอิ่ง ยังอีกยาวนาน
วันถัดมา สงครามระหว่างประเทศเป่ยหมิงและประเทศหนานเยว่เปิดฉากขึ้น
เสียงตะโกนและกรีดร้องดังลอยมาจากทั่วทุกมุมของเมืองชายแดนอย่างไม่หยุดหย่อน ประชาชนกลางเมืองล้วนหลีกเลี่ยงไม่ออกนอกเรือน ทว่าศึกครั้งนี้ก็รบกันอย่างค่อนข้างแปลกประหลาด ได้ยินเพียงเสียงแต่ไม่เห็นคน ประชาชนเองก็ใจหวาดหวั่นสั่นสะท้าน กลับพูดเหตุผลออกมาไม่ได้ กล่าวว่าไม่ดีรบกระมัง ล่างตึกเมือง มีทหารสองกองทัพฟาดฟันอาวุธกัน เพียงแต่จำนวนคนล้มตายประชาชนไม่รู้ว่าเท่านั้นเอง แต่ว่า คนตายไปแล้วเท่าไรพวกเขาก็ไม่ใยดี ขอเพียงไม่ได้ทำลายประตูเมือง คนของประเทศเป่ยหมิงไม่ได้บุกพังเข้ามา เรื่องอื่น ยังสำคัญอีกหรือ
โม่จื่อเฟิงพาหลินซีนเยียนมาพักอยู่ในเรือนพักแขกอย่างเงียบๆ แล้วหลายวัน เขาไม่พูด หลินซีนเยียนเองก็ไม่ถาม เพียงแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ นกพิราบส่งสาส์นภายในสวนก็ยิ่งทวีมากขึ้น นกส่งสาส์นเหล่านั้นบินมาจากทั่วสารทิศ นำตัวอีกษรและลายมือที่อ่านไม่เข้าใจมา งานทุกๆ วันของโม่จื่อเฟิง ก็คืออ่านจดหมายไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็ตอบกลับ
จนกระทั่งวันที่เจ็ด นกพิราบส่สาส์นตัวหนึ่งบินมาจากทิศเหนือ เขาปลดจดหมายจากกล่องบนบริเวณขาของนกพิราบลงมา คลี่ออกอ่าน จากนั้นก็ยิ้ม
หลินซีนเยียนเอาเสื้อกันลมคลุมบนหัวไหล่ให้เขา เห็นว่าเขายิ้ม นางเองก็ยิ้มตาม “เรื่องราวสำเร็จแล้ว?”
“อืม สำเร็จแล้ว” โม่จื่อเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็ลูบไล้กระหม่อมของนางและจุมพิตบนเรียวปากของนาง “หมิงเช่อได้ประสบความสำเร็จในการยึดครองบัลลังก์ประเทศเป่ยหมิงแล้ว กองกำลังของทั้งสามตระกูลหลักในประเทศเป่ยหมิงเองก็ถูกเขากวาดล้างหมดแล้วเช่นกัน”
“บัลลังก์ประเทศเป่ยหมิง? กองกำลังของสามตระกูลหลัก?” หลินซีนเยียนฉงนใจ
คราวนี้โม่จื่อเฟิงจึงหันไปกล่าวอธิบายต่อนาง “ใช่ เดิมทีหมิงเช่อเองก็เป็นเจ้าชายตักอับคนหนึ่ง แรกเริ่มเองก็เพราะการแทรกแซงอำนาจของทั้งสามตระกูลทำให้เขาที่เพิ่งกำเนิดก็สูยเสียทุกสิ่งทุกอย่างและร่อนเร่อยู่ข้างนอก ดังนั้น เขาไม่เพียงแต่เดียดฉันท์ราชวงศ์ของประเทศเป่ยหมิงเขายังเกลียดชังคนของสามตระกูลหลักอีกด้วย จวบกับที่ข้าและเขามีเป้าหมายเดียวกัน เดิมทีข้ากับเขาวางแผนกันว่าจะรอไปอีกสองปี ทว่าเพราะเจ้า เจ้าช่างเป็นดวงแห่งเคราะห์ดีจริงๆ ทำให้แผนการของเราลุล่วงล่วงหน้าตั้งสองปี”
“ข้า?” หลินซีนเยียนกระตุกมุมปาก กล่าวพลางยิ้ม “ข้ามีความสามารถที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้นเชียวหรือ”
โม่จื่อเฟิงกอดนางเข้าสู่อ้อมอก ก่อนทอดถอนใจ “ใช่สิ แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึง ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความสามารถอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพราะเจ้า อี้เซิงจึงได้ครอบครองแคว้นหมัน ดังนั้นมีความช่วยเหลือจากแคว้นหมัน แผนการของพวกเราจึงลุล่วงล่วงหน้า”
แคว้นหมัน อี้เซิง…
กลับกลายเป็นว่าเดิมทีเขาติดต่อกับอี้เซิงแล้ว ซ้ำยังแอบร่วมมือกับอี้เซิงอย่างลับๆ? นางเพียงแต่พาเหล่าบรรดาคนสำคัญของสามตระกูลหลักต้อมเข้าด้วยกัน ที่แท้ก็เกิดเรื่องราวตั้งมากมายขนาดนี้เชียวหรือ มิน่าเล่าตอนที่นางนำสามตระกูลหลักไปยังแหล่งที่มาสมบัติเกิงจีนจึงราบรื่นได้เพียงนั้น ที่แท้ รอบนอก พวกเขาแอบรวมพลังของทั้งสามประเทศเข้าด้วยกันอย่างลับๆ นี่เอง
ท่ามกลางหมอกควัน การมองเห็นของคนมีจำกัด แต่ไรมาล้วนทำได้เพียงมองเห็นเส้นแนวแห่งสวรรค์และโลก
หลินซีนเยียนโอบรัดเอวของโม่จื่อเฟิงเอาไว้ ในใจกลับบังเกิดความอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน บางที ระหว่างโลกอันวุ่นวายใต้หล้าแห่งการเปลี่ยนแปลงของเมฆลม นางเป็นเพียงตัวละครเล็กๆ ที่จุดประกายพลังเพื่อส่งเสริม ทว่า ตอนที่ฝุ่นละอองร่วงโรยลง นางกับเขายังมีชีวิตรอด ก็ดีมากแล้ว ดียิ่งนัก
“ยังมี…” โม่จื่อเฟิงลังเล็กเล็กน้อย จึงค่อยๆ ปริปากเอ่ยอย่างเนิบนาบ “อินฉีหายสาบสูญแล้ว”
“หืม?” หลินซีนเยียนเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกเขาอย่างงงงวย ใช่แล้ว ในฐานะผู้นำการทำสงครามสองประเทศ คนของหมิงเช่อไปยึดอำนาจของประเทศเป่ยหมิงแล้ว เช่นนั้นคนของโม่จื่อเฟิงเล่า ไปจัดการอินฉีกับกองกำลังสามตระกูลหลักที่ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศหนานเยว่?
“เมื่อครั้นทำสงครามกับท่านพ่อของเจ้า เขาหายสาบสูบไปแล้ว” โม่จื่อเฟิงกล่าวอย่างราบเรียบ
หลินซีนเยียนเองก็มุ่นคิ้วพลางถาม “ส่งให้ท่านพ่อข้าไปทำศึกกับเขา ท่านจงใจกระมัง…”
โม่จื่อเฟิงหรี่ตาลงชั่วขณะ แต่ไม่ได้ปกปิดจุดประสงค์ของตนเอง “รู้เขารู้เราก็เท่านั้นเอง ขอเพียงบรรลุเป้าหมายได้ สำหรับข้าแล้วสิ่งอื่นล้วนไม่สำคัญ เจ้าไม่อาจคิดว่าข้าเป็นคนเมตตาและมีคุณธรรมหรอกกระมัง ไม่นอกเหนือกลอุบายจึงจะเป็นข้าโม่จื่อเฟิง ไม่ใช่หรือ”
แต่ไรมาเขาก็เคยกล่าว เขาไม่ใช่คนดี ดังนั้นเขาหลอกใช้ความรู้สึกของอินฉีที่มีต่อหลินซีนเยียน เขาคำนวณแล้วว่าอินฉีมีแนวโน้มจะทำผิดพลาดต่อหน้าท่านพ่อของหลินซีนเยียน ความผิดพลาดของศัตรู เป็นข้อได้เปรียบของตนเอง หลักการข้อนี้เขาโฒ่จื่อเฟิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกันเล่า
“เจ้า จะโทษข้าหรือไม่” โม่จื่อเฟิงถามเสียงต่ำ
“เอ่อ…” หลินซีนเยียนชะงัก ก้มหน้างุดขบคิด ท้ายสุดก็เงยหน้าขึ้นมา กล่าวพลางยิ้ม “ไม่หรอก”
เช้าตรู่วันถัดมา มีข่าวมาจากหอคอยเมืองของเมืองชายแดน ประเทศเป่ยหมิงถอยทัพแล้ว เหล่าประชาชนกลางเมืองแซ่ซ้องพลางเดินออกจากห้องมายังบนท้องถนนใหญ่ รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นเป็นเวลานาน ภายใต้สายตาทอประกายเห็นความสดใจและน่าประทับใจชัดแจ้ง
ในตอนเช้า โม่จื่อเฟิงก็ให้จินมู่ตระเตรียมรถม้า
หลินซีนเยียนยังคงด่ำดิ่งกลางภวังค์นิทรา ก็ถูกโม่จื่อเฟิงอุ้มขึ้นมา เขาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แก่นางด้วยตัวเอง โดยไม่คำนึงว่านางยังคงหลับตาสนิทอยู่หรือไม่ เขาอุ้มนางตรงดิ่งเข้าสู่ด้านในรถม้า
รถม้าควบปุเลงๆ เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดก็หยุดลง
“แม่นาง ตื่นได้แล้ว” โม่จื่อเฟิงกล่าวเช่นนั้น และขบเข้าบนเรียวปากของนาง เขากัดอย่างใช้กำลัง เย้าแหย่ให้หลินซีนเยียนร้องแอะอย่างเจ็บปวด
นางเปิดเปลือกตา มองทางเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง ท่าทางโกรธหุนหันกลับกลายเป็นว่าทำให้โม่จื่อเฟิงหัวเราะชอบใจ
“ลงจากรถเถิด” โม่จื่อเฟิงกลับไม่ได้เปิดคดีจ้องเขม็งกับนาง เริกม่านรถขึ้นและเดินนำลงจากรถ
หลินซีนเยียนเคืองขุ่น แต่ยังคงเดินปัดก้นตามลงจากรถ ทว่าหลังจากลงจากรถม้าแล้ว นางก็อดประหลาดใจกับภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าไม่ได้
ที่นี่คือเนินเขาที่ทิวทัศน์สวยงามลูกหนึ่ง ภูเขาไม่สูง แต่งดงามวิจิตร โดยเฉพาะยามเช้ามืด มีเมฆหมอกเลือนรางเย้าเสน่ห์ ทำให้ผู้คนได้ความรู้สึกดุจอยู่บนสรวงสรรค์
โม่จื่อเฟิงเดินอยู่ตำแหน่งเบื้องหน้า นางเดินตามหลังของเขา เดินได้ประมาณเวลาครึ่งจิบชา ก็มาถึงที่โล่งระหว่างลาดเขา พื้นที่โล่งเต็มไปด้วยดอกท้อ ดอกไม้ยังไม่ทันบานสะพรั่ง ทว่ามีกิ่งก้านสาขาเขียวขจีทำให้ผู้คนคาดหวังถึงช่วงเวลาดอกไม้บานในอนาคต
“ที่นี่คือ…” สายตาของนางทอดไปบนแผ่นหลังของโม่จื่อเฟิง ขณะนั้นขอบตารื้นชุ่ม เนื่องจากโม่จื่อเฟิงได้ไปคุกเข่าลงต่อหน้าหลุมฝังศพเล็กๆ หลุมหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
เขากำลังจุดธูป การกระทำนอบน้อม ท่าทางแสดงความเคารพจริงใจ เป็นโม่จื่อเฟิงที่นางยังไม่เคยเห็นมาก่อน คนที่สามารถทำให้เขาประนมก้มกราบได้ หลินซีนเยียนยังไม่เคยเห็นมาก่อน
เขานำธูปสามดอกปักไว้กลางกระถางธูป จึงค่อยหมุนกายมากวัดมือเรียกนาง “มานี่ มากล่าววาจาต่อศิษย์พี่ใหญ่”
ศิษย์พี่ใหญ่…
ทันใดนั้นหลินซีนเยียนเดินไปยังข้างกายของโม่จื่อเฟิง มองยังป้ายบนหลุมฝังศพ “เซียวฝาน” สองคำนี้ ชั่วขณะนั้นก็ร่ำไห้ไร้สำเนียง
ที่แท้ โม่จื่อเฟิงเป็นคนนำร่างของศิษย์พี่ใหญ่ไป และเขาเลือกสถานที่สงบรื่นเพียงนี้เพื่อฝังศิษย์พี่ใหญ่? ดูจากเถ้าธูปของหลุมฝังศพและสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว ล้วนมีคนดูแลอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นเขาจึงมาอยู่บ่อยครั้ง?
“ชั่วชีวิตนี้ ข้าเป็นหนี้เขาแล้ว” โม่จื่อเฟิงกล่าวเบาๆ ดึงหลินซีนเยียนคุกเข่าลงต่อหน้าหลุมศพของเซียวฝาน
ลมระหว่างภูเขา ค่อนข้างหนาวเหน็บ ผสมกับกลิ่นหอมหวลของเกรียงเงา
ทั้งสองคุกเข่าต่อหลุมศพของเขาเซียวฝานเนิ่นนาน แผ่นหลังตั้งตรง กลับยังคงมีความรู้สึกเศร้าโศกแก่ผู้คน จนกระทั่งแสงทิวาโผล่พ้นออกมาจากด้านหลังภูเขา อาทิตย์ทอแสงตัดผ่านกิ่งก้านต้นท้อตกกระทบยังเงาร่างของคนทั้งสอง จึงทำให้ความเศร้าโศกนั้นจืดจางลงไปหนึ่งขนัด
“จื่อเฟิง สิ่งที่ติดหนี้เขา พวกเรามาชดใช้ด้วยกันเถิด ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า”
“อืม ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า”
“จื่อเฟิง ข้ารักท่าน”
“อืม ข้ารู้”
“เช่นนั้นท่าน…รักข้าหรือไม่”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าอยากให้ท่านพูด”
“ข้าไม่ชอบพูด ข้าชอบทำอย่างเดียว”
ตอนที่ลงจากภูเขา บนทางเล็กระหว่างเขา บทสนทนาของทั้งสองคนถูกลมพัดโชยไป ไม่มีร่องรอยหลงเหลือเอาไว้ ทว่า ความรู้สึกระหว่างพวกเขา กลับต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไร้หนทางมอดดับไปได้
คู่ชีวันชั่วชีวิต ไม่ร้องขออำนาจบาจตรใหญ่ แต่ขอหัวใจแน่วแน่ ไม่ทอดทิ้งจนแก่เฒ่า