ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 61
ตอนที่ 61 เจอกับพระอาจารย์ตัวปลอม
อี้เซิงกำลังอยากอธิบาย แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากก็ กลับได้ยินเสียงบุรุษแหบต่ำสายหนึ่งจากด้านนอกประตู
“รู้สึกตัวแล้วหรือ?” โม่จื่อเฟิงนำจินมู่เข้ามายังด้านใน ภายในมือของจินมู่กำลังถือถ้วยน้ำแกงร้อนๆเดินมายังข้าง เตียงและมองอี้เซิงด้วยแววตาราบเรียบ อี้เซิงจึงรีบค้อม ศีรษะและก้าวถอยหลังออกไป
โม่จื่อเฟิงนั่งลงที่ริมขอบเตียงพลันยื่นมือไปประคอง หลินซินเยียน “ต้องการลุกขึ้นนั่งหรือไม่?”
ตัวเขาเองนั้นกลับไม่รู้สึก แต่จินมู่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง กลับอดไม่ได้ที่จะสูดปาก ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ไฉนเลยจะเชื่อว่านายท่านของเขาก็มีด้านที่นุ่มนวลถึง เพียงนี้ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าอ่อนหวานแต่อย่างน้อย ก็นับว่าเป็นสีหน้าที่อ่อนโยน
หลินซินเยียนผงกศีรษะ นางลุกขึ้นนั่งด้วยความช่วย เหลือของเขาและก็ไม่ได้สนใจว่าในห้องนี้ยังมีจินมู่กับอี้ เชิงอยู่ นางรั้งแขนของโม่จื่อเฟิงอย่างแนบชิดหลังจากนั้น จึงพาดศีรษะไว้บนแผ่นอกของเขา “ท่านอ่องมาช่วยหม่อม ฉัน หม่อมฉันดีใจยิ่งนักเพคะ”
โม่จื่อเฟิงเงียบไปชั่วครู่ สีหน้ากลับไม่มีการ เปลี่ยนแปลง “ถ้าหากข้าไม่มาเล่า?”
“ไม่มา…หลินซินเยียนราวกับว่ารู้สึกหวาดกลัว ร่างกายสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว “ถ้าหากท่านไม่มา หม่อมฉันก็ คงถูกคนผู้นั้น.ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ หม่อมฉันคงไม่มีหน้ามาพบท่านอ๋องอีก ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ หม่อมฉันควรตัดตนเองขาดไปเสีย แต่ทว่าหม่อมฉันยัง อาวรณ์…”
“หม?” โม่จื่อเฟิงเลิกคิว
หลินซินเยียนใช้แก้มถูไถบนแผ่นอกของเขา “ถ้าหาก ตายไป ก็จะไม่ได้เห็นท่านอ่องอีกใช่หรือไม่?”
“พอเถิด ดื่มน้ำแกงนี้ซะ” โม่จื่อเฟิงไม่ได้ตอบคำถาม ของนาง พลันหันกลับไปเหลืองมองจินมู่ จินมู่จึงรีบเดินยก ถ้วยน้ำน้ำแกงเข้ามา
หลินซินเยียนสลบไปค่อนข้างนาน ความหิวใน กระเพาะของนางช่างรุนแรงจริงๆ จึงรีบยื่นมือจะไปรับถ้วย น้ำแกง กลับเห็นโม่จื่อเฟิงยกถ้วยน้ำแกงมาให้ด้วยการ เคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่านาง หลังจากนั้นจึงค่อยๆประคอง ถ้วยน้ำแกงจากด้านข้างริมฝีปากพร้อมกับกล่าวว่า “ดื่ม เถิด”
อู่เซวียนอ่องป้อนน้ำแกงให้นางดื่ม?
หลินซินเยียนมองเขาด้วยสายตาที่กระจ่างใส จินมู่ มองเขาด้วยสายตาที่ตกตะลึง ส่วนอี้เซิงก็มองเขาด้วย ความสงสัย แต่ไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะมองอย่างไร แต่ก็ เหมือนกับว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆกับเขา ลักษณะท่าทาง ของเขายังคงสงบนิ่งและสง่างาม
“เพคะ” มุมปากของหลินซีนเยียนเผยรอยยิ้มอันหวาน ล้ำ อ้าปากเรียวเล็กดื่มน้ำแกงลงไป ดูเหมือนว่าเขาจะมอง นางดื่มอย่างระมัดระวัง ด้วยความหวงแหน
นอกเหนือความคาดหมายของนาง นึกไม่ถึงว่าน้ำแกงin
นี้จะเป็นน้ำแกงไก่ ต้มน้ำแกงไก่ในสถานที่อันเงียบสงบ อย่างในวัด ต้องขาดทุนขนาดไหนที่คนเผด็จการเช่นอู่เซวี ยนอ่องจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้
ใบหน้าของหลินซินเยียนประดับด้วยรอยยิ้มซาบซึ้ง แต่ในใจกลับดูถูก นี่ไม่ยิ่งหมายความว่าโม่จื่อเฟิงจริงๆ แล้วเป็นบุคคลที่ไม่มีศรัทธาบ้างเลยหรือ? บางทีในสายตา ของเขาบางทีอาจจะมีแค่ตัวเขาเอง
ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนท่าทีต่อนาง แต่สาเหตุอันดับ หนึ่งทำไมจะไม่ใช่เพราะนางจงใจประจบยอมเชื่อฟัง คล้อยตามเขา? หากนางกล้าที่จะไม่เชื่อฟังเขาเหตุการณ์
ยังจะเป็นเช่นนี้หรือไม่?
ดังนั้น ความจริงใจ กับความซาบซึ้งน่ะเหรอ? นางก้าว ผ่านวัยเด็กเดียงสานั่นมาตั้งนานแล้ว
เจ้าพวกหน้าเหม็น มาต้มน้ำแกงไก่ในวัดของข้านี่เอง!” พระอาจารย์เฒ่ารูปหนึ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน กำลังจ้อง มองหลินซินเยียนที่กำลังดื่มน้ำแกงด้วยสายตาคับแค้นใจ
ข้าจะบอกว่าได้กลิ่นมาครู่ใหญ่แล้ว สาวน้อย น้ำ แกงนี้อร่อยดีหรือไม่? พระเฒ่าเพ่งสายตามองมายังข้าง เตียง เอ่ยถามไปพร้อมๆกับกลืนน้ำลายสอ
หลินซินเยียนกระพริบตาอยู่ชั่วครู่จึงกล่าว “ท่านอ๋อง ให้น้ำแกงนี้แก่หม่อมฉัน แน่นอนว่าย่อมต้องอร่อยที่สุด” การประจบสอพลอนั้นเป็นประโยชน์ เพราะผู้คนมักจะ คาดหวังได้ยินคำสรรเสริญจากผู้อื่น
เห็นท่าทางที่น่าพึงพอใจของนาง โม่จื่อเฟิงยิ่งเพิ่ม ความนุ่มนวลขึ้นอีกหลายส่วน เอื้อมมือออกไปผลักพระเฒ่า “เจ้ามาทำอะไร?”
“ข้ามาตามกลิ่นหอมไม่ได้งั้นหรือ? เจ้าเด็กน้อย ใช้ สถานที่ของข้าแล้วยังใช้โรงครัววัดของข้าต้มน้ำแกงไก่ เจ้ายังบอกปัดข้าอีกรี?” พระเฒ่าดูเหมือนจะคุ้นเคยกับโม่ จื่อเฟิงอย่างมาก กล่าวได้อย่างไม่มีความเกรงใจเอาเสีย เลย แต่กลับไม่คิดเล็กคิดน้อยที่เมื่อสักครู่โม่จื่อเฟิงเพิ่งจะ ผลักเขา
สำหรับคำตำหนิของเขา การตอบกลับของโม่จื่อเฟิง คือความเงียบ กระทั่งเขายังไม่เหลือบมองพระเฒ่าแม้แต่ หางตา
พระเฒ่าเมื่อเห็นเขาไม่ตอบโต้ตน จึงเข้ามาถามหลิน ซินเยียน “สาวน้อย เจ้าทานน้ำแกงนั่นไปมากแล้ว เหลือไว้ ให้พระแก่ๆอย่างข้าทานสักหน่อยเถอะ”
หลินซินเยียนพลันเบิกตากว้างคิดว่าตนเองฟังผิดไป “นี่คือน้ำแกงไก่ เป็นเนื้อนะเจ้าคะ ท่านเป็นพระจะทานได้ หรือเจ้าคะ?”
“จะเหล้าหรือเนื้อก็ผ่านกระเพาะมาแล้ว ข้าเป็นพระ แต่ไม่ได้มีเคร่งมากมายขนาดนั้น” พระเฒ่าหัวเราะดังอย่าง สนุกสนาน ไม่กระดากอายเลยแม้แต่น้อย
หลินซินเยียนกลอกตาขาวใส่เขา “ดูเหมือนว่าข้าจะ เจอพระปลอมเข้าซะแล้ว..”
“พระปลอมอะไรกัน พระอาวุโสอย่างข้าคือไต้ซือหง หรูผู้มีชื่อเสียงใหญ่โต สาวน้อยช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ไต้ ซื้อหงหรูกล่าวตัดบทนาง เมื่อเห็นนางต้องการจะดื่มซุปอีก พลันกล่าวอย่างร้อนใจ แม่สาวน้อย! ให้อาวุโสดื่มสักอีกin
สองอีกไม่ได้หรือ?
“ไม่ได้เจ้าค่ะ!” หลินซินเยียนปฏิเสธทันควันอย่างไม่ ลังเล “นี่คือน้ำแกงไก่แห่งความห่วงใยที่ท่านอ๋องให้กับข้า อย่ากล่าวว่าแค่หนึ่งอีก แม้แต่หยดเดียวข้าก็เสียดาย อีก อย่างข้าก็ดื่มมันไปแล้ว ในน้ำแกงถ้วยนี้ยังมีน้ำลายของ ข้าปนอยู่ ถึงแม้ท่านเป็นพระแต่ท่านก็เป็นบุรุษ ข้าเป็นสตรี ของท่านอ๋อง น้ำลายของข้าคงไม่สามารถให้ท่านดื่มได้”
นางเอาแต่พูดท่านอ๋องๆ ไอ้ท่าทางเอาชนะของนาง ทำให้ใบหน้าไต้ซือหงหรูแปลกประหลาด เมื่อได้ยินนาง พูดถึงน้ำลายอะไรนั่นเขาก็ไม่นึกอยากดื่มในทันที
ไต้ซือหงหรูถอยกลับไปด้านข้างอย่างโกรธเคือง พร้อมกับถลนตาใส่โม่จื่อเฟิง ไอ้หนุ่ม ข้าว่าแม่สาวน้อยนี่ เป็นชนวนภัยพิบัตินะ เจ้ายังไม่เชื่อก็ลองดูคำพูดที่นาง กล่าวแล้วกัน จะมีสตรีสักกี่คนที่สามารถกล่าวเรื่องเช่นนี้ ออกมาได้? ข้าว่านะถือโอกาสที่ตอนนี้นางยังไม่สร้าง ปัญหาจงรีบหาที่ฝังเสียแต่เนิ่นๆ
หรือว่า พระเฒ่ารูปนี้จะเป็นตาแก่หัวโล้นที่อี้เชิงหมาย ถึง?
เมื่อยามที่เขากล่าวถึงตอนที่ให้ฝังหลินซินเยียน อี้ เชิงพุ่งเข้ามาด้วยความมุ่งร้าย กอดเข้าที่เอวของพระเฒ่า นั่นแล้วกัดเข้าที่เนื้อของเขา พระเฒ่านั่นตกใจวิ่งหนีไป ข้างกายโม่จื่อเฟิงอย่างไม่คิดชีวิต ไอหยาเจ้าดูสิเด็กตัว เล็กขนาดนี้ยังถูกทำให้เสียสติ หากรอหลังจากที่นางได้ รับพลังอำนาจ จะยิ่งขนาดไหน?
หลินซินเยียนคิดไม่ถึงว่าไต้ซือหรูหงในเรื่องที่เล่าขาน กันมา ไม่นึกว่าจะดูเลอะเทอะเช่นนี้ พูดแต่ละคำก็ดูเหมือนจะเป็นแค่พระแก่ๆที่ไม่มีสมศักดิ์สูงส่งเอาเสียเลย
แต่ทว่า ไม่มีผู้ใดที่สามารถจะใจเย็นและไม่เกิดโทสะ เมื่อยามที่ได้ยินใครสักคนพูดอย่างเยือกเย็นว่าจะฝัง ตนเองหรอกน่า
หลินซินเยียนเองก็ไม่ยกเว้น แต่ทว่านางรู้ว่าความ สัมพันธ์ของพระอาวุโสกับโม่จื่อเฟิงนั้นไม่ธรรมดา หาก นางเข้าปะทะไม่เพียงแต่จะทำให้โม่จื่อเฟิงไม่สบอารมณ์ ไม่แน่ว่ายังจะทำให้ตนได้รับการดูถูกและอับอาย ดังนั้น นางจึงรีบเปลี่ยนท่าทีที่ดูน่าสงสารและมองไปยังโม่จื่อเฟิง
“ท่านอ๋องเพคะ ที่ไต้ซือกล่าวมานั้นจริงหรือไม่? หม่อมฉัน…กลายเป็นผู้ที่นำเภทภัยมาจริงๆหรือ? แล้ว หม่อมฉันจะทำอันตรายถึงท่านอ๋องหรือไม่เพคะ?” นาง ตั้งใจถามอย่างจริงจัง ดูเหมือนไม่มีความโกรธเลยแม้แต่ น้อย แต่กลับกังวลความรู้สึกของโม่จื่อเฟิง
มุมปากโม่จื่อเฟิงผุดรอยยิ้มลุ่มลึกอย่างมีนัยยะ ยื่น มือมาปัด อี้เพิ่งถูกแรงปัดนั้นพัดลงไปกับพื้น เรี่ยวแรงนั้น ไม่ใช่น้อย อี้เชิงล้มกลิ้งจนหน้าผากโขกกับพื้นจนปูดโปน ขึ้นมาในฉับพลัน