ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 92
ตอนที่92 ยอมให้นางมีชีวิตอยู่
เอ้อร์ยามีนงง อยากจะอธิบาย แต่ถูกอี้เซิงดึงแขนไว้
“เสี่ยเมาแล้ว นอนหลับไปแล้ว” อี้เซิงไม่อยากให้วันดีๆที่มี ความสุขแบบนี้หลินซินเยียนจะถูกรังแกอีก ดังนั้นยามที่ ต้องเผชิญหน้ากับโม่จื่อเฟิง เขาไม่สามารถปกปิดความไม่ พอใจในแววตาได้เลยสักนิด
โม่จื่อเฟิงพูดด้วยเสียเย็นชา แววตาเฉียบคมจ้องไปที่อี้ เชิง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เดินกลับไป หลังจากนั้นเขา ก็หมุนตัวเดินไปยังห้องของหลินซินเยียน
อี้เชิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวคุกเข่า อยู่ด้านหน้าของโม่จื่อเฟิง “ท่านอ๋อง วันนี้เป็นวันสิ้นปี ท่าน ท่านปล่อยนางไปเถอะ”
คำพูดของเขานั้นยั่วอารมณ์ของโม่จื่อเฟิง แววตาที่ลุ่ม ลึกของเขากวาดทะลุใบหน้าที่ดื้อรั้นของอี้เซิง พูดกำชับกับ จินมู่ว่า “จินมู่ นำตัวเขาออกไป”
จินมู่ได้ยินดังนั้น ก็รีบทำตามคำสั่งของโม่จื่อเฟิง ลากตัว อี้เซิงออกไป เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่อี้เซิงซึ่งเป็นเด็กย่อม ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านหาทางหนีทีไล่
โม่จื่อเฟิงไม่มองอีก หมุนตัวเดินตรงไปยังห้องของหลินซิ นเยียน
ในห้องนั้นไม่นับว่ามืดสนิทราวกับว่าเปิดไฟดวงเล็กๆ มี เสียงกรนที่ไม่เบาและไม่ดังจนเกินไปดังออกมาจากห้องโม่จื่อเฟิงเดินมาถึงหน้าประตู หัวคิ้วเลิกขึ้น ปกตินางไม่ นอนกรนนี่
คิดแบบนี้แล้ว เมื่อเขาเปิดประตูออก กลิ่นของเหล้าเข้ม ข้นก็ปะทะหน้า สีหน้าของเขาก็เข้มขึ้น แล้วก้าวเท้าเข้าไป ในห้อง
เขาก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้ตัวเขาเป็นอะไรกันแน่ เขารู้สึกเบื่อ อาหาร บางทีอาจจะเป็นเพราะกินอาหารมากไปในคืนข้าม ปี ทันใดนั้นก็คิดถึงสาวใช้ที่น่าตายคนนี้ เขาคิดว่า ในคืน แบบนี้ นางถูกเขาทิ้งไว้ในห้องเล็กนั้นแล้ว จะต้องผ่าน ค่ำคืนนี้ไปอย่างไม่ราบรื่นแน่ ไม่รู้ว่าเธอจะขอร้องกับเขา หรือไม่ เขาคิดแล้วคิดอีก ก็อยากจะไปดู นางจะให้อภัย ตนเองไหมนะ
หลังจากนั้น ไม่ทันไร เขาก็ตามเข้ามาแล้ว
เพียงแค่ว่า ดูเหมือนนางจะผ่านมันไปได้ด้วยดีมากกว่า เขา อย่างน้อยที่สุดเมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้าเตียงมองคน ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างมั่นคงมุมปากยังมีรอยยิ้มค้างอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกเบาๆ
“หลินซินเยียน” เขากดเสียงต่ำ
หลินซินเยียนหลับลึกมาก ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ยิ่ง ไม่รู้เลยว่าท่านอ่องที่มาถึงแล้ว
พอเห็นนางไม่รู้เรื่อง โม่จื่อเฟิงยกมือขึ้นตบหน้านาง ตบ
ไปเรื่อยๆ แรงในตอนเริ่มก็นุ่มนวล แต่พอเห็นนางนอนหลับ ลึก แรงตบของเขาก็แรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเสียงดังเปรี้ยะ หลินซินเยียนก็ลืมตาขึ้น
“มารดาเจ้าสิ เป็นใครกล้าตีหน้าข้า”
ประโยคที่คำรามออกมาโดยสัญชาตญาณ หลินซิน เยียนพลิกตัวขึ้นมานั่งทันที
ประโยคนี้ทำให้โม่จื่อเฟิงตะลึงงัน นี้ถึงจะเป็นนิสัยที่แท้
จริงของนาง
แต่ทว่าหลินซินเยียนดูเหมือนว่าจะยังไม่ตื่นดี จ้องมอง อย่างมึนงง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวที่หมุนตัวกลับไปนอน
ต่อ
ยังดีนะที่วันนี้เขายังอดทนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโม่จื่อเฟิง ที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยมีความอดทนอยู่แล้ว เขาก็ยกมือขึ้นจะ ตบอีก แต่ หลินซินเยียนก็ลุกขึ้นมานั่งแล้ว
นางหันหันมามองโม่จื่อเฟิง พอเริ่มได้สติ “ข้าคิดว่าเป็น แค่ความฝัน ที่ไหนได้เป็นความจริง”
“พบหน้าข้า ดูเหมือนเจ้าจะไม่ดีใจ” เสียงของโม่จื่อเฟิง เย็นชา ฟังไม่ออกว่าสุขใจหรือโมโห
“ไม่มีความสุขหรือ” หลินซินเยียนหัวเราะ รอยยิ้มปรากฏ ออกมาอย่างชัดเจนเลยว่าไม่อ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนแต่ ก่อน เวลานี้เป็นสภาพของนางที่กำลังเมา รอยยิ้มของนาง ดูติดลบและโง่เขลา นางยื่นมือออกไปหยุดอยู่ที่เข็มขัด ของโม่จื่อเฟิง “หนุ่มหล่อ ข้าจะไม่มีความสุขได้อย่างไร วัน นี้เป็นวันปีใหม่ ท่านจะต้องเป็นเทพเซียนมาโปรดข้าผู้ที่น่า เวทนาเพื่อที่จะมามอบของขวัญใช่หรือไม่ ปกติข้านอนอย่างน่าเวทนา ดังนั้นวันนี้เทพเซียนให้โอกาสข้าได้กลับมา นอน”
โม่จื่อเฟิงเห็นตาของนางเลอะเลือน ผู้หญิงคนนี้โต้ตอบ กลับมากะทันหัน น่ากลัวจะไม่รู้ตัวชัดแจ้งว่ากำลังทำอะไร อยู่ เขาไม่สนใจจะเสียเวลากับผู้หญิงที่กำลังเมาอยู่ ถอน หายใจออกมาเฮือกหนึ่งและหันตัวเดินออกไป แต่แค่เพิ่ง จะขยับตัว ผู้หญิงคนนั้นก็ปืนมาเกาะอยู่บนตัวของเขา
“หนุ่มหล่อ อย่าไป พี่สาวจะรักและทะนุถนอมเจ้าอย่างดี วางใจเถอะ พี่สาวจะไม่เอาความวิปริตอย่างโม่จื่อเฟิงมา ปฏิบัติกับเจ้าอย่างเด็ดขาด พี่จะอ่อนโยนกับเจ้า” ขณะที่ หลินซินเยียนพูดก็อาเจียนออกมาเป็นกลิ่นเหล้า และก็ยัง ยื่นมือลูบไล้บนใบหน้าของโม่จื่อเฟิง “อ้าว ใบหน้านี้ช่างน่า มองเสียจริง เทพเซียนช่างมีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อข้า”
“หลินซินเยียน” โม่จื่อเฟิงเริ่มจะโกรธ ยื่นมือออกไป หมายจะดึงผู้หญิงคนนี้ออก ใครจะรู้ว่ามือของผู้หญิงจะ จู่โจมเขาอย่างกระทันหัน
“สุดหล่อ พี่มาแล้ว” หลินซินเยียนคำรามออกมาอย่าง ชัดเจนเปิดเผย หลังจากนั้นก็โผเข้าหาโม่จื่อเฟิงอย่าง ไม่ทันตั้งตัว
“หลิน ซิน เยียน”
“เจ้าเรียกไปเถอะ ร้องไห้ดังกว่านี้ก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้า หรอก มารดาเจ้าสิวันนี้พี่ยังอยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจสัก ครั้ง” เสียงของหลินซินเยียนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเสียง เบาๆ
ยามค่ำคืน ในช่วงเวลาทำตามความต้องการของหัวใจก เกิดระลอกคลื่นที่มีสีสันขึ้นภายใต้กลิ่นเหล้าจางๆ
เมื่อตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง หลินซินเยียนรู้สึกว่าหัวของ นางนั้นกำลังจะระเบิด ไม่ใช่แค่ปวดหัวแต่ทุกส่วนของ ร่างกายนางกำลังโอดครวญเพราะความปวดเมื่อย
นางมองไปข้างหน้าอย่างไม่ชัดเจน มองปราดแรกก็พบ ร่องรอยบนร่างที่น่าสงสัย นางเป็นผู้หญิงที่โตเต็มวัยแล้ว ร่องรอยแบบนี้แสดงถึงอะไร นางยังไม่เข้าใจแน่ชัด
หลังจากนั้นนางก็พบโม่จื่อเฟิงนอนอยู่ข้างกาย
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างท้อแท้ นางนวดขมับ เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางคิดยังไงก็คิดไม่ออก แต่ ว่า….ถ้าหากว่าตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่ ก็พูดได้อย่างชัดเจน ว่าโม่จื่อเฟิงยังอดทนไว้ชีวิตนางได้
เท่าที่รับรู้ถึงสายตาของนาง โม่จื่อเฟิงที่นอนหลับสนิท อยู่ก็ลืมตาขึ้น เขามองที่นางอย่างเยือกเย็นและเหี้ยมโหด
“คือว่า ท่านอ๋อง เมื่อวานข้าดื่มเยอะไป ถ้าหากข้าทำเรื่อง หยาบคายกับท่าน โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
“เจ้ายังรู้ว่าตัวเองดื่มจนเมาแล้วยังทำเรื่องหยาบคายกับ ข้าอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าของโม่จื่อเฟิงแสดงการเหน็บแนม อย่างชัดเจน “เมื่อวานเจ้าไม่ได้พูดกับข้าแบบนี้ ให้ข้าคิด สักหน่อย เมื่อวานเจ้าพูดว่าอย่างไรนะ อ๊า คิดออกแล้ว เจ้า พูดว่าเจ้าอยากจะนอนดีๆกับข้า จะใช้ท่าทางน่าตายของ โม่จื่อเฟิงผู้นั้นที่คิดไม่ถึงเลยว่าจะข่มเหงข้า ….
เขา โม่จื่อเฟิง ในสายตาของนางก็เป็นคนที่มีบุคลิกวีปริต น่าตายในสายตาของนาง
อ๊ะ อ๊ะ ..อ๊ะอ๊ะ..”หลินซีนเยียนอ้าปากแล้วอ้าปาก อีก รู้สึกอับอายวางตัวไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ตบเบาๆ ที่บ่าของโม่จื่อเฟิง “ท่านอ๋อง ท่านช่างพูดเล่นเสียจริง”
มารดามันสิ ใช่นางมั้ยที่พูด นางพูดจริงหรือว่าเขาวิปริต น่าตาย นางจะมีชีวิตรอดเดินออกไปรีไม่ อี้เซิงกับเอ้อร์ยา จะโดนร่างแหไปด้วยรีไม่ “ข้า ไม่เคยพูดเล่น” โม่จื่อเฟิงพูดอย่างเยือกเย็น แล้วนั่ง
ลง “ช่วยข้าสวมเสื้อ”
เวลาแบบนี้ หลินซินเยียนผู้มีความกล้าหาญกลับไม่กล้า พูดแม้แต่คำเดียว นางลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น ช่วยเขา สวมเสื้ออย่างอ่อนโยน เบามือ ตั้งแต่หัวจรดหางของนาง เปลี่ยนเป็นเด็กสาวที่ว่านอนสอนง่าย
“ความกล้าหาญของเจ้าเมื่อคืนถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว หรือ” โม่จื่อเฟิงอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
หลินซินเยียน ดึงแก้ม “เห็นท่านอ๋องหัวเราะ ข้าน้อยดื่ม
เหล้าเมาไม่รู้จักผิดชอบ ภายหลังจะไม่ทำผิดอีก”
“รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรข้ายังไว้ชีวิตเจ้า” โม่จื่อเฟิงกาง แขนสองข้างเพื่อให้นางช่วยเขาสวมเสื้อได้สะดวกยิ่งขึ้น หลินซินเยียนตะลึงงัน คิดอย่างละเอียด “เนื่องจากวันนี้
เป็นวันแรกของปี ไม่ควรมีคนต้องหลั่งเลือด” โม่จือเฟิงหัวเราะ ประชดประชันอย่างชัดเจน “เพราะท่าทางเมื่อคืนของเจ้าทำให้ข้าพอใจแล้ว”
โม่จื่อเฟิงที่สง่าผ่าเผย จะถูกผู้หญิงโจมตีได้อย่างไร นอกเสียจากเขายินยอมด้วยตัวเอง ด้วยการกระทำของ นางทำให้เขาไม่ปฏิเสธ
ถ้าหากว่ามีถ้ำอยู่แถวนี้ หลินซินเยียนแทบอยากจะเจาะรู ถ้ำมุดหนีเข้าไปทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางถูกเขารังแกเช่นนี้ นางนั้นจะรู้สึกรังเกียจและอยากผลักไสไล่ส่ง แล้วเมื่อคืนนี้ นับว่าเป็นอะไรกัน เมื่อคืนนางนั้นหน้าด้านไร้ยางอายจู่โจม เขา
หรือว่า แท้จริงแล้วนางไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้ เหมือน แนวคิดเรื่องการแต่งงานของนาง ถ้าหากไม่ใช่หนึ่งชาติมี เพียงคู่ชีวิตเดียว มิเช่นนั้นจะมีงานแต่งไว้ผูกมัดเพื่ออะไร เล่า เป็นสิ่งที่ทำให้นางทนรับไม่ไหวจริงๆ แต่นางเป็นทาส รับใช้ที่ใช้ชีวิตภายใต้เงาของเขาอย่างต่ำต้อย ที่น่า เสียดายคือหัวใจที่เคารพในศักดิ์ศรีของนางถูกทำลาย อย่างถึงที่สุดแล้ว
ถ้าถามว่านางเกลียดเขามั้ย บอกเลยว่าเกลียดมาก ผู้ชายที่ทำเหมือนนางเป็นของเล่นแล้วยังกดขี่ คนที่ปฏิบัติ ต่อนางด้วยวิธีป่าเถื่อน ไม่ให้เกลียดได้อย่างไร
ท่าทางของนางนั้นทำให้เขาพอใจแล้ว ดังนั้นนางก็จะยัง มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จากที่เขาพูด สุดท้ายนางก็เหมือนเป็น เครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น
หลินซินเยียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ปรนนิบัติแต่งตัวให้เขา อย่างเงียบๆ
วันแรกของปีใหม่ ในฐานะอ่องอู่เซวียน ไม่จ่อเฟงต้องเข้า วังพบจักรพรรดิ เพราะว่าคนในวังผู้นั้นที่จริงแล้วเป็นพี่น้อง ท้องเดียวกัน
หลังจากโม่จื่อเฟิงกลับไปปพร้อมกับจินมู่ ลานบ้านก็กลับ มาเงียบสงบอีกครั้ง สำหรับเรื่องเมื่อคืน เอ้อร์ยากับอี้เซิงนั้น ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอีกวันแรกของปีต้องห้ามพูดถึงเรื่องที่ไม่เป็น มงคล
เนื่องด้วยเทศกาลวันปีใหม่จีน ทั้งเมืองเฟิ่งซีก็เปลี่ยนเป็น เงียบสงบขึ้น จะมีแค่ร้านค้าบางร้านเท่านั้นที่ยังเปิดทำการ อยู่ ส่วนใหญ่ก็มักจะไปเยี่ยมญาติ บ้างก็หยอกล้อกันไปมา
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว กลุ่มของหลินซินเยียนทั้งสาม คนก็ถือว่าเงียบสงบอย่างน่ากลัวเล็กน้อย
แต่ทว่าโชคดี ขณะที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังหาอะไรทำ อยู่นั้น สะใภ้เหล่าหลี่เพื่อนบ้านก็เปิดประตูเดินเข้ามาพร้อม กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหลิน โอ้โฮ อยู่กับ ครบเลย บังเอิญจัง ข้าเกรงว่าพวกท่านจะไปเยี่ยมญาติกัน หมดแล้ว”
“ไม่ได้ไป พวกเราเพิ่งจะมาเมืองหลวง ไม่ค่อยคุ้นเคยกับ คนที่นี่ จึงไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน” หลินซินเยียนยิ้มอย่า งอายๆ
สะใภ้เหล่าหลี่ตกใจแล้วก็ตบบ่า กล่าวว่า “ข้าก็คิดว่าเป็น เช่นนั้น ก็เลยมาเรียกพวกเจ้าไปกินข้าวที่บ้านข้าโดย เฉพาะเลย ข้าจะพูดกับเจ้าโดยไม่ปิดบังเลยสักนิด พวกเรา ก็ย้ายมาเมืองหลวงได้ไม่นาน ไม่ค่อยมีญาติสนิทมิตรสหาย ซ้ายขวาก็คือเพื่อนบ้าน หู่เอ่อก็ชอบเล่นกับอีเซงถ้า เช่นนั้นพวกเราสองบ้านมารวมกันเสียเลยดีไหม”
สะใภ้เหล่าหลี่เป็นคนที่ไม่มีการศึกษา ไม่ละเอียด เวลา พูดก็จะไม่ค่อยอ้อมค้อม แต่ด้วยนิสัยแบบนี้กลับทำให้คน อื่นรังเกียจไม่ลง
หลินซินเยียนเดิมก็รู้สึกว่าดีนะ ดังนั้นก็เลยตกลงไปทันที พาอี้เชิงกับเอ้อร์ยาไปยังบ้านของสะใภ้เหล่าหลี่
ระหว่างเดินไป สะใภ้เหล่าหลี่ก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง ครอบครัว เดิมเหล่าหลี่นั้นเป็นช่างไม้ฝีมือไม่เลว บ้านเกิด ประสบภัยพิบัติจึงต้องย้ายบ้านมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเฟิงซี เนื่องจากเขาเป็นคนขยัน เมื่อมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็มีงานให้ ทำมากมาย
ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันแรกของปีใหม่ ตู้ในบ้านของ ตระกูลใหญ่ที่เหล่าหลี่ทำงานให้มีปัญหา จึงต้องรีบออกไป ช่วยซ่อมตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นจึงเหลือแค่สะใภ้เหล่าหลี่กับ ลูกแค่สองคนที่อยู่ในบ้าน
สะใภ้เหล่าหลี่มีลูกสองคน คนโตอายุสิบกว่าปี อยู่บ้าน ช่วยเหล่าหลี่ทำงาน ลูกคนเล็ก หูเอ๋อยังเด็ก ทางบ้านก็ส่ง เสียเรียนหนังสือไม่ไหว จึงอยู่บ้าน แม้ว่าบ้านของพวกเขา ไม่รู้หนังสือ กลับรู้สึกว่าเคร่งในระเบียบสังคมมากไปก็ไม่ดี
สะใภ้เหล่าหลี่เข้าครัวไปทำบัวลอย เอ้อร์ยากับหลินซิน เยียนก็เข้าไปช่วยทำ ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องครัวก็นวดแป้ง ไปพร้อมกับพูดไปหัวเราะไปด้วย
“อีกสักครู่ทำบัวลอยเสร็จ สามกับ บุตรขายคน ก็จะกลับมาแล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันมาสักพักแล้ว พวกเขายัง ไม่เคยพบหน้าแม่นางหลินเลย แต่พวกเขาไม่มีความรู้เจ้า อย่าถือสาเลยนะ”สะใภ้เหล่าหลี่เอาบัวลอยลงจากเตา บัวลอยที่กลมดึก ทุกเม็ดนั้นมีไส้น้ำตาลแดง
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ข้าซาบซึ้งที่สะใภ้เหล่าหลี่ เชิญข้ามากินบัวลอยแล้วจะไม่มาอย่างไร” หลินซินเยียน หัวเราะ ยิ่งรู้สึกชอบในนิสัยมีน้ำใจและซื่อสัตย์ของสะใภ้เห ล่าหลี่
จากมุมมองของนาง การที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีรอยยิ้ม ที่เรียบง่ายนั้น เป็นเรื่องราวที่มีความสวยงามอย่างหนึ่ง
เมื่อจวนจะถึงเวลาเที่ยงวัน บัวลอยก็ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ แล้ว รอแค่สามีและลูกคนโตกลับมาก็จะได้เริ่มทานข้าวกัน แล้ว
มีเสียงเคาะประตูมาจากด้านนอก สะใภ้เหล่าหลี่ก็ยิ้ม แล้วพูดว่า “มาแล้วมาแล้ว ผู้ชายสองคนนี้ กลับมาก็คือ กลับมา จะทำเสียงดังทำไม ไม่เห็นหรือว่ามีแขกมา”
สะใภ้เหล่าหลี่เปิดประตู มองออกไปด้านนอกคนที่มา ไม่ใช่สามี แต่เป็นคนที่สามีทำงานด้วยประจำ นิ่งอึ้งไปชั่ว ครู่ “เหล่าหลิวท่านมาได้อย่างไร”
“สะใภ้เหล่าหลี่ ไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องกับเหล่าหลี่แล้ว ท่าน รีบไปดูหน่อยเถิด ลูกคนโตของท่านก็ถูกส่งไปที่ทางการ ด้วยเช่นกัน” ใบหน้าของเหล่าหลิวเต็มไปด้วยความ กระวนกระวายใจ เส้นผมเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ดูท่าทางจะวิ่งมาเต็มกำลัง
“เกิด เกิดเรื่อง นี่มันวันปีใหม่นะ เกิดเรื่องอะไร เหล่าหลิว ท่านอย่ามาหลอกข้านะ” รอยยิ้มบนใบหน้าของสะใภ้เหล่า หลี่แข็งค้าง มือที่จับประตูอยู่ก็สั่นเทา
เหล่าหลิวกระทืบเท้า “สะใภ้เหล่าหลี่ ในเวลาแบบนี้ข้าจะ
กล้ามาพูดเล่นเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน ท่านรีบไปดูเร็ว
เถิด เวลานี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าสามีของเห
ล่าหลี่ก็เป็นได้”
สะใภ้เหล่าหลี่ตกใจจนเสียขวัญแล้ว ทั้งร่างไร้ความรู้สึก “พวกเขาอยู่ที่ใด อยู่ทที่ใด”
“อยู่ในศาลาว่าการ รีบไปเถิด” เหล่าหลิวถอนหายใจ เฮือก ปีใหม่ปีนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันนี่
สะใภ้เหล่าหลี่หวาดผวา หันกลับไปมองหู่เอ๋อ ใบหน้า
ของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา นางเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ เหตุ
ใดจึงเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้
หลินซินเยียนเมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว หัวใจก็ตกหล่นไปอยู่ ที่พื้น เดินเข้าไปปลอบ “สะใภ้เหล่าหลี่อย่าเพิ่งกังวลไป ข้า ไปดูเป็นเพื่อนท่าน ไม่มีเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ตอนนี้ยัง ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร พวกเราอย่าเพิ่งกลัวไป”
สะใภ้เหล่าหลี่ทำได้แค่พยักหน้าตามอย่างงงๆ ตอนนี้ ไม่มีความคิดเห็นใดใดทั้งสิ้น
หลินซินเยียนถอนหายใจออกมา แล้วกำชับให้เอ้อร์ยา ดูแลอี้เซิงกับหูเอ๋อดีๆ ตนเองจะไปกับสะใภ้เหล่าหลี่และท่านหลิวที่ศาลาว่าการ รู้สึกเริ่มกระวนกระวาย บอกว่าความสัมพันธ์ที่มีต่อสะใภ้เหล่าหลี่นั้นจะไม่ได้ลึกซึ้ง มาก แต่ด้วยนิสัยที่มีเมตตาและซื่อสัตย์ของสะใภ้เหล่าหลี่ นางก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
ระหว่างทาง ท่านหลิวก็เล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับเหล่าหลี่ให้ ฟังอย่างคร่าวๆ ว่าเหล่าหลี่ทำงานให้กับครอบครัวที่ร่ำรวย ไม่รู้ว่าไปทำร้ายลูกชายของเจ้าของบ้านได้อย่างไร ตอน นั้นถูกเจ้าของบ้านตีจนลมหายใจรวยริน ลูกชายคนโตของ ท่านต้องการปกป้องพ่อเลยยื่นมือเข้าช่วย หลังจากนั้นก็ ถูกส่งไปที่ศาลาว่าการ