ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด - ตอนที่ 538 ชีวิตสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด / ตอนที่ 539 เหตุใดต้องทำร้ายเขา
- Home
- ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด
- ตอนที่ 538 ชีวิตสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด / ตอนที่ 539 เหตุใดต้องทำร้ายเขา
ตอนที่ 538 ชีวิตสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
“เจ้าไม่อ่อนแอหรือไร เขาถูกชิวจวี๋หลอกก็สมน้ำหน้าเขา ชิงชิง เจ้าตัดสินใจให้อภัยเขาแล้วหรือ”
“ข้าเพียงอยากให้เขาปลอดภัย เรื่องอื่นข้าไม่ได้คิดมาก”
ตอนนี้ในสมองลู่ชิงชิงมีแต่เรื่องความปลอดภัยของหลิงจื่อเฉิง หวังเพียงว่าหลิงจื่อเฉิงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ เรื่องอื่น นางไม่ได้คิด ชีวิตสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
“ข้าเข้าใจ เจ้ารักพี่ชายมากจริงๆ สรุปก็คือเขาทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว”
หลิงอวี้จื้อได้แต่เสียดายแทนลู่ชิงชิง ลู่ชิงชิงนิสัยอ่อนโยน แต่ก็เด็ดเดี่ยวมาก นับว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมสูง แต่หลิงจื่อเฉิงดันไม่อดทนต่อสิ่งล่อตาล่อใจ ซ้ำยังโดนชิวจวี๋ปั่นหัวเป็นลูกข่าง ทำให้ผู้หญิงดีๆ เช่นนี้ต้องผิดหวัง
“เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อวี้จื้อ ข้าเพียงแต่รู้สึกแปลกๆ เหตุใดชิวจวี๋ต้องทำร้ายจื่อเฉิงด้วย
เมื่อก่อนนางมีเจตนาเพียงจะเป็นผู้หญิงของจื่อเฉิง ตอนนี้จื่อเฉิงหลงนางขนาดนี้ ตามหลักเหตุผลแล้วนางไม่ควรจะมีความคิดเช่นนี้กับจื่อเฉิงถึงจะถูก นางทำร้ายจื่อเฉิงแล้วไม่เป็นผลดีกับนางเลย”
“เรื่องนี้ต้องถามชิวจวี๋แล้ว ข้ามองว่า เบื้องหลังนางต้องมีคนสั่งการอยู่ นางหนีไปได้ไม่ไกลหรอก รอให้จับนางได้ก่อน ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฏ”
ลู่ชิงชิงพยักหน้า นางรู้ว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้หลิงอวี้จื้อปลอบใจนางเช่นนี้ นางก็วางใจได้แล้ว ในใจรู้สึกขอบคุณหลิงอวี้จื้อมาก ยังดีที่มีเธอ มิเช่นนั้นนางก็ไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไร
“ขอบคุณนะ อวี้จื้อ”
“เจ้าขอบคุณข้าทำไม พี่ชายเป็นพี่ข้านะ เขาเกิดเรื่อง ข้าย่อมไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ อยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องข้าควรทำ มีข่าวคราวอะไรข้าจะแจ้งเจ้า ชิงชิง เจ้าวางใจเถิด พี่ชายจะไม่เป็นอะไร ไหนๆ ก็มาแล้ว ชิงชิง ทานมื้อเย็นที่นี่แล้วค่อยกลับไปเถิด”
ลู่ชิงชิงไม่มีใจจะกินข้าว ส่ายหน้า
“อวี้จื้อ ขอบคุณความปรารถนาดีของเจ้านะ แต่ข้าต้องกลับจวน นายท่านยังรอข้ากลับไปรายงาน”
หลิงอวี้จื้อเข้าใจความหมายของลู่ชิงชิง หลิงจ้ายเทียนคงไม่กล้าแบกหน้ามาถามสถานการณ์ รู้ว่าลู่ชิงชิงมีความสัมพันธ์ดีกับเธอ จึงให้ลู่ชิงชิงมาถามข่าวคราว
เธอรู้ว่าลู่ชิงชิงไม่มีแก่ใจจะทานอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้บังคับให้ลู่ชิงชิงอยู่ต่อ เพียงแต่พยักหน้า
“ข้าจะให้คนไปส่งเจ้า”
“ไม่ต้องลำบากหรอก รถม้ารอข้าอยู่ข้างนอกนี่เอง อวี้จื้อ คราวหน้าเจ้าว่างๆ ก็กลับจวนมานั่งคุยเล่นกันเถิด!”
“อีกสามวันกลับจวน มะรืนนี้ข้าก็กลับไปแล้ว ข้าไปส่งเจ้าที่รถม้า”
หลิงอวี้จื้อประคองแขนลู่ชิงชิงเอง พาลู่ชิงชิงไปส่งที่รถม้า จวบจนรถม้าออกไป หลิงอวี้จื้อถึงกลับจวน
เธอมองว่า หลิงจื่อเฉิงไม่สามารถลบล้างข้อกล่าวหาได้แล้ว ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ถึงเวลานั้นทำได้เพียงปกปิดตัวตนออกจากเมืองหลวงไป เช่นนี้ก็ดี หลิงจื่อเฉิงไม่เหมาะจะอยู่ในตระกูลใหญ่จริงๆ มิเช่นนั้นก็จะถูกคนขุดกับดักฝังอีก
บ่ายวันถัดมา หลิงอวี้จื้อกำลังรับแสงแดดอยู่ที่ลานบ้าน มั่วชิงคุมตัวคนคนหนึ่งเดินเข้ามา พอหลิงอวี้จื้อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิวจวี๋
เมื่อเห็นชิวจวี๋เช่นนี้ หลิงอวี้จื้อก็ทำหน้าตกใจ ความสามารถในการปลอมตัวของชิวจวี๋ไม่เลวเลยจริงๆ
ผมเกล้าขึ้นลวกๆ สวมชุดผ้าหยาบๆ ที่ปะชุนไปทั่วตัว ไม่รู้ว่าเอาอะไรทาหน้า ทำตัวเองเสียกระดำกระด่าง หากไม่ดูให้ดีๆ ก็ดูไม่ออกจริงๆ ว่านี่คือชิวจวี๋
มั่วชิงคุมตัวชิวจวี๋เดินมาตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ ชิวจวี๋คุกเข่าลงดังตึง ก้มหน้าตลอด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหลิงอวี้จื้อเลย
หลิงอวี้จื้อมองชิวจวี๋อย่างเย็นชา
“ชิวจวี๋ ไม่ได้เจอกันเพียงไม่นานเท่าไร เหตุใดเจ้ากลายเป็นป้าแก่ไปแล้ว”
ตอนที่ 539 เหตุใดต้องทำร้ายเขา
ชิวจวี๋รู้เพียงว่าตัวเองตายแน่ เดิมทีคิดว่าจะรอดพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมาตกอยู่ในกำมือของหลิงอวี้จื้อ ครั้งที่แล้วหลิงอวี้จื้อปล่อยตนไป คราวนี้หลิงอวี้จื้อไม่ปล่อยนางไปอีกแน่นอน
หรูเยียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งมองชิวจวี๋ ทำหน้าไม่ได้ดั่งใจ จึงเสมองไปทางอื่นเสีย เหมือนไม่อยากเห็นชิวจวี๋อีกแล้ว
“ไม่ทราบว่าพระชายาจับบ่าวมามีจุดประสงค์อะไรเพคะ”
ชิวจวี๋เงยหน้าขึ้นมา ทำทีไม่เข้าใจ ตัวหดเป็นก้อน ราวกับไม่รู้ว่าเหตุใดหลิงอวี้จื้อต้องจับนาง หากคนไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลัง ก็ต้องถูกท่าทางเหมือนผู้บริสุทธิ์ของชิวจวี๋หลอกเข้าให้
เมื่อก่อนหลิงอวี้จื้อรู้สึกว่าตัวเองทำเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเก่งมาก แต่ชิวจวี๋ไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอเลย ตัวชิวจวี๋เองก็เล็กๆ ผอมๆ อยู่แล้ว บวกเข้ากับท่าทางขี้ขลาด ดูอย่างไรก็เหมือนสาวชาวนาผู้ไม่ทันโลก ใครก็ไม่คิดว่านางกับแผนร้ายจะเชื่อมโยงกัน
เธอกับชิวจวี๋ก็ไม่ใช่ทำความรู้จักกันเป็นครั้งแรก เธอขี้เกียจจะเล่นทายคำกับชิวจวี๋ ถามมั่วชิงว่า
“เจ้าไปเจอนางที่ไหน”
“ชิวจวี๋แอบอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ เจ้าค่ะ บ่าวจำกำไลของนางได้”
มั่วชิงเพิ่งพูดจบ หลิงอวี้จื้อก็เห็นกำไลสีเขียวหยกบนข้อมือเล็กๆ ผอมๆ ของชิวจวี๋
กำไลนั้นเปื้อนฝุ่น ไม่เตะตา คนที่ดูไม่เป็นก็จะนึกว่าเป็นของปลอม แต่คนที่ดูเป็นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ากำไลนี้คือหยก ซ้ำยังเป็นหยกชั้นดี
เป็นผู้หญิงที่หลงใหลในวัตถุจอมปลอมจริงๆ จนบัดนี้แล้ว ยังไม่ยอมถอดออกอีก เหมือนคราวที่นางเข้าจวนมหาเสนาบดีมาตอนแรก ครั้งนี้ก็มาตายกับเรื่องประดับอีก เป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านธรรมดาจะครอบครองกำไลหยกชั้นสูงอย่างนี้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าชิวจวี๋เปิดโปงตัวตนของตนเอง
ชิวจวี๋หน้าขาวซีด กำกำไลบนมือไว้แน่น เครื่องประดับอื่นนางซ่อนไว้หมดแล้ว มีเพียงกำไลนี้ นางยอมถอดไม่ได้จริงๆ กำไลนี้นางชอบมาก ดังนั้นหลังจากลังเลสักพักแล้วก็ยังตัดสินใจใส่ไว้บนมือต่อไป
เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจจากคนอื่น นางจงใจเอาฝุ่นดินมาทากำไลไว้ชั้นหนึ่ง บวกกับเสื้อผ้าที่ดูขาดวิ่นมอมแมม จึงไม่มีใครสังเกตเห็นนาง นึกไม่ถึงว่าจะเจอมั่วชิงเข้า
“เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายพี่ชาย คนที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังคือใคร”
หลิงอวี้จื้อไม่พูดอ้อมค้อม ถามตรงๆ
ชิวจวี๋กัดริมฝีปาก สีหน้าขาวซีด
“บ่าวไม่รู้ว่าพระชายากำลังพูดอะไร บ่าวรู้ว่าคุณชายเกิดเรื่องแล้ว บ่าวกลัว จึงได้ออกจากเมืองไป”
“ตอนที่เจ้าออกจากเมืองพี่ชายยังดีๆ อยู่ ชิวจวี๋ เจ้ามีญาณทิพย์รู้เรื่องล่วงหน้าด้วยหรือ”
“พระชายา ฟังบ่าวอธิบายก่อน บ่าวออกไปทำธุระนอกเมืองเล็กน้อย ตอนเตรียมจะกลับเข้าเมืองก็ได้ยินข่าวว่าคุณชายเกิดเรื่อง บ่าวก็กลัว จึงได้แต่งตัวเช่นนี้
เดิมทีคิดจะแอบกลับเข้าเมืองมาสืบข่าวคราว พระชายา บ่าวคิดแต่จะดูแลคุณชาย จะทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับคุณชายได้อย่างไร บ่าวมิได้มีความสามารถขนาดนั้น คุณชายเกิดเรื่องแล้วก็มิได้มีผลดีต่อบ่าวเลย”
หลิงอวี้จื้อเริ่มหมดความอดทนแล้ว ชิวจวี๋ถนัดเรื่องใช้ไม้นี้ ไม้นี้อาจจะใช้กับหลิงจื่อเฉิงได้ผล แต่ใช้ไม่ได้ผลกับเธอเลยแม้แต่น้อย นางเก็บรอยยิ้มและความเป็นกันเองที่เคยมีเอาไว้ กวาดตามองเซียวเหยี่ยนอย่างเย็นชา จากนั้นถามมั่วชิงว่า
“หากมีคนไม่ยอมพูดความจริง มีวิธีใดที่จะเปิดปากนางแต่โดยดีบ้าง”
มั่วชิงตอบเสียงเรียบ
“เรียนพระชายา เมื่อก่อนข้าน้อยฝึกยุทธ์มาหลายปี เจอคนไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนเป็นประจำ ตอนนั้นป้าที่ฝึกพวกเราล้วนใช้วิธีๆ วิธีหนึ่ง วิธีนี้พระชายาสามารถลองได้เพคะ”
“อ้อ วิธีอะไรหรือ บอกให้ข้าฟังสิ”