ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 102-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 102-1
“หลีเอ๋อร์…” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮว่าเทียนเซียงถึงกับอึ้งไป นางมองเยี่ยหลีพร้อมกัดริมฝีปากรูปกระจับเบาๆ ดวงตาคู่สวยที่มักมีประกายงดงามอยู่เป็นนิจ ยามนี้มีหยดน้ำคลอหน่วยอยู่ นางรู้ว่าเยี่ยหลีเองก็ลำบากใจ การที่ฮ่องเต้ทรงยกอำนาจการตัดสินใจในเรื่องสำคัญเช่นนี้ทั้งหมดให้กับตำหนักติ้งอ๋องนั้น ดูเผินๆ อาจเข้าใจไปว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญและไว้วางพระทัยในตำหนักติ้งอ๋อง แต่อันที่จริงแล้วเป็นการจับตำหนักติ้งอ๋องไปไว้ในจุดที่ยากลำบากที่สุด ครั้นเยี่ยหลีตอบรับคำขอร้องขององค์หญิงฉางเล่ออย่างง่ายดายเช่นนี้ จึงทำให้ฮว่าเทียนเซียงทั้งยินดีและกังวลใจ
เยี่ยหลียื่นมือไปตบเบาๆ บนมือที่กำแขนเสื้อแน่นอยู่ แล้วเอ่ยกับนางยิ้มๆ ว่า “ใจคนเราอย่างไรย่อมมีความอคติอยู่บ้าง อีกทั้งถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ต้องผิดใจคนอยู่แล้ว เหตุใดข้าจะเลือกคนที่ข้าสบายใจหน่อยไม่ได้เล่า”
องค์หญิงฉางเล่อดูจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องลำบากใจ นางพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเยี่ยหลีด้วยความยินดี “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ ด้วย ข้าชอบเจ้า”
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากข้าไม่รับปากองค์หญิงก็จะมิชอบข้างั้นหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อมองนางด้วยความลำบากใจ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “เสด็จอาติ้งอ๋องบอกว่าเจ้ารับปากแน่ เพียงแต่…เพียงแต่ต่อให้เจ้าไม่รับปากข้าก็จะไม่โทษเจ้า เสด็จแม่บอกว่า…เสด็จแม่บอกว่าไม่ว่าเจ้าจะส่งผู้ใดไปแต่งงาน ก็ไม่ใช่ความผิดเจ้า เพราะ…เพราะเดิมทีเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าอยู่แล้ว”
ไม่คิดว่าฮองเฮาจะตรัสเช่นนี้ ทำให้เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย นางยิ้มพร้อมหยิกแก้มองค์หญิงฉางเล่อ “ขอบพระทัยฮองเฮาแทนข้าด้วยนะเพคะ ฮองเฮาตรัสถูกแล้ว ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะถูกส่งไปแต่งงานก็ต่างมิใช่ความผิดขององค์หญิงเช่นกัน องค์หญิงมิต้องทุกข์ใจเกินไป”
องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตาปริบๆ พยักหน้าด้วยความลังเลใจ “หากข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าจะไปแต่งงานด้วยตนเอง”
เยี่ยหลีมีความประทับใจที่ไม่ดีนักต่อองค์หญิงและท่านหญิงทั้งหลายมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงน้อยพระองค์นี้ นอกจากจะน่ารักแล้วยังมีความคิดความอ่านเช่นนี้อีก เยี่ยหลียิ้มพร้อมหยิกแก้มที่ผัดแป้งมาอย่างดี “ฮองเฮากับฮ่องเต้คงทำใจส่งองค์หญิงไปแต่งงานมิได้หรอกเพคะ อีกทั้ง…องค์หญิงทรงรู้หรือไม่ว่าอันใดคือการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ เมื่อไปอยู่ยังแคว้นอื่นแล้ว คงสบายใจสู้อยู่ที่ต้าฉู่ไม่ได้นะเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อแยกเคี้ยวใส่เยี่ยหลี จับมือที่ทำร้ายแก้มแน่นๆ ของตนด้วยความไม่สบอารมณ์ “ข้ารู้ เสด็จแม่บอกข้าว่า เป็นองค์หญิงถึงแม้จะมีความสุขกับชีวิตที่หรูหรา สะดวกสบาย แต่เรื่องการแต่งงานนั้นมิใช่เรื่องที่สามารถตัดสินใจเองได้ แม้แต่เสด็จแม่เองก็ทำไม่ได้ หากต่อไปยังต้องส่งคนไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์อีก แล้วเสด็จพอเลือกให้ฉางเล่อไป ฉางเล่อจะโยเยไม่ได้ เพราะนี่เป็นหน้าที่ขององค์หญิง”
เมื่อได้ยินองค์หญิงฉางเล่อเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยหลีและฮว่าเทียนเซียงจึงได้แต่นึกทอดถอนใจ
ในวังหลวงมิใช่สถานที่ที่เหมาะกับการสนทนาอันใดอยู่แล้ว ถึงแม้ทั้งสามคนจะหลบอยู่ในสถานที่ที่ลับตาคน แต่อย่างไรก็มิอาจหลบสายตาของนางกำนัลและขันทีที่เดินหาไปทั่วได้พ้น
เยี่ยหลีดึงองค์หญิงฉางเล่อให้ลุกขึ้น “เมื่อพูดธุระจบแล้ว พวกเราก็ออกไปจากที่นี่กันเถิด” เดินออกไปเองย่อมดีกว่าการถูกคนพบเข้าเป็นแน่ ชายาติ้งอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กับองค์หญิงน้อยหลบอยู่ในภูเขาจำลอง หากถูกคนพบเข้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
องค์หญิงฉางเล่อเองก็ได้ยินเสียงร้องเรียกที่ดังใกล้เข้ามาทุกที คิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่นเข้าด้วยกัน “เสด็จแม่ไม่ให้คนมาจับตัวข้าบ่อยๆ เช่นนี้หรอก คนพวกนี้ช่างน่ารังเกียจนัก ประหนึ่งกลัวว่าข้าจะไปพูดอันใดกับใครเข้าอย่างนั้นแหละ”
เยี่ยหลีลงจากภูเขาจำลองไปก่อน แล้วจึงได้หันไปยื่นมืออุ้มองค์หญิงฉางเล่อลงมา จากนั้นจึงค่อยประคองฮว่าเทียนเซียงให้ลงมาตาม
เมื่อเดินออกไปก็พบกับบ่าวในวังที่รีบร้อนเดินเข้ามาหาพวกนางทันที ฮว่าเทียนเซียงได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ช่วงนี้ข้าคงไม่สะดวกไปหาเจ้านัก เดิมทีคิดว่าจะได้พูดคุยกันสบายๆ แต่ดูท่าในวังคงมิใช่สถานที่สงบๆ ที่เหมาะแก่การพูดคุยนัก”
เยี่ยหลียิ้ม “มีอันใดไม่สะดวกกัน หากเจ้ามีเวลาก็มาหาข้าเถิด”
ฮว่าเทียนเซียงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “ไม่เป็นไรดีกว่า ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าคงไม่มีเวลาออกมาเที่ยวเล่นเป็นแน่”
เยี่ยหลีนิ่งคิด ตนเพิ่งกลับมาได้เพียงสองสามวัน และกำลังยุ่งมากจริงๆ จึงได้แต่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าหายไปจากเมืองหลวงพักใหญ่ เลยมีเรื่องให้ต้องสะสางมากหน่อย แม้แต่พี่เจิงเอ๋อร์ข้าก็ยังไม่ได้พบหน้าเลย”
ฮว่าเทียนเซียงเบ้ปาก “ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน เจิงเอ๋อร์ถูกกักตัวไว้แต่ในบ้านรอฤกษ์แต่งงานอยู่แหนะ ต่อให้เจ้าอยากพบยังไม่แน่ว่าจะได้พบเลย”
เยี่ยหลีเหลือบมองนางกำนัลที่เดินจนเกือบถึงตัวพวกนางแล้ว เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “หากเจ้าไม่มัวแต่เลือกมาก จัดการหมั้นหมายเสียแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่ต้องมาปวดหัวเช่นนี้”
ฮว่าเทียนเซียงชะงักไป หน้าเรียวแดงระเรื่อขึ้นทันที เสียก็แต่นางกำนัลเดินเข้ามาถึงตัวพวกนางแล้ว จึงได้แต่ถลึงตาใส่เยี่ยหลีอย่างพูดอันใดไม่ได้อีก
เมื่อกลับไปยังศาลารับลม อวิ๋นเฟยและหวังเจาหรงมิได้อยู่ที่นั่นแล้ว ครั้นฮองเฮาเห็นหน้าซับสีเลือดของฮว่าเทียนเซียง ซ้ำเห็นองค์หญิงฉางเล่อที่เล่นหูเล่นตากับพระองค์ จึงพอรับรู้ได้ลางๆ จึงหันไปพยักหน้าให้เยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งพระทัย
เยี่ยหลีเพียงยิ้มน้อยๆ จูงองค์หญิงฉางเล่อให้เดินเข้าไปนั่งในศาลารับลมด้วยกัน ในศาลารับลมเหลือเพียงองค์หญิงเจาหยาง องค์หญิงเจาเหรินและท่านหญิงหรงหวาเท่านั้น ส่วนคุณหญิงท่านอื่นๆ ถึงแม้ใจคิดอยากจะพูดขอร้องแทนลูกสาวของตน แต่ก็รู้ดีว่าในวังหลวงนี้มิใช่สถานที่ที่จะพูดคุยได้ตามใจ จึงมิได้เข้ามารบกวน
เพียงเยี่ยหลีนั่งลง ก็สัมผัสได้ถึงสายตาไม่ประสงค์ดีนักที่ส่งมายังตน องค์หญิงเจาเหรินยังคงมีสายตาจับผิดและดูถูกเช่นเคย ส่วนสายตาท่านหญิงหรงหวาที่จับจ้องเยี่ยหลีอยู่กลับแลดูมีความต่อว่ากว่าเสด็จแม่ของนางอยู่หลายส่วน
เยี่ยหลียกถ้วยชาที่นางกำนัลเพิ่งนำมาวางไว้ให้ขึ้นมาจะเปิดดื่ม ก็ได้ยินเสียงชิงอวี้เอ่ยปากขึ้นว่า “พระชายา ช่วงนี้พระชายาทรงงานหนักเกินไป ทำให้มีความเย็นในร่างกาย ท่านเสิ่นได้สั่งไว้แล้วว่าช่วงนี้ให้พระชายางดดื่มชาเขียวก่อนนะเพคะ”
เยี่ยหลีชะงักไป ก่อนยกถ้วยชาขึ้นสูดดมกลิ่นเบาๆ แล้วจึงถอนใจด้วยความเสียดาย “ชาอวี่เฉียนหลงจิ่งชั้นเลิศ คงต้องสิ้นเปลืองชาชั้นดีของฮองเฮาแล้ว”
พระเนตรฮองเฮาเป็นประกายขึ้นทันที สีหน้าปรากฏแววเย็นเยียบ ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ชาหลงจิ่งนี้เป็นชาชั้นเลิศก็จริง แต่อย่างไรสุขภาพย่อมสำคัญกว่า หากเจ้าชอบ ไว้ข้าให้คนไปส่งให้ที่ตำหนักติ้งอ๋องก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีไม่เกรงใจ ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบไปว่า “เช่นนั้น ขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ ฮองเฮาอย่าได้ว่าหม่อมฉันเป็นคนละโมบเลยนะเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อนั่งอยู่บนตักเยี่ยหลี ดวงตาสุกใสกะพริบปริบๆ แล้วจึงลุกยืนขึ้น “เสด็จแม่ ฉางเล่อขอไปฝึกเขียนอักษรก่อนนะเพคะ”
ฮองเฮาทอดพระเนตรพระธิดาด้วยความรักใคร่ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไปเถิด”
จนเมื่อองค์หญิงฉางเล่อวิ่งหายไปจนไม่เห็นหลังแล้ว ท่านหญิงหรงหวาจึงได้หันมองเยี่ยหลีด้วยสายตาจับผิด นางส่งเสียงเหอะขึ้นเบาๆ “ชายาติ้งอ๋องมิได้เก่งทั้งบุ๋นและบู๊หรือ ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด แม้แต่น้ำชาธรรมดาๆ ก็ยังดื่มไม่ได้”
เยี่ยหลีอมยิ้มมองท่านหญิงหรงหวา “ท่านหญิงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว เพียงแต่หากไม่สบายก็ควรให้ท่านหมอรีบตรวจดูเท่านั้น การขัดคำสั่งท่านหมอมิใช่เรื่องดีเลย ท่านหญิงว่าจริงหรือไม่เพคะ”
ท่านหญิงหรงหวาเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนยกน้ำชาขึ้นดื่ม “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า ไม่สบายแล้วไม่ควรดื่มชา”
“เอาล่ะ หรงหวา” ครั้นเห็นท่านหญิงหรงหวากัดไม่ปล่อยเช่นนี้ องค์หญิงเจาหยางจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอพระทัย “เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างเจ้า พูดดีๆ กันไม่เป็นหรือ กล่าวติติงกันเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน”
“ข้าจะถูกส่งไปแต่งงานที่เป่ยหรงอยู่แล้ว จะสนใจว่าพูดดีพูดไม่ดีไปไยเพคะ!” ท่านหญิงหรงหวาเอ่ยด้วยความโกรธเคือง ซ้ำยังส่งสายตาดุดันมาให้เยี่ยหลีอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าคงอยากพูดประโยคนี้มานานพอสมควรแล้ว
เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มขื่นในใจ เรื่องการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์เป็นการตัดสินใจของฮ่องเต้ เกี่ยวอันใดกับนางกัน นางเอียงตัวหันไปส่งถ้วยชาให้ชิงอวี้ เยี่ยหลีตัดสินใจว่าจะไม่พูดอันใด
องค์หญิงเจาเหรินดูจะทนไม่ได้เสียก่อน เอ่ยปากขึ้นว่า “ชายาติ้งอ๋อง คนที่จะส่งไปแต่งงานเจ้าคิดไว้เช่นไรหรือ”
เยี่ยหลีได้แต่นึกส่ายหน้าในใจ องค์หญิงเจาเหรินกับท่านหรงหวานี้นิสัยเหมือนกันมิมีผิด คงเพราะเกิดเป็นราชนิกุล จึงมีความหยิ่งทระนงเสียจนเคยกระมัง แม้แต่น้ำเสียงที่ใช้พูดในตอนนี้ยังฟังดูประหนึ่งเป็นคำสั่งเสียได้ “บัญชีรายชื่อที่ฝ่าบาททรงดำริไว้ ท่านอ๋องเพิ่งนำกลับไปที่จวนเมื่อวานนี้ หม่อมฉันยังไม่ทันได้ดูเลยเพคะ จึงมิอาจตอบคำถามองค์หญิงได้”
“คนที่ฝ่าบาทดำริไว้ก็คือฮว่าเทียนเซียง มีผู้ใดมิรู้บ้าง” ท่านหญิงหรงหวาเอ่ยขัดขึ้น “ที่เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าเจ้าคิดตัดชื่อนางออก คิดว่าข้าไม่รู้หรือ”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองท่านหญิงหรงหวาก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะส่งคุณหนูฮว่าไปหรือเพคะ เช่นนั้นเหตุใดฝ่าบาทจึงไม่มีราชโองการให้คุณหนูฮว่าเดินทางไปแต่งงานเสียเลย แต่กลับให้ข้าเป็นคนเลือกคนที่เหมาะสมเล่าเพคะ ถ้าเช่นนั้น…วันนี้พวกเราทุกคนต่างอยู่ในวังหลวง เชิญท่านหญิงหรงหวาไปสอบถามกับฝ่าบาทเลยดีไม่ดีหรือ ว่าพระองค์มีพระประสงค์จะส่งคุณหนูฮว่าไปจริงหรือไม่ ข้าจะได้มั่นใจว่าคนที่ข้าเลือกจะไม่ตรงกับพระทัยพระองค์ ท่านหญิงหรงหวา ท่านว่าดีหรือไม่”
“ข้า…” ท่านหญิงหรงหวาโกรธจนหน้าขาวซีด ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจเรื่องราชกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้อันใดเลย เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่มีราชโองการให้ฮว่าเทียนเซียงไปแต่งงานออกมาตรงๆ นางเป็นราชนิกุลที่ใกล้ชิด ต่อให้ตนคิดไม่ถึง แต่อย่างไรก็ต้องมีคนมาบอกนาง หากนางวิ่งแจ้นไปถามเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์เข้าจริงๆ เกรงว่านางคงได้กลายเป็นตัวเลือกเพียงคนเดียวแน่ เยี่ยหลีคนนี้ บังอาจคิดเล่นงานนางเชียวหรือ! ที่แท้ก็เป็นเช่นเดียวกับเยี่ยอิ๋งสินะ คนแซ่เยี่ยนี่ล้วนมิใช่คนดี!
“ชายาติ้งอ๋อง” องค์หญิงเจาเหรินเหลือบมองท่านหญิงหรงหวาที่กำลังโกรธจัด แล้วได้แต่ทอดถอนใจ นางเป็นคนไม่มีทายาทสืบสกุล องค์หญิงเจาเหรินเองก็มีเพียงพระธิดาเพียงองค์เดียว ดังนั้นจึงเอ็นดูหรงหวาเป็นพิเศษ แต่มิได้คิดว่านางจะรักใคร่จนได้ท่านหญิงที่เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ และไม่มีสมองเช่นนี้
ชายาติ้งอ๋องคนนี้มารดาด่วนจากไปเสียตั้งแต่นางยังเล็ก หากว่ากันเรื่องอายุแล้วยังเด็กกว่าหรงหวาอยู่ครึ่งขวบ แต่การจัดการและการวางตัวของนางนั้นหรงหวามิอาจเทียบนางได้ “หรงหวาเป็นคนใจร้อน พูดจาไม่ค่อยเป็น ชายาติ้งอ๋องอย่าได้ถือโทษเลย”
เยี่ยหลีเองรู้ดีว่าองค์หญิงเจาหยางนั้นรักใคร่หลานสาวผู้นี้มาก จึงอมยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “องค์หญิงตรัสเกินไปแล้วเพคะ อันที่จริงการคัดเลือกคนไปแต่งงานนี้ ถึงแม้ฝ่าบาทจะมอบหมายให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการ แต่องค์หญิงก็รู้ว่าหม่อมฉันอายุยังน้อย ทั้งยังไม่เคยจัดการเรื่องเช่นนี้มาก่อน มีหลายเรื่องที่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง จึงมิกล้าด่วนตัดสินใจ ดังนั้นคำถามเมื่อสักครู่ขององค์หญิงเจาเหริน หม่อมฉันจึงมิอาจตอบได้ในทันที ได้โปรดอภัยด้วยเพคะ”
องค์หญิงเจาหยางยิ้ม “เจาเหรินเพียงร้อนใจแทนหรงหวา ถึงได้เอ่ยถามขึ้นมา พระชายามิต้องเอามาใส่ใจหรอก”
“เรียนฮองเฮา ติ้งอ๋องเสด็จเพคะ” นางกำนัลสาวคนหนึ่งเอ่ยรายงานขึ้นจากนอกศาลา
ฮองเฮายิ้มหันมองเยี่ยหลี “ทุกคนต่างกล่าวกันว่าติ้งอ๋องและพระชายารักใคร่กันยิ่ง เดิมทีข้ายังไม่นึกเชื่อ ครานี้คงต้องเชื่อเสียแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปพักเดียวเท่านั้น ติ้งอ๋องก็รอไม่ไหวแล้วหรือ เชิญติ้งอ๋องเข้ามาเถิด”