ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 115-1 บอกลา
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 115-1 บอกลา
ณ ลานฝึกตำหนักติ้งอ๋อง เยียหลี่ว์เหยี่ยขมวดคิ้วจ้องมองหญิงสาวในชุดขาวตรงหน้า ทั้งสองต่างดูเชิงกันไปมา ไม่มีใครยอมลงมือก่อน เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าดูสงบนิ่งและมีสายตาที่เฉียบคมเช่นนี้ ถึงแม้เยียหลี่ว์เหยี่ยจะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจรู้สึกตกใจไม่น้อย
ยามนี้เขาถึงนึกเข้าใจขึ้นมาบ้างว่า เหตุใดเมื่อปีก่อนองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่โดดเด่นด้านการยิงธนู ถึงได้แพ้ให้กับชายาติ้งอ๋องที่แม้แต่จับคันธนูก็ยังไม่ถนัดมือไปได้ สุดยอดฝีมือนั้น สิ่งที่ต้องผ่านการทดสอบมิได้มีเพียงกำลังกาย ความเร็ว กระบวนท่าและกำลังภายในเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือความมุ่งมั่นในการเอาชนะและรังสีที่สามารถกดคู่ต่อสู้เอาไว้ได้
หญิงสาวผู้นี้มีวิทยายุทธเก่งกาจเพียงใดเยียหลี่ว์เหยี่ยไม่มั่นใจนัก แต่แค่เพียงอากัปกิริยาที่ไม่ตื่นตกใจ และรังสีจากความเฉียบคมในดวงตาประหนึ่งคมมีดที่ส่งออกมาจากใบหน้าที่สงบนิ่ง ก็เพียงพอที่จะจัดนางให้อยู่ในลำดับของยอดฝีมือได้แล้ว
บรรยากาศภายในลานฝึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เยียหลี่ว์เหยี่ยขมวดคิ้ว ยื่นมือไปคว้ากระบี่คมกริบออกมาจากเอว “พระชายาเชิญ!”
เยี่ยหลียืนเอามือไพล่หลัง เอ่ยเรียบๆ ว่า “เชิญองค์ชายก่อน”
เยียหลี่ว์เหยี่ยยิ้มขื่นในใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดูท่าชายาติ้งอ๋องคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้เขาเป็นคนลงมือก่อน ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าอยากประลองฝีมือกับเยี่ยหลีนั้น นอกจากคิดอยากเข้ามาดูที่นี่สักหน่อยแล้ว อันที่จริงก็เพียงนึกอยากพูดคุยต่อปากต่อคำกับนางเท่านั้น แต่มายามนี้จากแกล้งเล่นต้องกลายเป็นทำจริงขึ้นมาได้ จะไม่ประลองก็คงไม่ได้แล้ว
เยียหลี่ว์เหยี่ยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” กระบี่อ่อนในมือพลิ้วไหวอยู่ในอากาศเป็นรูปร่างประหนึ่งดอกไม้ เยียหลี่ว์เหยี่ยพุ่งกระบี่ใส่นางด้วยกระบวนท่าเปิดที่ธรรมดาที่สุด
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนสะบัดตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมประกายสีเงินบางอย่างพุ่งออกไปจากแขนเสื้อ กริชอันคมกริบพุ่งตรงไปยังหน้าอกของเยียหลี่ว์เหยี่ยทันที
หลักจากผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ในที่สุดในดวงตาเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ไม่มีแววเรื่อยๆ สบายๆ อยู่อีก ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเยี่ยหลีถึงใจกว้างปล่อยให้เขาลงมือก่อนเช่นนั้น มิใช่เพราะนางมีความหยิ่งทระนงหรือความไม่รู้ แต่เป็นเพราะนางมั่นใจว่าตนมีความสามารถใกล้เคียงกับคู่แข่ง
หลังจากผ่านไปหลายกระบวนท่า เขาก็ได้รู้ว่า หากเขายังใช้เพลงดาบที่ไม่เยือกเย็นหรือดุดันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางเอาชนะหญิงสาวในชุดขาวที่ดูบอบบางผู้นี้ได้ กระบวนท่าของเยี่ยหลีทั้งดุดันและรวดเร็ว ทุกกระบวนท่าแฝงไปด้วยเป้าหมายในการสังหาร ซึ่งไม่เหมือนกับกระบวนท่าของหญิงสาวทั่วไปที่มักมีความอ่อนโยนอยู่ในนั้น นางมิได้สนใจแม้แต่น้อยว่ากระบวนท่านางจะดูงดงามหรือไม่ สิ่งเดียวที่นางสนใจคือกระบวนท่าเหล่านั้นมีประโยชน์หรือไม่
การประเมินคู่ต่อสู้ไว้ต่ำไปในช่วงแรก ทำให้เขานึกประมาท แต่เมื่อรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเยี่ยหลีแล้ว เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ไม่อ่อนข้อให้อีก กระบวนท่าของกระบี่อ่อนในมือจึงยิ่งรุนแรงขึ้นตาม
คนเป่ยหรงมีนิสัยห้าวหาญ เดิมทีไม่เหมาะที่จะศึกษาเล่าเรียนอาวุธที่มีความเป็นหยินและอ่อนช้อยเช่นกระบี่อ่อน แต่เพลงกระบี่ของเยียหลี่ว์เหยี่ยนั้นเล่าเรียนมาได้อย่างดีมาก เยี่ยหลีรับรู้ได้ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาประมือกับมู่หยางแล้วว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยมิได้ฝึกวิชาที่มีความเป็นหยินและอ่อนช้อยอย่างเดียวเท่านั้น การต่อสู้ที่มีความเป็นหยางและเข้มแข็งนั้น เขาก็เก่งกาจไม่แพ้กัน สามารถนับได้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือด้านวิทยายุทธที่มีทั้งความอ่อนช้อยและเข้มแข็งอย่างหาได้ยากคนหนึ่ง
ภายในลานฝึก ทั้งสองต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ ด้านนอกลานฝึก หัวหน้าพ่อบ้านม่อกำลังมองทั้งสองต่อสู้กันอย่างตั้งใจ ภายในดวงตาของชายชราที่ลุ่มลึกมีทั้งความเป็นกังวลและความภาคภูมิใจ ตำหนักติ้งอ๋องทุกวันนี้ดูเหมือนมีอนาคตที่สดใส แต่อันที่จริงกลับแฝงความอันตรายเอาไว้ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีพระชายาที่ฉลาดหลักแหลม ยามนี้ดูท่าพระชายาจะมิได้มีเพียงความฉลาดและเด็ดขาดเท่านั้น แต่แม้แต่วิทยายุทธก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน ซึ่งนี่ทำให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อรู้สึกตื่นเต้นยินดี จนลอบคิดในใจว่าคงด้วยเพราะตำหนักติ้งอ๋องมีบรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋องคอยคุ้มครองดูแลอยู่เป็นแน่
เพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็แลกกระบวนท่ากันไปกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว เยียหลี่ว์เหยี่ยมองสีหน้าสงบนิ่งและการหายใจที่ยังคงไม่เหนื่อยหอบของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว ได้แต่ลอบถอนใจ ดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้านี้มักมีเรื่องทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอ เดิมทีคิดว่าถึงแม้เยี่ยหลีจะมีกระบวนท่าที่ดุดัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงสตรี พละกำลังย่อมไม่มีมากเช่นบุรุษ อีกทั้งเยียหลี่ว์เหยี่ยดูออกตั้งแต่แรกว่า กำลังภายในของเยี่ยหลีมิได้ถือว่าเก่งกาจนัก หากยื้อเวลาออกไปนานหน่อย ต่อให้นางมีกระบวนท่าที่เก่งกาจเพียงใด ก็คงไม่อาจทดแทนสิ่งเหล่านี้ได้ แต่กลับไม่คิดว่า เวลาล่วงเลยมานานเช่นนี้แล้ว นางจะยังไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยให้เห็น ประหนึ่งสามารถต่อสูเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ กระนั้น
แววตาเยียหลี่ว์เหยี่ยครึ้มลงเล็กน้อย กระบี่ในมือวาดออกเป็นเส้นยาว ก่อนกระโดดถอยไปด้านหลัง
เยี่ยหลีตาเป็นประกาย หยุดยืนนิ่งๆ มิได้บุกตามเข้าไป เมื่อเห็นนางหยุดมือ เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงลอบถอนหายใจ ในเมื่อมิอาจทำให้บาดเจ็บและมิอาจฆ่าอีกฝ่ายได้ หากยังต่อสู้กันต่อไป ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คนที่ดูไม่ดีก็คือเขา
“ไม่คิดเลยว่าชายาติ้งอ๋องจะแข็งแรงและเก่งกาจเช่นนี้ ข้าน้อยขอนับถือ” เขาเก็บกระบี่เข้าที่เอว ก่อนเยียหลี่ว์เหยี่ยจะเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องขึ้น
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อองค์ชายเห็นว่าพอแล้ว ก็เชิญไปดื่มชาที่ห้องโถงด้านหน้าก่อนเถิด ถึงเวลาพวกเราค่อยคุยธุระกัน”
เยียหลี่ว์เหยี่ยพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ยืนอยู่อีกด้าน เดินขึ้นหน้าเข้ามาเชิญเยียหลี่ว์เหยี่ยให้ไปรอยังห้องโถงใหญ่ด้านหน้า
เยี่ยหลีกลับห้องไปเปลี่ยนชุด การพูดคุยกับเยียหลี่ว์เหยี่ยย่อมต้องประชันฝีปากกันอย่างไม่ต้องสงสัย องค์ชายเป่ยหรงผู้นี้ช่างไม่มีตรงใดที่เหมือนกับคนเป่ยหรงในความเข้าใจของคนต้าฉู่เลยแม้แต่น้อย เจ้าเล่ห์ หลักแหลม หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์จะไม่มีทางยอมถอย
ทั้งสองพูดคุยเรื่องรายชื่อที่เยี่ยหลีจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วอยู่เป็นนาน ในที่สุดจึงตัดสินใจคัดเลือกท่านหญิงหรงหวา หลานสาวหลิ่วกุ้ยเฟย หลิ่วอวี๋แห่งตระกูลหลิ่ว และหลานสาวคนเล็กของเจียอ๋องผู้เฒ่าเสด็จลุงเพียงคนเดียวของม่อจิ่งฉี ท่านหญิงชิงอี๋ เพียงแต่ท่านหญิงชิงอี๋เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของท่านอ๋องผู้เฒ่า ปีนี้ก็เพิ่งมีชันษาได้สิบสามปี ที่เพิ่มชื่อนางเข้าไปก็เพียงเพื่อให้รายชื่อดูดีหน่อยเท่านั้น
ด้วยเพราะราชวงศ์ต้าฉู่มีมักมีชายมากกว่าหญิง ชื่อองค์หญิงหรือท่านหญิงที่สามารถใส่ชื่อเข้ามาได้จึงแทบไม่มีเลย เพียงแต่นี่ก็คงทำไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเรื่องการให้เกียรติท่านอ๋องผู้เฒ่าหรือว่าอายุอานามของท่านหญิงชิงอี๋แล้ว อย่างไรก็มิใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไรนัก ท้ายที่สุดตัวเลือกคงเหลือเพียงท่านหญิงหรงหวาและบุตรสาวของตระกูลหลิ่วเท่านั้น
ท้ายที่สุดคงต้องให้เยียหลี่ว์เหยี่ยได้พบหน้าทั้งสามคนก่อนค่อยตัดสินใจเลือกอีกครั้ง เยี่ยหลีมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ที่นางสามารถพูดให้เยียหลี่ว์เหยี่ยเลือกคนสามคนออกมาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากให้เยียหลี่ว์เหยี่ยเห็นรายชื่อคุณหนูทั้งหมด ตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวงคงใช้ชีวิตกันอย่างไม่สงบสุขเท่าไรนัก เชื่อว่าหากครานี้ขบวนรับตัวเจ้าสาวของเป่ยหรงออกเดินทางกลับเมื่อไร ในเมืองหลวงแห่งนี้คงมีงานมงคลเกิดขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว
เมื่อส่งเยียหลี่ว์เหยี่ยกลับไปแล้ว เยี่ยหลียังไม่ทันได้ลุกขึ้นเดินกลับห้อง ก็มีคนเข้ามารายงานว่าแม่นางเหยาจีมาขอเข้าพบ
ด้วยฐานะของเหยาจี ย่อมไม่ได้รับการเชิญให้เข้ามารอด้านในตำหนักก่อนดังเช่นเยียหลี่ว์เหยี่ย นางทำได้เพียงยืนอยู่ที่ประตูข้างของตำหนัก รอว่าพระชายาจะพบหรือไม่พบเท่านั้น
เมื่อเยี่ยหลีได้ยินก็อึ้งไป สองวันนี้นางยุ่งจนลืมเรื่องเหยาจีไปเสียสนิท นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ให้นางเข้ามาเถิด”
ไม่นาน เหยาจีก็เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้นำทางผู้หนึ่ง นางมิได้แต่งตัวเย้ายวนดังเช่นปกติ ยามนี้นางอยู่ในชุดสีเหลืองเข้มธรรมดาทั่วไป มองดูงดงามน้อยลง แต่ดูสะอาดสะอ้านขึ้น ดูเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่ง
“คารวะพระชายา” เหยาจีก้มศีรษะพร้อมยอบกายลงเล็กน้อย
เยี่ยหลีโบกมือ “ไม่ต้องหรอก มีเรื่องอันใดก็นั่งลงพูดคุยกันเถิด”
เหยาจีเงยหน้าขึ้นมองนาง เอ่ยขอบคุณเสียงเบา “ข้าไม่คิดเลยว่าพระชายาจะยังยอมพบหน้าข้าอีก”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หากเจ้ามั่นใจว่าข้าไม่มีทางพบหน้าเจ้าอีก เหตุใดเจ้าถึงได้มาเล่า” ถึงแม้จะไม่เคยไปมาหาสู่กันมากนัก แต่เยี่ยหลีมองออกว่าเหยาจีเป็นสตรีที่มีความหยิ่งทระนงสูงมาก ย่อมไม่มีทางมาพูดคุยเรื่องไร้สาระเป็นแน่