ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 150 สถานการณ์อันตรายของจวนหนานโหว
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 150 สถานการณ์อันตรายของจวนหนานโหว
ไม่นาน เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะไปสร้างความทรมานใจให้ซูจุ้ยเตี๋ยอีก ด้วยเพราะมีข่าวอันน่าตื่นตกใจส่งมาจากเมืองหลวง
ฮ่องเต้กล่าวโทษหนานโหวและหนานโหวซื่อจื่อสมคบคิดกับศัตรูทรยศแว่นแคว้น จึงจับตัวคนในจวนหนานโหวทั้งหมดเข้าคุกหลวง เตรียมประหารชีวิตในเร็ววัน พร้อมกันนั้นยังได้ส่งคนมาจับตัวหนานโหวและหนานโหวซื่อจื่อกลับเมืองหลวงอีกด้วย
เมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ หนานโหวตกใจจนถึงกับล้มลงกับพื้น นิ่งเงียบอยู่เป็นนานอย่างพูดไม่ออก ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ถอนใจยาวออกมา ตลอดชีวิตมานี้ เขาถ่อมตนและระมัดระวังตัวมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะไม่สามารถรอดพ้นความหวาดระแวงและความคลางแคลงใจของฮ่องเต้ไปได้
หนานโหวซื่อจื่อลุกขึ้นเตรียมพุ่งออกไปด้านนอก ก็ถูกเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาที่เดินเคียงกันเข้ามาขวางเอาไว้หน้าประตูพอดี เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อจะไปที่ใดหรือ”
หนานโหวซื่อจื่อเอ่ยว่า “เป็นเพราะข้า ทำให้จวนหนานโหวต้องเดือดร้อนไปด้วย ข้าจะกลับเมืองหลวงไปขอรับโทษจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีและม่อซิวเหยายังไม่ทันได้พูดอันใด ก็มีเสียงเข้มอย่างโกรธจัดของหนานโหวดังออกมาจากด้านใน “ลูกทรพี! กลับมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นหนานโหวซื่อจื่ออึ้งไป เยี่ยหลีก็ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “กลับเข้าไปก่อนเถิด ไปฟังว่าหนานโหวจะว่าเช่นไร ซื่อจื่ออย่าเพิ่งผลีผลามเลย”
หนานโหวซื่อจื่อยิ้มขื่น “ยามนี้ข้าจะยังเป็นซื่อจื่ออันใดอีก” ฮ่องเต้จับคนทั้งจวนหนานโหวเข้าคุก พร้อมกันนั้นก็ได้ปลดหนานโหวออกจากตำแหน่งโหว หนานโหวซื่อจื่อจึงย่อมมิใช่ซื่อจื่ออีกต่อไป
เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้องโถง หนานโหวก็ออกมาประสานมือคารวะต้อนรับ “ท่านอ๋อง พระชายา ให้ท่านเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”
ช่วงหนึ่งเดือนมานี้ เรื่องที่ทำร้ายจิตใจหนานโหวมีมากเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ออกรบมาก็ต้องเหน็ดเหนื่อยเดินทางไกล ถึงแม้ตั้งแต่หนานโหวซื่อจื่อกลับมา จะดูดีขึ้นมาบ้าง แต่หนานโหวในยามนี้ ก็ยังคงดูอ่อนแออยู่ไม่น้อย ผมบริเวณขมับทั้งสองข้างที่เคยเป็นสีเทา ยามนี้ดูจะขาวไปหมดเสียแล้ว
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านโหวรักษาตัวด้วย”
หนานโหวส่ายหน้า ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ตั้งแต่โบราณมา การอยู่ใกล้ประมุขก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ถึงแม้ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สอดเท้าเข้าไปยุ่ง แต่กลับหนีไม่พ้น…” เขาไม่ได้พูดให้จบ เหลือเพียงถอนเสียงหายใจยาวเท่านั้น
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึมว่า “เป็นเพราะข้าทำให้ท่านโหวต้องเดือดร้อน”
ที่ว่าหนานโหวคบคิดกับศัตรูทรยศแผ่นดินนั้น อย่าว่าแต่ม่อซิวเหยาไม่เชื่อเลย เกรงว่ายามนี้ม่อจิ่งฉีที่นั่งอยู่ในวังหลวงเองก็คงไม่เชื่อเช่นกัน เพียงแต่การที่หนานโหวซื่อจื่อกลับมาได้ด้วยความช่วยเหลือของตำหนักติ้งอ๋อง ในสายตาของฮ่องเต้แล้ว ต่อไปจวนหนานโหวและตำหนักติ้งอ๋องคงได้กลายเป็นพวกเดียวกัน อีกอย่างที่หลายปีมานี้หนานโหวทำตัวบ้าใบ้ ไม่ยอมช่วยเหลือฮ่องเต้ต่อกรกับตำหนักติ้งอ๋องนั้น สำหรับฮ่องเต้แล้วนี่ก็ถือเป็นความไม่จงรักภักดีอย่างหนึ่ง มายามนี้อย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางไว้ใจจวนหนานโหวอีกอย่างแน่นอน
หนานโหวฝืนยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดท่านอ๋องถึงกล่าวเช่นนี้ ข้าเกิดมาเป็นคนอ่อนแอ คิดเพียงอยากวางตัวอยู่นอกเรื่องการเมือง หากครานี้มิใช่ด้วยเพราะบุตรชายของข้า เกรงว่าตัวข้าก็คงไม่ยอมก้าวเข้ามาในเรื่องเหล่านี้เช่นกัน คนที่พยายามแต่อยู่ในจุดที่สบาย…ผลที่ได้รับในวันนี้คงต้องคิดเสียว่า ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น”
“ท่านโหวไม่จำเป็นต้องกล่าวโทษตนเองเช่นนี้” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า
เมื่อสมัยหนานโหวยังหนุ่ม ก็เคยมีช่วงเวลาออกไปกรำศึกออกรบอย่างห้าวหาญ แต่ช่วงหลายปีหลังจากนั้น ที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการม่อหลิวฟางเสียชีวิตลงอย่างน่าสงสัย อีกทั้งอดีตฮ่องเต้ก็ยังมาสิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน จากนั้นม่อซิวเหวินก็มาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันอีกเช่นกัน ทหารกองทัพตระกูลม่อหลายหมื่นนายล้มตายอยู่ที่ชายแดน หนานโหวเป็นคนฉลาด มองเรื่องเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งจึงทำให้คิดมาก เมื่อเห็นมามากและคิดไปไกลมากจึงย่อมนึกกลัว ดังนั้นถึงได้กลายเป็นหนานโหวที่ไม่สนใจเรื่องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นอย่างก่อนหน้านี้
หนานโหวส่ายหน้าไม่เอ่ยอันใด เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองสีหน้าหนานโหวที่ดูหม่นหมองไม่มีราศี ในแววตามีเพียงความเศร้าหมอง ก็ให้นึกหวิวในใจ เกรงว่าหนานโหวคงยอมแพ้ให้ต่อโชคชะตาเสียแล้ว
“ท่านโหว ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวัง อย่าลืมว่าจวนหนานโหวยังรอให้ท่านโหวกลับไปช่วยเหลืออยู่ ซื่อจื่อเองก็ยังต้องมีท่านโหวคอยชี้แนะสั่งสอน หวังว่าท่านโหวจะรักษาตัวด้วย”
หนานโหวอึ้งไป หันมองหนานโหวซื่อจื่อที่ยืนอยู่ข้างกายเขา สีหน้ามีประกายแน่วแน่ “ข้าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ ส่วนบุตรชายของข้า…หวังว่าท่านอ๋องและพระชายาจะช่วยคุ้มครองเขาสักเล็กน้อย”
“ท่านโหวโปรดใคร่ครวญให้ดีก่อน!” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น หากหนานโหวพาหนานโหวซื่อจื่อกลับเมืองหลวงไปด้วยกัน ผลลัพธ์อาจต้องตายเสียเก้าส่วน แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งส่วนที่อาจมีทางรอด แต่หากให้หนานโหวซื่อจื่อรั้งอยู่ที่นี่ แล้วเขากลับเมืองหลวงไปเพียงคนเดียวแล้ว เกรงว่าคงมีแต่จะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น
หนานโหวยกมือขึ้นห้ามเยี่ยหลี เอ่ยว่า “ขอบพระคุณในความหวังดีของพระชายา เพียงแต่…ฝ่าบาทพระองค์นี้…ก็ถือเป็นคนที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เมื่อเทียบกับท่านอ๋องและพระชายาแล้ว เกรงว่าข้าจะรู้จักพระองค์ดีกว่าพวกท่านอยู่เล็กน้อย ท่านอ๋อง ตำหนักติ้งอ๋องจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าฉู่มาทุกยุคทุกสมัย เดิมทีข้าไม่ควรพูดเช่นนี้…แต่ในยามนี้ คงไม่ต่างอันใดกันนัก ทางฟากฝ่าบาทนั่น…ท่านอ๋องตัดสินใจโดยเร็วเถิดว่าจะจัดการเช่นไร”
ภายในห้องโถงเงียบกริบ หนานโหวได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ตนรู้ดีว่าการเดินทางกลับเมืองหลวงเป็นการเดินทางกลับไปตาย แต่อย่างไรก็ต้องกลับไป
หนานโหวซื่อจื่อเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านพ่อ ลูกจะกลับไปกับท่าน”
หนานโหวถลึงตาใส่เขา “เหลวไหล! หากพ่อเจ้าไปแล้วไม่ได้กลับมา เจ้าจะให้ตระกูลโหวขาดผู้สืบทอดหรือ”
“ท่านพ่อ!”
“เรียนท่านอ๋อง มีคนมาจากเมืองหลวง บอกว่าจะมาจับตัวหนานโหวและหนานโหวซื่อจื่อกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอกประตู มีเสียงองครักษ์เอ่ยรายงาน
ม่อซิวเหยาลุกขึ้น หัวเราะอย่างเยาะหยัน “ข้าเพิ่งได้รู้ข่าว คนของเมืองหลวงก็มาถึงแล้วหรือนี่ ฮ่องเต้เก่งกาจขึ้นแล้วสินะ คนที่มาคือผู้ใด”
องครักษ์เอ่ยว่า “เป็นเจ้ากรมอาญา หวังจิ้งชวนพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “หวังจิ้งชวน?” ติ้งอ๋องวันวันหนึ่งมีเรื่องต้องจัดการมากมาย ขุนนางเล็กขุนนางน้อยที่ไม่มีบทบาท จึงย่อมไม่รู้จัก
หนานโหวหัวเราะขื่น “เขาคือพี่ชายของพระสนมหวังเจาหรง บุตรชายคนรองสายรองของตระกูลหวังพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยก็เข้าใจในทันที ถึงแม้จวนหนานโหวจะวางตัวเป็นกลาง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีตระกูลคู่แค้นเอาเสียเลย และตระกูลหวังนี้ก็เป็นตระกูลที่ไม่ลงรอยกับจวนหนานโหวอย่างมากพอดีเสียด้วย ที่ฮ่องเต้ส่งคนผู้นี้มาจับตัวพ่อลูกหนานโหวกลับเมืองหลวง ก็ด้วยเพราะตั้งใจที่จะสร้างความลำบากใจและเป็นการหมิ่นเกียรติเขาไปด้วยในตัว
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “ให้เขาเข้ามา!”
ไม่นาน ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ในเครื่องแบบขุนนางขั้นสามก็เดินเข้ามา คนผู้นี้หน้าตาไม่เลวนัก แต่สีหน้ากลับดูร้ายกาจ ดูก็รู้ว่ามิใช่คนดี ด้านหลังเขามีชายหนุ่มในเครื่องแบบขุนนางขั้นเจ็ดเดินตามเข้ามาอีกคน เมื่อเยี่ยหลีเห็นคนผู้นั้นก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“ข้าน้อย ขุนนางหัวหน้าศาลตาหลี่ หวังจิ้งชวนคารวะท่านอ๋อง พระชายา” หวังจิ้งชวนยังถือว่ารู้ว่าอันใดควรไม่ควร เมื่อเดินเข้ามาก็รีบทำความเคารพม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีทันที ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเขาก็ทำความเคารพตาม “ต้าหลี่ซื่อจู่ปู้ โจวอวี้คารวะท่านอ๋อง พระชายา”ม่อซิวเหยานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ กดสายตาลงมองทั้งสองที่คุกเข่าอยู่กับพื้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นได้ ใต้เท้าหวัง มาด้วยเหตุอันใดหรือ”
หวังจิ้งชวนลุกยืนขึ้น ในดวงตามีประกายได้ใจ “เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยได้รับพระบัญชาให้มาจับตัวกบฏหนานจื้อและหนานจวิ้นเฟยกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “กบฏ? หนานโหวเป็นรองหัวหน้าผู้บัญชาการทหารของข้า ถึงแม้ก่อนหน้านี้หนานโหวซื่อจื่อจะรบแพ้และถูกจับไปเป็นตัวประกัน แต่ก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว ต่อมาก็ได้สร้างผลงานจากการรบไว้หลายครั้ง กบฏที่ใต้เท้าหวังเอ่ยถึงคือผู้ใดกันหรือ มีหลักฐานหรือไม่”
หวังจิ้งชวนดูจะคิดไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะเอ่ยถามเช่นนี้ จึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ท่านอ๋องคิดจะขัดพระราชโองการหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ “ขัดราชโองการ? ราชโองการอยู่ที่ใด ข้าได้ยินว่าตระกูลหวังและจวนหนานโหวมีเรื่องไม่ลงรอยกันอยู่มาก ข้าจึงนึกสงสัยว่า เจ้าคงแอบอ้างราชโองการใส่ร้ายหนานโหว!”
“ท่านอ๋อง! โปรดระวังวาจาด้วย ต่อให้ข้าน้อยมีความแค้นกับจวนหนานโหว แต่ก็มิบังอาจทำเรื่องเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ราชโองการอยู่ที่ใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเรียบๆ
หวังจิ้งชวนนิ่งไป เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตากดดันของม่อซิวเหยา จึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีราชโองการทางวาจาพ่ะย่ะค่ะ”
“ราชโองการทางวาจา?” ม่อซิวเหยามองชายหนุ่มที่เริ่มอยู่ไม่สงบด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แล้วมิได้เอ่ยอันใดอีก
หวังจิ้งชวนยืนก้มหน้าอยู่กลางห้องโถงด้วยจิตใจไม่สงบ บรรยากาศภายในห้องโถงดูจะเงียบกริบผิดปกติ ภายใต้สายตาของติ้งอ๋อง หวังจิ้งชวนประหนึ่งได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นดังออกมาจากทรวงอก ด้านหลังชุดของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ในขณะที่หวังจิ้งชวนคิดว่าตนใกล้จะเข่าอ่อนลงกับพื้นเต็มทีด้วยเพราะสายตากดดันของติ้งอ๋องนั้น โจวอวี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังตนก็ก้าวเข้ามา คารวะพร้อมเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋องโปรดใจเย็นก่อน ข้าน้อยเองก็ได้รับพระบัญชามาจากฝ่าบาทมา ท่านอ๋องได้โปรดให้ความสะดวกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้รับพระบัญชาเช่นกัน?” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความขบขัน หวังจิ้งชวนรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงสายตาของติ้งอ๋องที่เลื่อนออกไปจากตน ในใจอดลอบถอนใจออกมาไม่ได้ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผาก ในใจหวังจิ้งชวนถึงขั้นนึกขอบคุณเด็กหนุ่มใต้บังคับบัญชาที่แสนจะพูดน้อยคนนี้
เขาได้ยินเพียงม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ช่างเป็นพระบัญชาที่ดีจริงๆ เดิมที่ข้าเองก็ไม่ควรทำให้พวกเจ้าลำบาก เพียงแต่ เชื่อว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินคำพูดหนึ่ง”
“ท่านอ๋องโปรดชี้แนะด้วย” หวังจิ้งชวนมิใช่คนโง่ ไม่ว่าในใจเขาจะยินดีเพียงใดที่จวนหนานโหวถึงคราวโชคร้าย แต่ในเมื่อยามนี้ติ้งอ๋องไม่ยินดี เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องแสดงความได้ใจออกมา เพราะถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็จะต้องยืนอยู่ข้างเขา แต่หากท่านอ๋องเกิดโกรธจนสั่งฆ่าเขาขึ้นมา สุดท้ายฝ่าบาทและตระกูลหวังคงทำได้เพียงบีบจมูกและยอมรับเรื่องทั้งหมดเท่านั้น
ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองทั้งสองคน เอ่ยช้าๆ ว่า “แม่ทัพที่กรำศึกอยู่ข้างนอก ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจากประมุขทุกคำ”
หวังจิ้งชวนอึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมาด้วยราชโองการของฝ่าบาท ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หวังจิ้งชวนนึกคร่ำครวญในใจ นึกเสียใจที่ในคราแรกตนแย่งมาทำหน้าที่นี้ด้วยเพราะอยากเห็นศัตรูของตนตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก อย่าว่าแต่เป็นขุนนางขั้นสามธรรมดาๆ เลย ต่อให้เป็นขุนนางขั้นหนึ่งในราชสำนัก หากติ้งอ๋องคิดอยากกลั่นแกล้งให้เขาลำบากแล้ว จะมีผู้ใดกล้าเอ่ยไม่สักคำหรือ เพียงแต่หากนำตัวพ่อลูกหนานโหวกลับไปไม่ได้ เมื่อกลับถึงเมืองหลวงวันเวลาดีๆ ของเขาก็คงถึงกาลสิ้นสุดลงเช่นกัน
“ยามนี้กองทัพของข้ากำลังทำศึกกับแคว้นซีหลิง หากผลีผลามปลดรองหัวหน้าผู้บัญชาการ เกรงว่าคงจะไม่ดีต่อขวัญกำลังใจของทหาร ใต้เท้าหวังกลับไปทูลกับฮ่องเต้เช่นนี้เถิด หากฮ่องเต้ต้องการลงอาญา ใต้เท้าหวังก็โยนมาที่ข้าก็แล้วกัน” ม่อซิวเหยาดูมิได้สนใจอยากจะให้หวังจิ้งชวนลำบากสักเท่าไร จึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
หวังจิ้งชวนส่ายหน้า “ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย หนานโหวสบคบกับศัตรูทรยศแผ่นดิน เป็นโทษที่มิอาจอภัยได้ ฝ่าบาททรงพิโรธอย่างหนัก มีบัญชาให้ข้าน้อยจับตัวหนานโหวกลับไปได้ให้ได้ภายในครึ่งเดือน หาไม่แล้ว…พวกข้าน้อยคงทำได้เพียงหิ้วศีรษะกลับไปเข้าเฝ้า ท่านอ๋องได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยเถิด ให้ข้าน้อยได้มีทางรอดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว ส่งเสียงหัวเราะอย่างเยาะหยัน “ช่างเป็นการสมคบคิดทรยศแผ่นดินที่ดีจริงๆ ที่ผลเป็นเช่นนี้…เป็นการพิจารณาของศาลต้าหลี่หรือทุกกรมร่วมกันพิจารณาหรือ หลักฐานอยู่ที่ใด”
หวังจิ้งชวนยังไม่ทันคิดออกว่าจะต้องตอบเช่นไร โจวอวี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เอ่ยปากขึ้นว่า “เรียนท่านอ๋อง เมื่อฮ่องเต้ทรงได้รับข่าว ก็ทรงพิโรธหนักทันที จึงบัญชาให้พวกข้าน้อยรีบมาจับตัวกลับเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ยังไม่ได้ตัดสิน แม้แต่หลักฐานสักชิ้นก็ยังไม่มี แต่กลับสั่งจับตัวคนทั้งจวนหนานโหวเข้าคุกหลวงเตรียมประหารชีวิต… เขาส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “หากกล่าวเช่นนี้ ก็หมายความว่าข้าบกพร่องในการตรวจสอบอย่างนั้นสิ หนานโหวอยู่ข้างกายข้าแท้ๆ แต่ถึงขึ้นสามารถลักลอบติดต่อกับแคว้นศัตรูได้โดยที่ข้าไม่รู้ ใต้เท้าหวังนำฎีกาขอรับโทษของข้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ส่วนท่านหนานโหวนั้น รอให้ศึกกับซีหลิงแล้วเสียก่อน ข้าจะจับตัวเขากลับเมืองหลวงด้วยตนเอง”
“เรื่องนี้…” หวังจิ้งชวนลังเลเล็กน้อยอย่างไม่ยินยอม
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่ใต้เท้าหวังไม่เชื่อข้าหรือ”
หวังจิ้งชวนอึ้งไป รีบเอ่ยว่า “มิกล้า ข้าน้อยจะไม่ปิดบังความจริงกับท่านอ๋อง ฝ่าบาทมีราชโองการว่า ภายในสิบห้าวัน หากยังไม่เห็นตัวพ่อลูกหนานโหวกลับเมืองหลวง คนในจวนหนานโหวไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชาย จะต้องหัวหลุดจากบ่าพ่ะย่ะค่ะ!”
อีกด้าน เยี่ยหลีนึกทอดถอนใจ ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วว่าจะเอาจวนหนานโหวถึงตาย เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้หนานโหวกลับถึงเมืองหลวง ชีวิตคนในจวนหนานโหวก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ต่อให้ยามนี้พวกเขาคิดอยากรีบกลับไปช่วยชีวิตคนเหล่านั้นก็คงไม่ทันการณ์เสียแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยจุดยืนของตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้ ไม่มีทางช่วยพวกเขาอย่างลับๆ ได้ หากคิดอยากขอให้ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตคนเหล่านั้น ม่อซิวเหยาคงต้องเดินทางกลับเมืองหลวงด้วยตนเองเท่านั้น แต่ทำศึกอยู่เช่นคงยิ่งเป็นไปไม่ได้
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ หนานโหวก็เดินออกมาจากห้องด้านใน เอ่ยด้วยสีหน้าสบายๆ ว่า “ข้ากลับเมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้าก็แล้วกัน”
หวังจิ้งชวนหันมองไปทางม่อซิวเหยา หากติ้งอ๋องไม่เห็นด้วย ต่อให้ตัวหนานโหวยินดีที่จะกลับไปกับเขา อย่างไรก็คงเอาตัวเขาไปไม่ได้
หนานโหวหมุนตัวหันไปประสานมือให้ม่อซิวเหยา “ท่านอ๋อง ข้าน้อยกลับไปครานี้ มิรู้ว่าจะมีโอกาสได้พบท่านอีกหรือไม่ ทั้งหมดนี้…คงต้องขอรบกวนท่านอ๋องแล้ว”
“เจ้า!” ต่อหน้าม่อซิวเหยา อย่างไรหวังจิ้งชวนก็ไม่กล้าวางอำนาจจนเกินไปนัก เขาถอนใจทีหนึ่ง ก่อนพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ในเมื่อท่านอ๋องไม่ว่าอันใด ก็ขอให้ท่านอ๋องส่งตัวหนานโหวซื่อจื่อออกมาพร้อมกันด้วยเลยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเองจะได้ลากลับเมืองหลวง”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เคยพบหนานโหวซื่อจื่อ”
หวังจิ้งชวนอึ้งไป ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดพระชายาถึงต้องโป้ปดกันด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ หนานโหวซื่อจื่อถูกกองทัพซีหลิงจับไปเป็นตัวประกัน ต่อมาก็ได้พระชายาช่วยไว้ พระชายาจะไม่เคยพบเขาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ใต้เท้าหวังเพิ่งมาจากเมืองหลวง แต่กลับรู้เรื่องราวได้ละเอียดเช่นนี้ ข่าวของท่านช่างรวดเร็วเสียจริง เพียงแต่…ข่าวของใต้เท้าหวังอาจผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย ข้าไม่เคยพบหนานโหวซื่อจื่อ จริงๆ หรือว่า…ใต้เท้าหวังอยากตรวจค้นจวนผู้ว่าการและเมืองซิ่นหยางดู?”
หวังจิ้งชวนรีบเหลือบมองติ้งอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วรีบส่ายหน้า ต่อให้หนานโหวซื่อจื่ออยู่ในจวนผู้ว่าการจริง เขาก็ไม่มีความกล้าไปตรวจค้น อีกทั้ง เมืองซิ่นหยาง จวนผู้ว่าการ หรือแม้กระทั่งเมืองหลายเมืองในซีเป่ย ยามนี้ต่างอยู่ในความควบคุมของท่านอ๋อง ผู้ใดเลยจะกล้ายืนยันว่ายามนี้หนานโหวซื่อจื่ออยู่ที่นี่ หากเกิดหาตัวคนไม่พบ แล้วทำให้ท่านอ๋องนึกโกรธขึ้นมา…หวังจิ้งชวนนึกมั่นใจอีกครั้งว่า ครานี้ตนได้รับเผือกร้อนๆ มาลวกมือตนเองเสียแล้ว
“ที่พระชายาเอ่ยนั้นไม่ผิด ข้าไม่เคยพบหนานโหวซื่อจื่อ ในเมื่อเจ้าอยากจับตัวหนานโหวกลับเมืองหลวง ข้าก็จะไม่รั้งเจ้าไว้ อีกอย่าง ในเมื่อเจ้าต้องรีบกลับไปให้ทัน ข้าจะให้องครักษ์ลับสองคนส่งพวกเจ้ากลับเมืองหลวงด้วยก็แล้วกัน”
หวังจิ้งชวนนิ่งไป ทำได้เพียงเอ่ยว่า “เช่นนั้น ข้าน้อยขอตัว…”
เมื่อเห็นหนานโหวหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่รีรอ เยี่ยหลีกนึกถอนใจเบาๆ ลุกขึ้นเอ่ยส่งเขาว่า “ท่านโหวรักษาตัวด้วย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานโหวดูเป็นธรรมชาติอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ขอบพระคุณพระชายา ท่านอ๋อง พระชายา รักษาตัวด้วย”