ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 160 เผาเมืองซิ่นหยาง
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 160 เผาเมืองซิ่นหยาง
ต้นเดือนสิบ
หลังจากผ่านการโจมตีอย่างดุดันต่อเนื่องโดยไม่หยุดมาเป็นเวลาหลายวัน และทิ้งช่วงไปกว่าหนึ่งเดือน ทัพใหญ่ของซีหลิงก็เริ่มบุกโจมตีเมืองซิ่นหยางอย่างบ้าระห่ำอีกครั้ง
แต่ครานี้สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาอยู่มิใช่ทรัพย์สินเงินทองมากมาย มิใช่เสบียงอาหารและยุทธปัจจัยต่างๆ หรือแม้แต่ชาวบ้านที่ตื่นตระหนกสักคนก็ยังไม่มี สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา เป็นเพียงเมืองที่ว่างเปล่าเมืองหนึ่ง ทั่งทั้งเมืองนอกจากเสียงที่ออกมาจากพวกเขาแล้ว ไม่มีเสียงใดๆ อีก
บ้านเรือนภายในเมือง ต่างกลายเป็นบ้านร้างไร้ผู้คน ภายในบ้านที่ว่างเปล่าไม่มีแม้ข้าวสักเม็ดให้ได้เห็น ร้านค้าทั้งหมด หากมิได้ถูกขนข้าวของออกไปจนหมด ก็ถูกทำลายไปเสียก่อนแล้ว แม้แต่บ่อน้ำในเมืองก็ถูกคนโยนสิ่งของลงไปจำนวนมาก หากคิดอยากทำให้น้ำเหล่านั้นกลับมาดื่มได้ คงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย
ทัพหน้าที่บุกเข้ามาก่อนนั่งอยู่บนหลังม้า มองเมืองที่ว่างเปล่าตรงหน้าด้วยสายตาดุดัน
“ท่านแม่ทัพ ในเมืองไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคนขอรับ!” พลทหารที่ไปออกสำรวจกลับมารายงาน
“สารเลว!” ผู้บัญชาการทหารที่นำทัพหน้าเข้ามาถึงกับโกรธจัด ไม่รู้ว่ากำลังก่นดาทหารของต้าฉู่หรือกำลังก่นด่าตนเอง เขาผรุสวาทอยู่อีกหลายประโยค และทำได้เพียงส่งคนไปรายงานต่อเจิ้นหนานอ๋องที่กำลังตามมาทีหลังและยังมิได้เข้าเมืองมา
“นั่นคืออันใด” แม่ทัพทัพหน้าเขม้นมอง ชี้นิ้วไปยังมุมๆ หนึ่งที่มีสิ่งของดำเมี่ยมวางอยู่ในจุดที่ไม่สะดุดตานัก
นายทหารที่ยืนอยู่หน้าม้าของเขา เดินเข้าไปตรวจสอบดู ไม่นานก็กลับมารายงานด้วยความงงงวยสงสัยว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ดูเหมือนจะเป็นน้ำมันขอรับ น่าจะเป็นของที่ลืมทิ้งไว้ตอนหลบหนีขอรับ”
หัวหน้าทหารกองหน้าขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองไปรอบๆ โดยละเอียด ก็พบว่าจุดที่มีร่องรอยเช่นนี้มีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งในอากาศยังดูเหมือนจะมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งอยู่เช่นกัน ของที่วางไว้ในจุดที่พวกเขาหยุดรอเมื่อยามเข้าเมืองมานั้น ตามท้องถนนมีร้านสุราอยู่หลายร้านจึงมิทันได้สังเกต แต่ยามนี้เมื่อไปลองสำรวจดูดีๆ แล้ว ถึงแม้จะเป็นจุดที่อยู่นอกร้านสุรา ก็ยังมีกลิ่นเหล้าที่รุนแรงเกินไปอยู่ดี
ยังไม่ทันได้คิดใคร่ครวญโดยละเอียด บนอาคารหลังหนึ่งริมถนน จู่ๆ ก็มีหน้าต่างบานหนึ่งถูกผลักเปิดออก ชายในชุดดำมองลงมายังคนด้านล่างด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนยกธนูขึ้นยิง จากนั้นก็หายตัวไปจากหน้าต่าง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จนเมื่อผู้คนด้านล่างตั้งสติได้และยิงธนูไปยังหน้าต่างบานนั้น ชายผู้นั้นก็หายไปจากหน้าต่างเสียแล้ว
“ไฟไหม้!” จู่ๆ ก็มีเสียงคนตะโกนขึ้น ริมถนนทั้งสองด้านเกิดประกายไฟขึ้น จากนั้นไฟก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
“มีกับดัก! รีบถอย!”
พร้อมกันนั้น เมืองซิ่นหยางก็กลับเอะอะวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
“ประตูเมืองก็ไฟไหม้!” มีเสียงดังกัมปนาทดังมาจากประตูเมือง จากนั้นก็เห็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในเมืองก็ยังเห็นเปลวไฟสีแดงเพลิงที่ขอบฟ้าได้อย่างชัดเจน สามารถรู้ได้ทันทีว่าไฟนั้นรุนแรงเพียงใด
“เร็ว! รีบดับไฟ!” ทัพใหญ่ของซีหลิงเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในทันใด
จะดับไฟนั้น พูดอาจฟังดูง่าย แต่เมืองซิ่นหยางเดิมทีก็แห้งแล้งขาดแคลนน้ำอยู่แล้ว และมีบ่อน้ำอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งถ้าไม่ถูกปิดตาย ก็ถูกถมเสียจนเต็ม ภายในเมืองยามนี้ ของเหลวที่พอหาได้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสุรา ประหนึ่งตั้งใจ สุราเหล่านี้วางเกลื่อนไว้อยู่หน้าร้านขายสุรา และบางอันถึงขั้นนำออกมาวางไว้บนถนน หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยและไปเตะโดนไหแตกเข้า ก็จะทำให้เกิดเพลิงที่ลุกหนักขึ้นกว่าเดิม
เดิมทีเมืองซิ่นหยางที่ควรเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ยามนี้กลับมีเพียงเปลวเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า และเสียงร้องอย่างโหยหวนเท่านั้น
บนยอดเขาที่ห่างจากเมืองซิ่นหยางไปสามสี่ลี้ เยี่ยหลีทอดสายตามองไปยังเมืองซิ่นหยางที่กลายเป็นทะเลเพลิงผืนใหญ่ แล้วถอนใจออกมาเบาๆ “ซิ่นหยางพังทลายลงเสียแล้ว”
ฉินเฟิงยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลี คลุมเสื้อคลุมบางๆ ตัวหนึ่งให้นาง พลางเอ่ยว่า “พระชายามิต้องกังวลใจไป อันที่จริงสิ่งปลูกสร้างในเมืองซิ่นหยางโดยมากทำจากดินและหิน ถึงแม้บ้านเรือนกว่าครึ่งจะถูกทำลาย แต่หากต่อไปคิดอยากสร้างขึ้นมาใหม่ก็มิใช่เรื่องที่เปลืองแรงอันใดนักพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง ศึกครานี้พวกเราไม่ต้องเสียกำลังทหารเลยแม้แต่น้อย แต่สามารถทำลายทหารซีหลิงได้อย่างน้อยห้าหมื่นนาย หากต้องทิ้งเมืองซิ่นหยางไว้ให้พวกคนซีหลิงเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว สู้เผาไปเสียเลยจะดีกว่า”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ กระชับผ้าคลุมบนไหล่ ก่อนหมุนตัวไปพร้อมเอ่ยว่า “ไปกันเถิด ผ่านศึกครานี้ไป เจิ้นหนานอ๋องคงโกรธจัดไม่น้อย พวกเรารีบเดินทางไปให้ถึงหงโจวกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
เมืองซิ่นหยางเป็นอย่างที่ฉินเฟิงว่าจริงๆ นั่นคือโครงสร้างโดยมากทำจากดินและหิน มิใช่สิ่งที่จะติดไฟได้ง่าย แต่ถึงอย่างนั้น ไฟก็ลุกโหมอยู่ถึงหนึ่งคืนเต็มๆ ด้วยเพราะประตูเมืองถูกไฟขวางไว้ คนในเมืองจึงออกไปไม่ได้ และคนนอกเมืองก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน
วันรุ่งขึ้นพอสถานการณ์เพลิงค่อยๆ สงบลง จนทหารนอกเมืองสามารถเดินทางเข้าเมืองมาได้ ทหารที่อยู่ในเมืองก็ล้มตายกันเกือบหมดเสียแล้ว ต่อให้ไม่ถูกไฟครอกตาย ก็ตายด้วยการสำลักควันไฟที่หนาแน่น เมืองซิ่นหยางที่เคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ ยามนี้กลับดำเป็นตอตะโกไปทั้งหมด ทำให้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกถึงบรรยากาศแห่งความตาย
ในยามที่เจิ้นหนานอ๋องก้าวเข้ามาในเมืองซิ่นหยางนั้น สีหน้าของเขาไม่สามารถใช้คำว่าบึ้งตึงเพียงคำเดียวในการอธิบายได้ แต่เรียกได้ว่าบูดบึ้งอย่างยิ่งเลยทีเดียว
สภาพที่น่าหดหู่ตรงหน้า กลุ่มควันหนาจากไฟที่ยังมอดไม่สนิทจากทั้งสองข้างถนน และกลิ่นคละคลุ้งในอากาศที่ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เจิ้นหนานอ๋องมองภาพเหล่านั้นด้วยสีหน้าเ**้ยมโหดและเคร่งเครียด กัดฟันเอ่ยว่า “เยี่ยหลี…”
เหล่าผู้บัญชาการทหารที่เข้ามาพร้อมกับเจิ้นหนานอ๋องต่างมีท่าทีขลาดกลัว ด้วยเพราะกลัวว่าจะพูดหรือทำอันใดผิดที่จะยิ่งกระตุ้นให้เจิ้นหนานอ๋องที่อารมณ์ขุ่นมัวอยู่แล้วยิ่งโกรธเกรี้ยวหนักขึ้นไปอีก
ครู่ใหญ่ ถึงได้ยินเจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเสียงกึกก้องไปทั่วฟ้า “ดี! ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบคู่ปรับอีกคนหลังจากผ่านมาแล้วสิบกว่าปี! ม่อหลิวฟาง สะใภ้ตัวดีของเจ้า! เยี่ยหลี…หากจับเจ้าเป็นๆ ไม่ได้ ข้าสาบานว่าจะไม่ขอเป็นคนอีก! ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ผู้ใดที่จับเป็นชายาติ้งอ๋องได้ ข้าจะตกรางวัลเป็นเงินสองหมื่นตำลึงทอง และเลื่อนขั้นให้เป็นเชียนฮู่โหว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างถึงกับอึ้งไป รางวัลเช่นนี้ ประหนึ่งเทียบได้กับรางวัลที่ท่านติ้งอ๋องรุ่นก่อนๆ ได้รับพระราชทานเลยทีเดียว
เจิ้นหนานอ๋องกวาดตามองไปรอบๆ พร้อมหัวเราะเสียงเย็น “เหลือคนไว้ประจำการที่เมืองซิ่นหยาง คนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดออกเดินทาง ไปตีเมืองหงโจว!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมืองหงโจว
หงโจวมิใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตซีเป่ย และก็มิใช่เมืองที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นเดียวกัน แต่ด้วยเพราะข้อจำกัดเรื่องตำแหน่งที่ตั้ง ทำให้ทัพใหญ่ของซีหลิง ถูกกองทัพตระกูลม่อขวางเอาไว้หลายชั้น จึงไม่อาจเข้าใกล้เมืองหงโจวได้เสียที ถึงแม้เขตซีเป่ยจะเกิดไฟสงครามขึ้นติดต่อกันหลายวัน แต่ชาวบ้านและร้านค้าภายในเมืองหงโจว ยังคงสงบเรียบร้อยดีอย่างมาก ด้วยเพราะด้านหลังเมืองพวกเขาเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านหากจะเดินทางจากซีเป่ยไปยังจงหยวน ถึงแม้เมืองหงโจวจะถูกทหารซีหลิงตีแตกก็ยังสามารถหนีไปยังเขตจงหยวนได้ทันท่วงที อีกอย่างยามนี้พื้นที่ต้าฉู่ที่มีการทำสงครามก็มิได้มีเพียงเขตซีเป่ยเท่านั้น ดังนั้นคนที่หนีไปหลบภัยจึงต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน
“ข้าน้อยซุนสิงจือ ผู้ตรวจการเขตซีเป่ย นำคณะขุนนางน้อยใหญ่และพ่อค้าทุกคน ต้อนรับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หน้าประตูเมือง ผู้ว่าการเมืองหงโจวนำคณะขุนนางน้อยใหญ่เข้ามาต้อนรับคณะของเยี่ยหลี
เฟิ่งจือเหยาปรายตามองชายวัยกลางคนที่ระบายยิ้มเต็มใบหน้าอยู่ตรงหน้าตน ชายผู้นี้ถือเป็นผู้ที่มีสายเลือดของราชวงศ์โดยแท้ สงครามเริ่มขึ้นได้ไม่เท่าไร ก็หนีจากเมืองซิ่นหยางมาหลบยังหงโจว ทั้งยังทำตัวเมินเฉยต่อกองทัพตระกูลม่อที่อยู่โดยรอบบริเวณหงโจวอีกด้วย ถึงขั้นคิดทำทุกวิถีทางที่จะยืดเวลาในการส่งเสบียงอาหารให้แก่กองทัพอีกด้วย ยามนี้ยังมีหน้ากล้าออกมายืนรับขบวนเสด็จของพระชายาที่หน้าประตูเมืองอีก ช่างใจกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ
เยี่ยหลีอยู่ในชุดสีอ่อนเรียบๆ หาได้มีความหรูหราอย่างสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงแต่อย่างใด ปลายชุดโบกสะบัดตามแรงลม ถึงแม้จะอยู่ในชุดที่แสนจะธรรมดา แต่ผู้ที่ได้พบก็มิอาจแสดงท่าทีไม่เคารพหรือเมินเฉยได้
เยี่ยหลีจับแขนจั๋วจิ้งลงจากหลังม้า มองบรรดาคนที่ยืนเรียงแถวอยู่สองแถวด้วยท่าทีเคารพด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าซุน ไม่ต้องมากพิธี”
ซุนสิงจือก้าวขึ้นหน้ามา ยิ้มอย่างสุภาพ “พระชายาคงเดินทางมาเหนื่อยไม่น้อย เชิญเข้าเมืองไปพักดื่มชาก่อนเถิด แล้วตอนกลางคืนข้าน้อยจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย จะรีบประกาศความเป็นเจ้าบ้านและแขกถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“เกรงว่าคงต้องปฏิเสธน้ำใจอันดีงามของใต้เท้าซุนแล้ว ทหารของซีหลิงเข้ามารุกรานในเขตซีเป่ย ไม่รู้ว่าใต้เท้ามีวิธีการจัดการแล้วหรือไม่”
ซุนสิงจือยิ้มตามนาง “มีกองทัพตระกูลม่ออยู่ คนซีหลิงจะเข้ามารุกรานได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยและประชาชนในหงโจว รู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก วางใจเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!”
คิ้วคมของเฟิ่งจือเหยาถึงกับเลิกขึ้น หัวเราะอย่างเยาะหยันว่า “ใต้เท้าซุนคิดว่าประชาชนในหงโจวนั้น หมายถือประชาชนในเมืองหงโจวเท่านั้นหรือ ข้าจำได้ว่าใต้เท้าซุนเป็นผู้ตรวจการเขตซีเป่ย มิใช่ผู้ว่าการเมืองหงโจวมิใช่หรือ อีกอย่าง…ที่ใต้เท้าซุนพูดเมื่อครู่ ดูเหมือนจะหมายความว่า ที่ยามนี้คนซีหลิงเข้ามารุกรานเขตซีเป่ยได้ เป็นความผิดของกองทัพตระกูลม่อ?”
ซุนสิงจือสีหน้านิ่งแข็งไป ก่อนหัวเราะแก้เก้อ “ข้าน้อยมิกล้า”
มิกล้าแต่ไม่ได้บอกว่ามิได้ เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ ไม่สนใจเขาอีก
บรรยากาศดูประดักประเดิดไม่น้อย ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่หลังซุนสิงจือด้วยท่าทีตื่นกลัวเล็กน้อย รีบก้าวออกมาเอ่ยว่า “ข้าน้อย…ผู้ว่าการเมืองหงโจว ฉีอันหรงคารวะพระชายา”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ใต้เท้าฉี ข้าได้ยินว่าเสบียงอาหารที่ต้องส่งให้กองทัพตระกูลม่อ ดูจะล่าช้าและส่งไปไม่ถึงเสียทีหรือ ด้วยเพราะเหตุอันใดกันหรือ”
ฉีอันหรงเหลือบมองซุนสิงจือที่ยืนอยู่ด้านข้างเร็วๆ ทีหนึ่ง ก่อนกระอ้อมกระแอ้มตอบว่า “เรื่องนี้…พระชายาโปรดอภัยด้วย พื้นที่ต่างๆ ในเขตซีเป่ยต่างถูกคนซีหลิงเข้าปล้นสะดม เมืองหงโจวเองก็ประสบภัยนี้อย่างหนัก ดังนั้น…ดังนั้นเรื่องส่งเสบียงอาหารจึงล่าช้าไปสักสามสี่วันพ่ะย่ะค่ะ พระชายาได้โปรดอภัยด้วย…”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “ที่แท้ก็เช่นนี้เองหรือ เช่นนั้นคงลำบากใต้เท้าฉีแล้ว”
เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเดือนสิบ แต่ฉีอันหรงก็อดยกมือขึ้นปาดเหงื่อไม่ได้ ดวงตาที่ซีดเซียวจากการดื่มสุราหนักเกินไปกระตุกขึ้นน้อยๆ ก่อนรีบยิ้มแก้เก้อพร้อมเอ่ยว่า “มิกล้า…มิกล้า…”
จั๋วจิ้งมองทุกคนด้วยสีหน้านิ่งขรึม “ยังไม่เปิดทางอีก หรือจะให้พระชายาพักอยู่ที่นอกเมือง”
ฉีอันหรงรีบถอยตัวเปิดทาง “เชิญพระชายา เชิญพระชายา…”
เยี่ยหลีกำลังจะก้าวเท้าเข้าเมือง ก็ได้ยินเสียงซุนสิงจือที่ถูกเมินเฉย ดังขึ้นจากด้านหลัง “ช้าก่อนพระชายา!”
เยี่ยหลีหันกลับไปมองซุนสิงจือด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิ้วงามเลิกขึ้นเพียงเล็กน้อย อมยิ้มรอฟังเขาพูดต่อไป
ซุนสิงจือเหลือบมองไปรอบๆ ลอบกลืนน้ำลายทีหนึ่ง ถึงได้ยืดอกขึ้นเอ่ยว่า “พระชายาเสด็จมาที่เมืองหงโจว ประชาชนและข้าราชการน้อยใหญ่ในเมืองหงโจวย่อมยินดีต้อนรับพระชายาอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ทหารของกองทัพตระกูลม่อจะตามพระชายาเข้าเมืองไปด้วยมิได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยหลีอมยิ้มมุมมาก เอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “เพราะเหตุใดหรือ”
ซุนสิงจือเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนจำนวนมากเช่นนี้ หากเข้าเมืองไป คงทำให้เกิดความวุ่นวายภายในเมืองเป็นแน่ พระชายาได้โปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้ง ตามกฎของต้าฉู่แล้ว ทหารในแต่ละเมืองห้ามมีจำนวนเกินห้าหมื่นนาย ทหารที่พระชายานำมา…น่าจะมีประมาณนับแสนนายได้กระมังพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคิดว่าคำพูดของตนฟังดูมีเหตุผล น้ำเสียงของซุนสิงจือจึงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยหลีมิได้แสดงท่าทีโกรธเคือง เพียงจ้องมองชายวัยกลางคนที่คิดว่าตนเป็นต่อตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
เมื่อเห็นเยี่ยหลีไม่เอ่ยอันใด ซุนสิงจือจึงยิ่งได้ใจ แม้แต่ท่าทีเคารพที่ก่อนหน้านี้มียังหายไปถึงเจ็ดแปดส่วน เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายา ที่ข้าน้อยพูดฟังดูเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของเยี่ยหลีระบายออกเป็นรอยยิ้มอันสวยงาม
ซุนสิงจือที่กำลังได้ใจ เห็นเพียงผู้ติดตามของเยี่ยหลีสามสี่คนขมวดคิ้วพร้อมลอบก้าวถอยหลังไปสองก้าวเพื่อไม่ให้พวกตนโดนลูกหลง
“ใต้เท้าซุน ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ข้าได้วางเพลิงเผาเมืองซิ่นหยาง” น้ำเสียงของเยี่ยหลีเรียบเรื่อยแต่เย็นเยียบ
ซุนสิงจือตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มที่เคยมีแข็งค้างอยู่บนใบหน้า มองใบหน้าหญิงสาวที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหันด้วยความนิ่งอึ้ง “พระ…พระชายา…”
“ข้ากล้าเผาเมืองซิ่นหยาง ก็ไม่กลัวที่จะสังหารขุนนางที่ไร้ประโยชน์อีกสักสองคนหรอกนะ!”