ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 171-2 ความวุ่นวายครั้งใหญ่
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 171-2 ความวุ่นวายครั้งใหญ่
ริมหน้าผาที่ไม่กว้างใหญ่นัก ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยอันใดออกมา ด้วยกลัวว่าหากพูดทำลายความเงียบสงัดนี้ลง จะนำมาซึ่งผลอันน่าเกรงกลัวที่มิอาจหยุดยั้งได้
ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ คนบนหน้าผาไม่มีอาหารหรือน้ำตกถึงท้องเลยแม้สักคนเดียว แต่ในยามนี้กลับไม่มีผู้ใดรู้สึกหิวหรือกระหายเลยแม้แต่น้อย
ม่อหวาคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ให้ม่อซิวเหยาฟังโดยละเอียด ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ต่างก็ได้รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางด้านล่าง
ในหุบเขาเป็นแม่น้ำใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก หลังจากฟ้าสว่างและหมอกหายไปแล้ว เผยให้เห็นว่าระหว่างหน้าผาทั้งสองฝั่งว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นั่นหมายความว่า พระชายาเยี่ยหลีจะต้องตกลงไปในแม่น้ำอย่างแน่นอน แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกราดก็ทำให้มิอาจคาดการณ์เหตุการณ์ต่อจากนั้นได้ ว่าร่างที่ตกลงน้ำไปนั้นจะดูพัดพาไปที่ใด
เฟิ่งจือเหยาลุกขึ้นสั่งให้นำคนจำนวนหนึ่งออกตามหาไปตามแม่น้ำ
หานหมิงเย่ว์จ้องมองบุรุษที่นั่งเงียบคอยฟังม่อหวาเอ่ยรายงานอย่างระมัดระวัง ความอันตรายภายใต้ความสงบนิ่งนั้น ทำให้หานหมิงเย่ว์ใจคอไม่ค่อยดีนัก ม่อซิวเหยาในยามนี้เป็นประหนึ่งคมดาบที่กระหายเลือด ต่อให้สัมผัสโดนเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เสียเลือดได้
ในที่สุด สายตาของม่อซิวเหยาก็ค่อยๆ เคลื่อนไปทางซูจุ้ยเตี๋ย
ซูจุ้ยเตี๋ยร้องไห้ออกมาอย่างขวัญเสีย นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ม่อซิวเหยาจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่ที่เคยทำให้นางหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น มายามนี้กลับดูน่ากลัวประหนึ่งหากได้สบตาคู่นั้นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเก็บไปฝันร้ายได้ในทันที
ยามที่ม่อซิวเหยาลุกขึ้นเดินมาทางนางนั้น นางที่โดนสกัดจุดไว้ทำได้เพียงส่ายหน้า “ฮือๆ…ซิวเหยา…ไม่นะ…ปล่อยข้าไปเถิด ข้าขอร้อง…ฮือๆ..” ชั่วเวลานั้นเอง ที่ซุจุ้ยเตี๋ยรู้สึกได้ว่า การสังหารเยี่ยหลีเป็นความผิดอันใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของนาง “ฮือๆ…อย่า ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเยี่ยหลี ไม่เกี่ยวกับข้า…”
ม่อซิวเหยาคุกเข่าลงตรงหน้านาง จ้องมองใบหน้างดงามที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารโดยละเอียด
เมื่อเขาจับจ้องนางอยู่เช่นนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยก็พบว่าตนเอง แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก
พักใหญ่ ถึงได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เจ้าคิดจะใช้อาวุธลับฆ่าอาหลี?”
ซูจุ้ยเตี๋ยไม่กล้าตอบ ม่อซิวเหยาเองก็ดูจะไม่สนใจอยากได้ยินคำตอบจากนาง เขายกแขนนางขึ้น เปิดแขนเสื้อนางออก เผยให้เห็นอาวุธลับที่มัดอยู่ตรงข้อมือ “สายฝนเข็มหลีฮวา?” เขาดึงกล่องอาวุธลับที่ข้อมือนางออกมา แล้วค่อยๆ กดลงท่ามกลางสายตาทุกคู่
“อ๊า?!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูจุ้ยเตี๋ยดังก้องไปทั่วป่า สายฝนเข็มหลีฮวาในกล่องเล็ก ยิงตรงไปยังแขนซูจุ้ยเตี๋ยข้างที่เคยมัดอาวุธลับนี้ไว้ โดยไม่เหลือแม้แต่เล่มเดียว แขนเรียวที่เคยงดงามประหนึ่งหยก มีเลือดๆ สดอาบไปทั้งแขน เป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
“ซิวเหยา…” หานหมิงเย่ว์เบือนหน้าหนีอย่างทนดูไม่ได้ สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีที่เขาหลงรักมาตลอดเป็นสิบปี จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“เจ้าคิดจะขอร้องแทนนาง?” ม่อซิวเหยาหันกลับไปมองเขาพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเยาะหยัน “หานหมิงเย่ว์…ครานี้ เจ้าเลือกได้เพียงจะตายไปพร้อมนาง หรือจะให้นางตายไปคนเดียวเท่านั้น นี่เพราะเห็นแก่ที่เจ้าช่วยอาหลีจนได้รับบาดเจ็บ”
“ชายาติ้งอ๋องยังไม่…” หานหมิงเย่ว์คิดอยากเอ่ยสิ่งใดออกมาอย่างยากลำบาก แต่ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดกับม่อซิวเหยาในยามนี้ก็ดูเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไร้พลังเท่านั้น
“ต่อให้ยามนี้อาหลียังยืนอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย ก็มิใช่เหตุผลที่จะให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ให้นางได้ตายเร็วถึงเพียงนี้หรอก เฟิ่งซาน เอาตัวนางไปให้ฉินเฟิง ฉินเฟิงรู้ดีว่าควรใช้ประโยชน์อันใดจากนาง”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้าเงียบๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกสงสารสตรีที่น่ารังเกียจผู้นี้ หน่วยกิเลนที่ท่านอ๋องและพระชายาเรียกขานกันของฉินเฟิงนั้น หากได้ตัวสตรีที่ท่านอ๋องเคียดแค้นไปแล้ว จะไปทำประโยชน์อันใดจากนางได้ เฟิ่งจือเหยาพอนึกออกอยู่บ้าง เมื่อตกอยู่ในมือของคนเหล่านั้น ถึงแม้จะเป็นคนที่กระดูกแข็งที่สุด ไม่เกินสามวันก็จะต้องร้องไห้ขอให้ปล่อยเขาไป และก่อนจะได้รับอนุญาตจากม่อซิวเหยา ต่อให้นางคิดอยากตาย ก็ยังตายไม่ได้
“ท่านอ๋อง เหลยเจิ้นถิงนำองครักษ์ชุดผ้าแพรเดินทางกลับซีเป่ยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยให้คนไล่ตามไปโจมตีแล้ว ด้านล่างภูเขา…คนที่จับไว้ได้จะให้ทำเช่นไร ท่านอ๋องได้โปรดมีคำสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอย่างสงบนิ่งว่า “มีกี่คน”
เฟิ่งจือเหยาตอบว่า “ทั้งหมดหกพันห้าร้อยกว่าคน ในจำนวนนั้นมีเสี้ยวเว่ยเจ็ดนาย รองแม่ทัพสามนาย และมีแม่ทัพที่ประจำการรักษาเมืองอยู่หนึ่งนาย เป็นแม่ทัพประจำเมืองหรู่หยาง ฉีเซ่าอู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฆ่าทิ้งให้หมด!” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยรับเสียงขรึมว่า “ข้าน้อยรับบัญชา!”
สำนำศึกษาหลีซาน ณ อวิ๋นโจว
ยามรุ่งอรุณที่ฟ้ายังไม่สว่างดี ท่านชิงอวิ๋นที่อายุล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา จับมือหลานชายคนเล็กสุดไว้ ให้ค่อยๆ ประคองเดินไปตามระเบียงทางเดิน
สวีหงอวี่คอยติดตามบิดาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ท่านพ่อ เหตุใดถึงได้ตื่นเช้าเช่นนี้ขอรับ” เขาเหลือบมองฟ้าที่มืดสลัว สีหน้าสวีหงอวี่ดูมีความเป็นห่วงและเป็นกังวล
ท่านชิงอวิ๋นโบกมือน้อยๆ “ไม่มีอันใด แต่ไม่รู้เหตุใด เลยยามสองได้ไม่เท่าไรก็ตื่นเสียแล้ว แล้วก็นอนไม่หลับอีก”
สวีหงอวี่นิ่งคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ท่านพ่อเป็นห่วงหลีเอ๋อร์หรือขอรับ”
ท่านชิงอวิ๋นถอนใจเบาๆ “พ่อไม่ได้พบหน้าหลีเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว เด็กคนนี้ดูไม่เหมือนแม่ของนางมาตั้งแต่เล็กๆ ยามนี้…หลายปีนี้ ลำบากเจ้าแล้ว” ประหนึ่งคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ สายตาของท่านชิงอวิ๋นที่มองบุตรชาย เต็มไปด้วยความรักใคร่และรู้สึกผิด หากมิใช่ตระกูลสวี หากเขาผู้เป็นบิดามิได้มีชื่อเสียงโด่งดังจนเกินไป เหตุใดบุตรชายของเขาถึงต้องหมกตัวอยู่แต่ในสำนักศึกษา คอยอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ คนอื่นๆ ต้องลำบากต่อสู้ด้วยเพราะไม่มีพื้นเพตระกูลที่ดี แต่สวีหงอวี่กลับต้องลำบากเพราะพื้นเพตระกูลที่ดีเกินไป ท่านชิงอวิ๋นรู้ดีว่า ไม่ว่าเรื่องความสามารถหรือกลยุทธ์ บุตรชายคนโตของตนนั้นไม่ด้อยกว่าตนเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขามีความมุ่งหวังและความทะเยอทะยานอย่างที่ตนไม่เคยมี
“ท่านพ่อเอ่ยอันใดเช่นนี้ ลูกเองก็มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องเป็นบัณฑิตขงจื้อแห่งยุค ลำบากอย่างไรกัน”
ท่านชิงอวิ๋นโบกมือไปมา ก้าวเดินต่อไป พลางเอ่ยว่า “สิ่งที่พวกเจ้าคิด…มีหรือพ่อจะไม่รู้ ตระกูลสวีมิได้จงรักภักดีต่อราชสำนักและราชวงศ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เพียงแต่…พวกเรามิอาจไม่จงรักภักดีได้”
สวีชิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองท่านปู่ของตนอย่างไม่เข้าใจ
ท่านชิงอวิ๋นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ชิงเหยียนไม่เข้าใจหรือ”
สวีชิงเหยียนเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ท่านปู่โปรดชี้แนะด้วยขอรับ”
ท่านชิงอวิ๋นถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ผู้เป็นบัณฑิต…สามารถทำให้แว่นแคว้นวุ่นวายได้ แต่มิอาจครอบครองอำนาจได้ ตั้งแต่ในอดีตมา เจ้าเห็นว่ามีบัณฑิตสักกี่คนที่ได้ปกครองใต้หล้า ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดประมุขในทุกยุค ทุกราชวงศ์ถึงได้ให้ความสำคัญกับบัณฑิตสายบุ๋นมากกว่าสายบู๊ ด้วยเพราะพวกเขารู้ดีว่า ต่อให้ขุนนางสายบุ๋นเกิดทรยศ ก็ยากที่จะยึดอำนาจในการปกครองของฮ่องเต้ได้จริงๆ แต่ตระกูลสวีของพวกเรา…มิอาจทำเช่นนั้นได้ หงอวี่ ที่เจ้าเห็นด้วยให้หลีเอ๋อร์แต่งงานกับติ้งอ๋องนั้น เจ้าเคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นในวันนี้ขึ้นหรือไม่”
สวีหงอวี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยออกมาว่า “ท่านพ่อโปรดอภัยด้วย ลูกเคยคิดมาก่อนขอรับ”
ท่านชิงอวิ๋นส่ายหน้าเอ่ยว่า “พ่อมิได้บอกว่าเจ้าทำผิด ความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์กับติ้งอ๋องนั้นไม่สามารถหลบเลี่ยงได้อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องสิ้นสุดลงในสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำหนักติ้งอ๋องหรือ…ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ที่เจ้าเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสวีกับตำหนักติ้งอ๋องไว้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เมื่อใดก็ตามที่ตำหนักติ้งอ๋องสูญสิ้นลง…ต่อให้ราชวงศ์ไม่ลงมือจัดการตระกูลสวี แต่สิ่งที่รอตระกูลสวีอยู่ก็มีเพียงความถดถอยลงเท่านั้น ถึงแม้พ่อจะแก่ชรามากแล้ว แต่ก็ไม่ต้องการเห็นบุตรหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่ได้ทำตามสิ่งที่ตนปรารถนาเช่นเดียวกับเจ้าและหงเหยียน”
สวีหงอวี่รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาเล็กน้อย ก้มหน้าลงปิดบังขอบตาที่เริ่มแดง “ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วงแล้วขอรับ”
ท่านชิงอวิ๋นจับรั้วระเบียงทางเดินไว้ ชี้นิ้วไปยังริมขอบฟ้า เอ่ยพร้อมทอดถอนใจว่า “ดาวประมุขอับแสง ดาวนักรบลอยเด่น ดาวมรณะขึ้นทางซีเป่ย…ความวุ่นวายในใต้หล้าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”
“ขอรับ ท่านพ่อ” สวีหงอวี่ยืนอยู่ข้างกายบิดา เอ่ยตอบเสียงขรึม เขาที่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์อย่างถ่องแท้เช่นเดียวกับบิดา ย่อมมองเห็นทุกอย่างเหมือนที่ท่านชิงอวิ๋นเห็น มีเพียงสวีชิงเหยียนเท่านั้น ที่ยกมือกุมศีรษะ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นอย่างงงงวย
“หงอวี่ เจ้าจำไว้ให้ดี…คำสอนของตระกูลสวีไม่เคยบอกให้จงรักภักดีต่อประมุขเพียงคนเดียว แต่…”
สวีหงอวี่เอ่ยต่อว่า “หงอวี่เข้าใจดีขอรับ คำสอนของตระกูลสวี เมื่อยามที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ต้องช่วยชาวบ้านและผืนแผ่นดิน ลูกมิกล้าลืมขอรับ”