ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 197-2 แสงจันทร์กลางเมฆดำ
เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบประคองนางให้เดินเข้าไปหาซูเจ๋อด้วยความระมัดระวัง เยี่ยหลีโค้งตัวให้เล็กน้อย เอ่ยว่า “ซีเป่ยอยู่ไกลจากเมืองหลวง ต้องเดินทางไกลข้ามภูเขา ระหว่างทางก็เป็นทางขรุขระ ผู้อาวุโสซูอายุมากแล้ว เหตุใดถึงไม่พักผ่อนอยู่ที่ซีเป่ยสักพักหนึ่งเล่า จะได้ใช้เวลาช่วงบั้นปลายอย่างสงบ ไม่ดีกว่าเดินทางกลับเมืองหลวงหรือ”
ซูเจ๋ออมยิ้มมองเยี่ยหลี “ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วง ข้าเกิดที่เมืองหลวง โตที่เมืองหลวง แทบทุกช่วงชีวิตของข้าก็ใช้อยู่ในเมืองหลวง ข้าใช้ชีวิตมาถึงอายุปูนนี้แล้ว ไม่มีอันใดที่ปล่อยวางไม่ลงอีก หวังเพียงว่าต่อไปจะได้ตายอยู่ที่บ้าน ฝังร่างอยู่ที่เมืองหลวงก็เท่านั้น พื้นที่ทางซีเป่ยนี้ ท่านอ๋องและพระชายาปกครองได้ดีมากจริงๆ น่าเสียดายที่ที่นี่มิใช่บ้านของข้า”
คิ้วคมของม่อซิวเหยาขมวดมุ่นเข้าหากัน เขาประคองเยี่ยหลีให้กลับนั่งลง ก่อนหันไปเอ่ยถามซูเจ๋อว่า “ผู้อาวุโสซูไม่คิดจะถามถึงข่าวคราวนางบ้างหรือ”
ซูเจ๋ออึ้งไป บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยิ่งดูเศร้าสลดยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่ พักใหญ่ ซูเจ๋อถึงได้เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “นางยังมีชีวิตอยู่?”
แน่นอนว่าเขารู้ว่าซูจุ้ยเตี๋ยยังมีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้ตรัสบอกเรื่องนี้แก่เขาตั้งแต่ก่อนออกจากเมืองหลวง อีกทั้งยังบอกด้วยว่ายินดีส่งคนไปช่วยซูจุ้ยเตี๋ยกลับมา แต่ในใจซูเจ๋ออยากรู้ยิ่งกว่าว่า…เหตุใดม่อซิวเหยาถึงต้องจับจุ้ยเตี๋ย?
หลานสาวที่ป่วยตายไปแล้วเมื่อเก้าปีก่อน ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ยามที่ซูจุ้ยเตี๋ยป่วยตาย ซูเจ๋อจะยังมีอันใดไม่เข้าใจอีก?
ปีนั้นม่อซิวเหยาเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ตำหนักติ้งอ๋องวุ่นวายขนาดหนักขาดคนควบคุมดูแล ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอาศัยองค์หญิงคอยช่วยเหลือ เขาให้ซูจุ้ยเตี๋ยไปคอยช่วยดูแลอาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยาที่ตำหนัก ถึงแม้จะยังมิได้แต่งานกัน แต่ที่ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีใคร ซูจุ้ยเตี๋ยที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นไปคอยช่วยดูแลก็ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม
แต่หลานสาวของเขากลับป่วยและถูกส่งกลับมาตั้งแต่วันที่สอง ยามนั้นเขาเพียงคิดว่า ซูจุ้ยเตี๋ยได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก คงถูกทำให้ตกใจ แต่คิดไม่ถึงว่า… เพียงแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่ซิวเหยาปล่อยจุ้ยเตี๋ยไปตั้งแต่ยามนั้นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะจับตัวนางกลับมาอีก นางจะต้องไปทำเรื่องอันใดไว้อีกเป็นแน่ ถึงได้ทำให้ม่อซิวเหยาไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นนี้
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยเสียงขรึมว่า “นางอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องนี้เอง”
ห้องหนังสือกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง พักใหญ่ ซูเจ๋อถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “นางทำอันใดไป”
ม่อซิวเหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นไปหยิบม้วนกระดาษบนโต๊ะหนังสือส่งให้เขา ภายในบันทึกเรื่องราวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาของซูจุ้ยเตี๋ยเอาไว้
ซูเจ๋อรับมา นิ้วมือที่ผอมแห้งสั่นน้อยๆ ระหว่างคลี่ม้วนกระดาษหนาๆ ออกอ่านอย่างรวดเร็ว ยิ่งอ่านไปมากเท่าไร สีหน้าเขาก็ยิ่งดูย่ำแย่ขึ้นเท่านั้น
เยี่ยหลีที่นั่งเอนหลังอยู่กับเก้าอี้ สังเกตสีหน้าของซูเจ๋ออยู่โดยละเอียด สีหน้านางแสดงออกว่าทนดูไม่ได้โดยไม่รู้ตัว
พักใหญ่ ซูเจ๋อถึงได้เงยหน้าขึ้นจากม้วนกระดาษ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ดี! ซูจุ้ยเตี๋ยตัวดี! ไป๋หลงตัวดี! ไป๋ซื่อแห่งซีหลิง…ชิงหรงกุ้ยเฟย สายลับของเจิ้นหนานอ๋อง…ดี! ช่างเป็นหลานสาวที่ดีของข้า ซูเจ๋อจริงๆ!”
“ผู้อาวุโสซู…” เมื่อเห็นสีหน้าของซูเจ๋อ เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วเรียวพลางเอ่ยเรียกเขาด้วยความเป็นห่วง พร้อมส่งสัญญาณมือบอกจั๋วจิ้งที่ยืนสังเกตกาณ์อยู่ด้านนอกให้ออกไปเชิญเสิ่นหยางเข้ามา
ซูเจ๋อโบกมือ นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งด้วยสีหน้าผิดหวัง แล้วก้มหน้าลงมองม้วนกระดาษที่อยู่ในมือที่สั่นไม่หยุด เป็นเพราะตนสั่งสอนอันใดนางผิดไป? หลานสาวที่ในสายตาเขาดูเรียบร้อยและว่าง่ายมาโดยตลอด ลับหลังกลับทำเรื่องไว้มากมายถึงเพียงนี้
อายุเพียงสิบห้าปี ก็ไปรู้จักกับทายาทราชวงศ์ก่อนที่เป็นเด็กกำพร้า หลังจากคู่หมั้นป่วยหนัก ยังยุยงให้คุณชายหมิงเย่ว์ช่วยสร้างสถานการณ์ว่านางป่วยตายเพื่อหลบหนีออกมา เมื่ออยู่ในซีเป่ยก็ยืมใช้ฐานะของคนตระกูลไป๋ จนได้กลายเป็นกุ้ยเฟยแห่งซีหลิง และวนเวียนอยู่ระหว่างฮ่องเต้ซีหลิงและเจิ้นหนานอ๋อง จนถึงขั้นสามารถข่มขู่ฮองเฮาแห่งซีหลิงได้…ยังไม่หมด…นางยังส่งคนไปลอบสังหารชายาติ้งอ๋องตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน นี่คือหลานสาวของเขาหรือ?
ซูเจ๋อนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากรับตัวซูจุ้ยเตี๋ยเข้าวังมาเป็นสนม ยามนั้นเขาใช้ข้ออ้างที่ว่าจุ้ยเตี๋ยมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว ในการปฏิเสธ แต่อันที่จริง ต่อให้ในยามนั้นซูจุ้ยเตี๋ยยังมิได้หมั้นหมายกับม่อซิวเหยา เขาเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้หลานสาวเข้าวังอยู่ดี แต่ผู้ใดเลยจะคาดคิดว่า นางไม่ได้เป็นสนมของต้าฉู่ แต่กลับไปเป็นกุ้ยเฟยแห่งซีหลิง?
ในที่สุด ซูเจ๋อก็สงบลง เขาลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ขอรบกวนท่านอ๋องและพระชายาแล้ว ส่วนเจ้าคนชั่วช้านั้น…” ซูเจ๋อหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “จัดการตามที่ท่านอ๋องและพระชายาเห็นควรก็แล้วกัน ตระกูลซู ไม่มีหลานสาวเช่นนี้!”
พูดจบ เขาก็ไม่หันมามองหน้าม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีอีกเลย ก้าวยาวๆ ออกไปทันที
เยี่ยหลีรีบส่งสัญญาณให้หลินหานตามไป หลังจากก้าวออกจากประตูไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงหลินหานตะโกนเรียกว่า “ใต้เท้าซู! ใต้เท้าซู!”
ม่อซิวเหยารีบพุ่งตัวออกไป ก็เห็นว่าซูเจ๋อที่ล้มอยู่กับพื้น มีหลินหานคอยประคองอยู่ รอยเลือดสีเข้มที่เปื้อนอยู่บนพื้น เมื่อต้องกระทบกับแสงจันทร์ ช่างดูน่าสะเทือนใจเสียจริง
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ส่งผู้อาวุโสซูกลับไป”
ด้านหลัง เยี่ยหลีเดินมาหยุดข้างกายเขาและจับมือเขาไว้ ทั้งสองมองส่งซูเจ๋อที่มีหลินหานช่วยนำตัวไปส่งยังห้องพักแขก เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เหตุใดท่านจึงต้องทำเช่นนี้ มิได้บอกไว้แล้วหรือว่าเรื่องของซูจุ้ยเตี๋ยจะให้ข้าเป็นคนจัดการ”
ม่อซิวเหยามองนางเงียบๆ
เยี่ยหลีเอนตัวเข้าสู่อ้อมเขนของเขา เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากให้ข้าลำบากใจ แต่ในเมื่อข้ามีฐานะเป็นชายาแห่งติ้งอ๋อง การจัดการเรื่องพวกนี้ ก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วมิใช่หรือ หากใต้เท้าซูเกิดเป็นอันใดไปด้วยเพราะเรื่องนี้ ท่านจะสามารถปล่อยวางได้หรือ”
ม่อซิวเหยานิ่งไปไม่ตอบ เพียงยื่นมือมากระชับอ้อมกอดของตน
ถึงแม้จะตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว แต่เยี่ยหลีก็ยังดูผอมบางอยู่ดี ทั้งสองอิงแอบแนบชิดกัน แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังร่างของทั้งสองเงียบๆ ยิ่งทำให้ดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ
วังหลวง ต้าฉู่
หน้าต่างเปิดอยู่ครึ่งบาน แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงมายังสวนดอกไม้ด้านนอกหน้าต่างเงียบๆ กลิ่นหอมประหลาดล่องลอยอยู่ในอากาศ มุมกำแพงด้านนอกหน้าต่าง ดอกไม้สีขาวสะอาดตาค่อยๆ ทำให้บรรยากาศดูงดงามยิ่งขึ้น
ดอกไม้สีขาวราวหิมะอยู่รวมกันเป็นชั้นๆ ประหนึ่งดอกบัว แต่กลับดูมีความสะอาดบริสุทธิ์และสูงส่งเสียยิ่งกว่าดอกบัว ประหนึ่งเซียนในชุดสีขาวกำลังเริงระบำอยู่ใต้แสงจันทร์
ตรงหน้าต่าง สตรีงดงามในชุดสีขาวกำลังนั่งพิงขอบหน้าต่างอยู่อย่างเกียจคร้าน ปล่อยให้แสงจันทร์สาดส่องลงมายังตัวนาง แววตาเรียบนิ่งเหม่อมองไปยังดอกถันฮวาที่วางประดับอยู่ด้านนอกอย่างใจลอย
“ความสะอาดบริสุทธิ์ มีอยู่เพียงในยามค่ำคืนที่โดดเด่นอยู่เพียงผู้เดียว ไม่ต้องแย่งชิงกับดอกไม้อื่นๆ ดอกถันฮวานี้เป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในโลกนี้มิใช่หรือ” เสียงเจือแววขบขันของบุรุษดังขึ้นในห้อง ในน้ำเสียงกลั้วหัวเราะนั้น ดูจะแฝงไปด้วยความหยอกล้อ
สตรีในชุดสีขาวคร้านแม้เพียงจะหันมอง เอ่ยนิ่งๆ ว่า “หากมิใช่คนที่ทะนุถนอมดอกไม้ ต่อให้เป็นดอกที่งดงามที่สุดแล้วจะมีประโยชน์อันใด”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร มีคนตั้งมากมายอดทนเฝ้ารอถึงดึกดื่นเพื่อให้ได้เห็นดอกถันฮวาบาน น่าเสียดายแต่ก็ต้องดูให้ได้ ดอกถันฮวาบาน ก็เพื่อให้เราปล่อยวาง…ช่างเป็นดอกไม้ที่ทำให้คนทั้งรักทั้งแค้นจริงๆ”
สตรีในชุดขาว…หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งตัวตรงขึ้น หันหน้ามามองบุรุษในตำหนักด้วยสายตาเรียบเย็น “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ยามนี้ม่อจิ่งฉีส่งคนออกตามหาเจ้าไปทั่ว เจ้ายังกล้าเข้าวังมาอีก?!”
ภายในตำหนักมิได้จุดเทียน จึงมืดสนิทไปหมด ชายผู้นั้นค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา แสงจันทร์ส่องเฉียงๆ เขามายังตัวเขา ยิ่งทำให้บรรยากาศดูแปลกประหลาด
“ที่ข้ามา ก็เพื่อมาบอกท่านถึงสิ่งที่ข้าได้จากการเดินทางออกจากเมืองหลวงในครั้งนี้ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย พระสนมกุ้ยเฟยอยากฟังข่าวใดก่อนหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยมองเขาเงียบๆ ประหนึ่งไม่สนใจแม้แต่น้อย
บุรุษผู้นั้นยิ้มอย่างจนใจ เอ่ยว่า “ข่าวเกี่ยวกับม่อซิวเหยา ท่านก็ไม่สนใจหรือ”
ในแววตาเยือกเย็นมีประกายวูบไหวเล็กน้อย หลิ่วกุ้ยเฟยมองจ้องเตือนบุรุษที่จงใจยั่วยุนาง
บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างยอมแพ้ว่า “เอาเถิด ข่าวดีก็คือ คู่ปรับตัวฉกาจของท่าน ซูจุ้ยเตี๋ย ยามนี้นางอยู่ในมือติ้งอ๋อง อีกทั้งยังถูกทรมาณจนน่าจะเหลือแรงหายใจอยู่เพียงครึ่งเดียวแล้ว ดูท่าติ้งอ๋องคงจะไม่เหลือเยื่อใยกับนางแล้วจริงๆ ส่วนข่าวร้ายก็คือ…ชายาติ้งอ๋องรอดชีวิตกลับไปอยู่ที่เมืองหรู่หยางแล้ว อีกทั้งยังตั้งครรภ์อยู่เจ็ดเดือนอีกด้วย อีกสองเดือนซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋องก็น่าจะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว”
“เยี่ยหลียังมีชีวิตอยู่?!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าได้พบเยี่ยหลี?”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า “นางตกมาอยู่ในมือข้า เดิมทีข้าคิดจะใช้นางข่มขู่ม่อซิวเหยา แต่แล้ว…”
สวบ…! อาวุธลับชิ้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป บุรุษผู้นั้นเบี่ยงศีรษะหลบ หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ริมหน้าต่างลุกยืนขึ้น มองจ้องเขาด้วยสีหน้าโกรธจัด “ถานจี้จือ! เจ้าพบตัวเยี่ยหลี เหตุใดถึงไม่ฆ่านางเสีย”
บุรุษผู้นั้นก็คือถานจี้จือที่หายตัวไปหลังจากเดินทางออกจากซีเป่ย
ถานจี้จือเอ่ยอย่างจนใจว่า “หากข้าฆ่าเยี่ยหลีจริงๆ ท่านคิดว่าข้าจะยังมีชีวิตกลับมาหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “อย่าลืมสิ่งที่พวกเราตกลงกันไว้ ข้าเพียงต้องการให้เยี่ยหลีตาย! ดูท่าเจ้าคงลืมไปแล้ว”
ถานจี้จือมองสตรีงดงามที่เยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็ง นัยน์ตาปรากฏแววประหลาด “สิ่งที่พระสนมกุ้ยเฟยต้องการ ข้าจะกล้าลืมได้อย่างไร เพียงแต่ท่านก็ไม่ควรเอาชีวิตของข้าไปแลกกับชีวิตของเยี่ยหลี ท่านวางใจเถิด ขอเพียงพวกเราจัดการเรื่องของพวกเราได้สำเร็จ อย่าว่าแต่เยี่ยหลีเลย แม้แต่ม่อซิวเหยาจะมอบให้ท่านจัดการไปพร้อมกันก็ยังได้”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เรื่องนั้นเป็นเรื่องของเจ้า อย่าโยงเรื่องไร้สาระของพวกเจ้าให้มาเกี่ยวข้องกับข้า”
ถานจี้จือผายมือออก “เอาเถิด เป็นเรื่องของข้า หลังจากข้าไปจากเมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาทมีความเคลื่อนไหวอันใดบ้าง”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็นว่า “เดิมก็โง่เง่าอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งโง่เง่าหนักเข้าไปอีก”
ถานจี้จือระบายยิ้มอย่างเงียบขรึม “ไม่เอาเรื่องที่เขาโง่เง่าสิ ข้าได้ยินว่าเขาส่งเต๋ออ๋องกับอวี๋อ๋องไปยังซีเป่ย เพราะอยากให้ม่อซิวเหยากลับเมืองหลวง? เป็นความคิดของเจ้าโง่นั่นหรือ เขาคิดว่าม่อซิวเหยาจะไม่มีสมองเหมือนกับเขาอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ม่อซิวเหยาไม่กลับมาแล้วอย่างไร เต๋ออ๋องกับอวี๋อ๋องก็เกรงว่าคงจะไม่ได้กลับมาเช่นกัน”
ถานจี้จือก้มหน้าลงคิดอยู่พักหนึ่ง ถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นความคิดของพระสนมกุ้ยเฟยเองหรอกหรือนี่…เรียกม่อซิวเหยาให้กลับเมืองหลวงนั้นเป็นเรื่องลวง แต่อาศัยเรื่องนี้เพื่อกำจัดเต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องต่างหากที่เป็นเรื่องจริง? เพียงแต่…ข้าเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยคงต้องผิดหวังแล้ว ม่อซิวเหยาไม่แน่ว่าจะฆ่าท่านอ๋องสองคนนั่น”
หลิ่วกุ้ยเฟยหันมองเขาด้วยสายตานิ่งเย็น
ถานจี้จือเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่ ในเมื่อพระสนมกุ้ยเฟยเห็นพวกเขาแล้วรำคาญตา ไม่ว่าอย่างไรข้าน้อยก็จะจัดการให้ท่านเอง”
“ไม่เกี่ยวกับข้า” หลิ่วกุ้ยเฟยหันกลับไป ชื่นชมดอกถันฮวาตรงหน้าต่อ