ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 252-2 แผนร้ายของคุณชายชิงเฉิน
ประมุขตระกูลมู่หรงเอ่ยด้วยความลังเลว่า “ท่านอา เช่นนี้เกรงว่าจะไม่ได้ หากทำเช่นนี้จะไม่เป็นการสร้างเหตุผลให้เจิ้นหนานอ๋องเข้ามาแทรกแซงได้อย่างชอบธรรมหรือขอรับ”
หากเกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อค้าด้วยกันรุนแรงเกินไปจนส่งผลกระทบต่อชาวบ้านร้านตลาดแล้ว เจิ้นหนานอ๋องจะยกกำลังทหารเข้าจัดการตระกูลมู่หรง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถว่าอันใดได้
มู่หรงสยงอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเรื่องการปกครองหรือการค้า เขาล้วนไม่ถ่องแท้ทั้งสิ้น
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังขมวดคิ้วใคร่ครวญอย่างหนักอยู่นั้น ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงานว่า “เรียนท่านประมุข ด้านนอกมีคนชายท่านหนึ่ง ชื่อเหรินฉีหนิงมาขอพบขอรับ”
ประมุขตระกูลมู่หรงขมวดคิ้วถามว่า “เหรินฉีหนิง? คือผู้ใดกัน”
มู่หรงสยงเอ่ยขึ้นอย่างพอจำได้ว่า “คือคนที่ได้ที่หนึ่งในการประลองยุทธครานี้ วรยุทธเขาถือว่าไม่เลวทีเดียว น่าเสียดายที่อายุน้อยไปสักหน่อย หากอายุมากกว่านี้สักสิบปี ไม่แน่ว่าอาจต่อกรกับหลิงเถี่ยหานหรือเหลยเจิ้นถิงได้”
ประมุขตระกูลมู่หรงมิได้สนใจในวรยทุธของเหรินฉีหนิง ต่อให้มีวรยุทธล้ำลึกเพียงใด แต่หากต้องมาเจอกับสถานการณ์ลำบากของตระกูลมู่หรงเช่นนี้ในยามนี้ ก็เป็นเพียงนิ้วเรียวที่ไร้กำลังเท่านั้น “เขามีธุระอันใด”
ผู้เป็นบ่าวรายงานว่า “คุณชายเหรินกล่าวว่า เขาสามารถช่วยท่านประมุขแก้ไขสถานการณ์ลำบากในยามนี้ขอรับ”
ประมุขตระกูลมู่หรงอึ้งไปเล็กน้อย เบี่ยงตัวหันไปทางมู่หรงสยง
ดวงตาฟ่าฟางของมู่หรงสยงหรี่ลงเล็กน้อย “เชิญเขาเข้ามา”
ห่างจากบ้านตระกูลมู่หรงไปไม่ไกล บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีใบไม้ขึ้นอยู่รกทึบ คนสองคนนั่งสบายๆ อยู่บนกิ่งไม้มองตรงไปยังปากประตูใหญ่บ้านตระกูลมู่หรง
“อาหลี เจ้าว่าเหรินฉีหนิงมาทำอันใดที่บ้านตระกูลมู่หรงในเวลานี้” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
เยี่ยหลีส่ายหน้า นางมิใช่เทพยดาเสียหน่อย จะรู้ละเอียดเช่นนั้นได้อย่างไร
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยว่า “คุยกันไว้แต่แรกแล้วแท้ๆ ว่าพวกเราจะออกมาเที่ยวเล่นกัน สุดท้ายเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเหนื่อยกว่ายามปกติเสียได้นะ”
เยี่ยหลีพิงอกเขาพลางหัวเราะเสียงใส “นั่นมิใช่เพราะคนที่ไม่มีวรยุทธผู้นั้นหรือ ถึงแม้จะมีองครักษ์ลับคอยติดตามคุ้มครอง แต่ท่านก็รู้ดีว่ามู่หรงสยงเก่งกาจเพียงใด หากจู่ๆ เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ต่อให้พี่ใหญ่ฉลาดเฉลียวเป็นยอดคนเพียงใด แล้วจะมีประโยชน์อันใด”
หากสวีชิงเฉินต้องเฉชิญหน้ากับมู่หรงสยง แล้วเขาเกิดตัดสินใจที่จะลงมือสังหาร ต่อให้สวีชิงเฉินเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในโลกก็ไร้ประโยชน์ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีวรยุทธเป็นเลิศแล้ว แผนเล่ห์เหลี่ยมอันใดก็ไม่มีประโยชน์
ม่อซิวเหยาระบายลมหายใจออกมา ก้มลงเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “อาหลีพูดถูก ยามนี้เจ้าเหรินฉีหนิงนี่ก็เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยแล้ว พวกเรายังไปไหนไม่ได้จริงๆ”
เจิ้นหนานอ๋องกับหลิงเถี่ยหานหากร่วมมือกันต่อกรกับมู่หรงสยง เอาเข้าจริงก็มีความเป็นไปได้ที่จะชนะเพียงห้าสิบห้าสิบ หากมีเหรินฉีหนิงที่มีที่มาที่ไปไม่แน่ชัดเพิ่มเข้ามาอีกคน ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร คงยากจะคาดเดา
คนอื่นจะเป็นเช่นไร หรือตระกูลมู่หรงจะเป็นเช่นไร ม่อซิวเหยาไม่นึกใส่ใจ แต่อย่างน้อยพวกเขาจะต้องมั่นใจในความปลอดภัยของสวีชิงเฉิน “ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
เยี่ยหลีดึงม่อซิวเหยาไว้ “วิทยายุทธของมู่หรงสยงเหนือกว่าท่านอยู่ไม่น้อย อย่าเข้าไปเสี่ยงเลยจะดีกว่า”
ม่อซิวเหยายิ้ม ยื่นมือไปเกลี่ยเบาๆ ที่ผมข้างหูนาง “ไม่ต้องเป็นห่วง ต่อให้ถูกจับได้แล้วสู้เขาไม่ได้ คิดว่าข้าจะหนีออกมาไม่ได้เชียวหรือ”
เยี่ยหลีย่นคิ้ว จ้องเขานิ่งพลางเอ่ยว่า “ระวังด้วย”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า ปล่อยมือจากเยี่ยหลีก่อนกระโดดออกไปอย่างไร้ซุ่มเสียง อ้อมองครักษ์กลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า ตรงเข้าไปในบ้านตระกูลมู่หรง
ยามนี้ภายในห้องหนังสือ เหรินฉีหนิงกำลังระบายยิ้มอย่างแช่มชื่นต่อหน้าคนทั้งสาม พัดพัดในมือเล่นด้วยท่วงท่าสง่างามแลดูสบายตา
“ท่านคือใครกันแน่ มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด” ประมุขตระกูลมู่หรงมองบุรุษที่อมยิ้มสุภาพอย่างบัณฑิตตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจนึกรู้ดีว่า คนผู้นี้แตกต่างกับบัณฑิตที่แท้จริงอย่างคุณชายชิงเฉิน วรยุทธของคนผู้นี้ มาเป็นอันดับหนึ่งในบรรดายอดฝีมือรุ่นใหม่แห่งยุทธภพเลยทีเดียว
เหรินฉีหนิงยิ้ม “ข้าน้อยแซ่เหริน นามเหรินฉีหนิง คารวะประมุขตระกูลมู่ ผู้อาวุโสมู่หรง”
มู่หรงสยงส่งเสียงหึเย็นๆ
เหรินฉีหนิงรู้สึกเลือดภายในพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที จนเกือบล้มลงกับพื้น แต่ในขณะที่ในใจกำลังนึกตกใจกับกำลังภายในอันแก่กล้าของมู่หรงสยงนั้น ใบหน้าของเหรินฉีหนิงกลับยังคงนิ่งสงบสบายๆ อมยิ้มพลางเอ่ยชื่นชมว่า “ผู้อาวุโสมู่หรงช่างเป็นผู้อาวุโสยอดฝีมืออย่างแท้จริง ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก”
มู่หรงสยงยิ้มเย็น จะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าเหรินฉีหนิงกำลังเอ่ยเตือนเขาเรื่องที่เขากำลังใช้วิทธยายุทธรังแกผู้อ่อนอาวุโสกว่า “ที่คุณชายเหรินมาที่บ้านตระกูลมู่ในยามนี้ เพื่อมาเอ่ยชื่นชมคนแก่อย่างข้าหรือ”
เหรินฉีหนิงอมยิ้ม กวาดตาไปมองมู่หรงหมิงเหยียนที่นั่งอยู่ทีหนึ่ง “ข้าจะไม่ปิดบัง ที่ข้ามาในครานี้ก็เพื่อมาขอแต่งงานกับคุณหนูมู่หรง”
“ขอแต่งงาน?!” ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือต่างพากันอึ้งไป เป็นมู่หรงสยงที่ตั้งสติได้ก่อนเป็นคนแรก ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “เจ้ามีอันใด ถึงคิดว่าข้าจะยอมให้หมิงเหยียนแต่งงานกับเจ้า”
เหรินฉีหนิงใช้พัดเคาะลงบนฝ่ามือเล่น พลางเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “ยามนี้…นอกจากข้าน้อยแล้ว ยังมีผู้ใดยินดีแต่งงานกับคุณหนูมู่หรงอีกหรือ”
“บังอาจ!” มู่หรงสยงตะคอกด้วยความโกรธ
เหรินฉีหนิงไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย อมยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมู่หรงอย่าเพิ่งโกรธไป ถึงแม้สิ่งที่ข้าน้อยพูดจะดูไม่น่าฟัง แต่ผู้อาวุโสมู่หรงก็มิอาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปได้ ตระกูลมู่หรงเป็นตระกูลใหญ่มีการค้าใหญ่โต คนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแต่งงานกับคุณหนูมู่หรง ย่อมมีอยู่ไม่มากนัก ท่าทีของคุณชายชิงเฉินในช่วงที่ผ่านมา ผู้อาวุโสมู่หรงก็คงมองออกแล้ว ส่วนเจ้าสำนักหลิงก็เกรงว่าจะยืนอยู่ข้างคุณชายชิงเฉิน หรือว่า…ประมุขตระกูลมู่หรงคิดจะให้คุณหนูมู่หรงแต่งงานไปกับต้าฉู่หรือ”
ด้วยฐานะของมู่หรงหมิงเหยียน เมื่อเข้าวังไปแล้วอย่างมากก็เป็นได้เพียงตำแหน่งเฟยเท่านั้น เหนือนางมีกุ้ยเฟยกับฮองเฮากดอยู่ยังไม่เท่าไร แต่ต้าฉู่มิได้ขาดแคลนเงินทอง ความสำคัญของตระกูลมู่หรงในสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ ก็คงมีไว้เพื่อเจรจาการค้าเท่านั้น ถึงยามนั้นเกรงว่าคงต้องเสียทั้งเจ้าสาว เสียทั้งกำลังทหาร นอกจากตระกูลมู่หรงจะต้องเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไปแล้ว ยังจะต้องเสียการค้าของตระกูลขนาดใหญ่ไปด้วย
“หรือว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะแต่งงานกับหมิงเหยียนอย่างนั้นหรือ” มู่หรงสยงจ้องเขาพร้อมเอ่ยถามเสียงเย็น
เหรินฉีหนิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ถึงแม้ข้าน้อยจะมิได้ร่ำรวยประหนึ่งแคว้นเช่นตระกูลมู่หรง แต่ตัวข้าก็ยังพอมีความสามารถและพอมีพื้นเพตระกูลอยู่บ้าง”
มู่หรงสยงพ่นลมหายใจออกทางจมูก ไม่ว่าจะในยุทธภพหรือที่ห่างไกลใดๆ ก็ตาม พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเหรินฉีหนิงมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีตระกูลผู้มีอิทธิพลตระกูลใดที่แซ่เหริน เจ้าหนุ่มที่ไม่เคยมีแม้แต่ชื่อเสียง กลับถึงขั้นกล้าอวดดีเพียงนี้
เหรินฉีหนิงเห็นสายตาดูแคลนของมู่หรงสยงอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่นึกโกรธ อมยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมู่หรงชี้แนะข้าสักสามสี่กระบวนท่าเป็นไร”
มู่หรงสยงยังไม่ทันได้เอ่ยเหน็บแนมเหรินฉีหนิงว่าไม่รู้จักประเมินฝีมือตนเอง ก็เห็นเหรินฉีหนิงสะบัดแขนเสื้อส่งลมหอบหนึ่งตรงเข้าใส่ประมุขตระกูลมู่หรงที่นั่งอยู่
ประมุขตระกูลมู่หรงไม่เคยฝึกวรยุทธมาก่อน เมื่อจู่ๆ สถานการณ์เกิดเปลี่ยนมาลงที่เขาเช่นนี้ จึงตกใจจนไม่ทันได้หลบหนี
มู่หรงหมิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัดฟันหยิบกริชในแขนเสื้อออกมาถืออยู่ในมือ ก่อนพุ่งตรงไปทางเหรินฉีหนิง
เหรินฉีหนิงยิ้มน้อยๆ โบกมือขึ้นในอากาศ ก่อนจะคว้าเอากริชในมือมู่หรงหมิงเหยียนมาได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่ากระบวนท่านี้ของเขาย่อมเป็นเลิศ หากเป็นหลิงเถี่ยหานหรือม่อซิวเหยาที่เป็นยอดฝีมืออายุน้อยมาอยู่ที่นี่ อาจมองอันใดไม่ออก แต่มู่หรงสยงกลับต่างออกไป ผู้ที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว สิ่งที่ได้พบได้เห็นมาย่อมมากกว่าคนรุ่นม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานอยู่มากนัก สีหน้ามู่หรงสยงเปลี่ยนไปทันที จ้องเหรินฉีหนิงเขม็ง “ดัชนีจิงหง! เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหลิน”
เหรินฉีหนิงยืดตัวขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยแซ่หลิน นามย่วน มีท่านปู่แซ่หลิน นามฟู่ฉิน เชื่อว่าผู้อาวุโสคงเคยได้ยินมาบ้าง”
“เจ้าคือหลินย่วน?! เป็นไปไม่ได้…หลินย่วนไม่ได้…” ตระกูลมู่หรงมีการค้ากระจายอยู่ทั่วใต้หล้า ย่อมมีแหล่งข่าวกระจายอยู่ทั่วเช่นกัน คนที่ชื่อหลินย่วนนั้น มู่หรงสยงเคยได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ถึงขั้นเรียกได้ว่าเคยได้ยินมาก่อนชื่อม่อซิวเหยาเสียอีก แต่สาเหตุที่ทำให้เขารู้จักกับชื่อหลินย่วนนั้น ต่างกับสาเหตุของคนอื่นๆ เช่นม่อซิวเหยา
หลินย่วนที่ม่อซิวเหยาหรือแม้กระทั่งคนทั้งใต้หล้าได้รู้จักนั้น คือหลินย่วนที่มีฐานะเป็นบุตรกำพร้าจากราชวงศ์ก่อน แต่ที่มู่หรงสยงรู้จักเขา ด้วยเพราะเขามีท่านปู่ที่ชื่อหลินฟู่ฉิน
หลินฟู่ฉินผู้นี้ ยามนี้มีคนในยุทธภพหรือราชสำนักรู้จักอยู่เพียงน้อยนิด แต่มู่หรงสยงจำได้ว่าคนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับเดียวกับตน เพียงแต่หลินฟู่ฉินไม่เคยมีชื่อเสียงอยู่ในยุทธภพมาก่อน บางครั้งมู่หรงสยงถึงขั้นนึกสงสัยว่า หากยามนั้นหลินฟู่ฉินต้องการแย่งชิงตำแหน่งยอดฝีมือด้วยเช่นกันแล้ว ตนเองจะสามารถชิงตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้ามาครองได้หรือไม่
ใบหน้าเหรินฉีหนิงมีแววดูแคลนปรากฏขึ้นให้เห็น “ถานจี้จือหรือ ก็เป็นแค่ของเล่นที่ไม่คู่ควรจะเป็นหน้าเป็นตาเท่านั้น อย่างมันจะถือเป็นอันใดได้?”