ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 284-1 ถูกจับเข้าคุก
เฟิ่งจือเหยามองเฟิ่งหวายถิงกับเฟิ่งฮูหยินด้วยสายตาเยาะหยันพร้อมส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเบือนหน้าหนีด้วยความดูแคลน แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต บิดาของเขาสนใจก็เพียงภรรยาเอกและบุตรสายหลักเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะตั้งใจทำอันใดเพียงใด ก็มักเป็นคนที่ถูกมองข้ามเสมอ
จู่ๆ ในใจเฟิ่งจือเหยาก็เกิดรู้สึกไร้เรี่ยวแรง อดยิ้มเยาะในตัวเองทีหนึ่งไม่ได้ ในหัวมีร่างในชุดสีขาวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้แววตัดพ้อที่เดิมมีอยู่ในดวงตาของเฟิ่งจือเหยาดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ใช่แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่มีตระกูลเฟิ่ง แต่เขาก็ยังมีคนอื่นๆ เช่นม่อซิวเหยาที่โตมาด้วยกันประหนึ่งพี่น้อง คบหากันมาหลายปีความรู้สึกผูกพันมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพี่น้องที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมรบกันมา และบางที เขาอาจจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองในเร็ววันนี้
เมื่อคิดถึงร่างอันบอบบางและอ่อนหวานที่ตำหนักติ้งอ๋อง ความขุ่นมัวในใจของเฟิ่งจือเหยาก็มลายหายไปจนไม่มีเหลือ เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงที่อยู่ตรงมุมห้องอย่างถือดีว่า “ข้าได้รายงานต่อท่านอ๋องแล้ว อีกไม่นานพวกท่านก็จะได้ออกไป ต่อจากนี้…หึ!”
ในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอันใดที่เป็นการตัดขาดกันออกมา เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ทีหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินจากไป ต่อให้พวกเขาเดือดร้อนเพราะเขาแล้วอย่างไร หากเขายังมีเรื่องรู้สึกผิดอยู่ในใจ อย่างไรก็เสมือนศีรษะที่ถูกประตูหนีบไว้ ช่วยพวกเขาออกมา ต่อไปจะได้ไม่มีอันใดติดค้างกันอีก!
เฟิ่งหวายถิงลอบสังเกตแผ่นหลังสีแดงที่หมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ ในมุมหนึ่งที่มืดสลัว ใบหน้าที่แก่ชราดูมีแววอุ่นใจและสบายใจ
“หลิ่วกุ้ยเฟยเสด็จ! ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการมาถึง!” เฟิ่งจือเหยาเพิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว ที่ปากประตูก็มีเสียงดังรายงานขึ้น
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น ม่อจิ่งหลีมาก็แล้วไปเถิด นี่แม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยก็มาด้วย ดูท่าที่ฮว่ากั๋วกงเอ่ยคงจะไม่ผิด หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้ไปไหนมาไหนในวังได้อย่างอิสระเท่านั้น แม้แต่จะออกจากวังก็สามารถทำได้ตามใจ ดูท่า…คงจะมีจุดอ่อนที่ไม่ใช่เรื่องเล็กของหลีอ๋องอยู่ในมือสินะ คงไม่ต้องรีบไปแล้ว เฟิ่งจือเหยาหมุนตัวค่อยๆ เดินกลับเข้าไปทางเก่า
อีกฟากหนึ่งในห้องขัง หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในชุดขาวมองสภาพสกปรกรุงรังตรงหน้า แล้วก็ให้ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ กลิ่นเหม็นเน่าในคุก ต่อให้ใช้กำยานหอมมากเพียงใดก็ไม่อาจกลบกลิ่นเหล่านั้นได้
หลิ่วกุ้ยเฟยมองม่อจิ่งหลีแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ มีเรื่องอันใดถึงต้องมาที่แบบนี้ด้วยตนเองด้วย”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ดูเหมือนข้าจะไม่ได้ขอร้องให้หลิ่วกุ้ยเฟยต้องมาด้วยเลยนะ”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงหึเบาๆ แน่นอนว่าม่อจิ่งหลีไม่ได้ขอร้องให้นางมาด้วย แต่ถานจี้จือหายตัวไป ข้างกายนางไม่มีผู้ใดคอยคิดวางแผนให้อีก หากไม่ตามมาดูด้วย นางจะรู้ได้อย่างไรว่าม่อจิ่งหลีคิดทำการใด
ม่อจิ่งหลีมิได้สนใจความมืดสลัวและความสกปรกในคุก เขาเดินเข้าไปพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องขวางข้าเช่นนี้ ตระกูลเฟิ่งก็เป็นแค่ตระกูลพ่อค้า ต่อให้ข้ามีแผนอันใดก็คงไม่ใช้กับพวกเขาหรอก”
หลิ่วกุ้ยเฟยใจกระตุกวาบ ในราชสำนัก ตระกูลเฟิ่งมิได้มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ม่อจิ่งหลีใจเต้นเลยจริงๆ แต่เงินทองของพวกเขานั้นกลับเพียงพอที่จะทำให้ใจเต้นได้ “เจ้าสนใจในเงินทองของตระกูลเฟิ่ง?”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เจ้าคิดว่าตระกูลเฟิ่งล่วงเกินได้ง่ายๆ หรือ ด้วยเพราะคำพูดของเจ้าเพียงประโยคเดียว ข้าก็จับตระกูลเฟิ่งมาทั้งตระกูลแล้ว ในเมื่อล่วงเกินแล้ว เหตุใดถึงจะไม่ล่วงเกินให้สุดเล่า ให้พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
“เจ้าพูดได้น่าฟัง ตระกูลเฟิ่งเป็นคนของม่อจิ่งฉี พวกเขาไม่มีทางจงรักภักดีต่อเจ้า หากจะปล่อยไว้ง่ายๆ สู้จัดการเองเลยเสียยังจะดีกว่า ต่อให้ไม่มีเรื่องของข้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะเล่นงานตระกูลเฟิ่งอยู่ดี” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยพร้อมยิ้มเยาะ
ม่อจิ่งหลีก็มิได้ปฏิเสธ
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็เดินผ่านเลี้ยวสุดท้ายที่จะเข้าไปยังห้องขังด้านในสุด แต่กลับเห็นคนที่ไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ยืนสบายๆ อยู่ตรงกลางทางเดิน กอดอกอมยิ้มมองพวกเขาอยู่
“เฟิ่งจือเหยา เจ้าช่างใจกล้านัก” ดวงตาหงส์ของหลิ่วกุ้ยเฟยหรี่ลงเล็กน้อย พลางยิ้มเย็น
รอยยิ้มของเฟิ่งจือเหยายิ่งกว้างขึ้น ประหนึ่งกำลังอารมณ์ดีอย่างยิ่ง “ต่อให้ใจกล้าเพียงใดก็คงสู้พระสนมกุ้ยเฟยไม่ได้…อา ผิดแล้ว เป็นไท่กุ้ยเฟยที่กำลังจะถูกนำไปร่วมฝังต่างหาก สนมในวังกล้าออกนอกวังมาตามอำเภอใจได้อย่างไร สนมที่มีชื่อต้องนำไปร่วมฝังในราชโองการสุดท้าย เหตุใดท่าน…ถึงยังกล้ามีชีวิตอยู่อีก”
“เฟิ่งจือเหยา!” หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันกรอด ใบหน้าที่จับจ้องเฟิ่งจือเหยาปานประหนึ่งหยกที่มีน้ำค้างเกาะ “ตำหนักติ้งอ๋องจับคนของข้าไป เจ้ากลับไปบอกติ้งอ๋องว่า ข้าจะไปขอคนของข้าคืนด้วยตนเองถึงที่ตำหนัก”
เฟิ่งจือเหยาโบกมือพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไปถึงที่ตำหนักด้วยตนเองคงไม่ต้องหรอก เกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยคงมิได้หมายใจไว้ที่สุราในแก้ว จะไปขอคนคืนคงเป็นเรื่องลวง แต่จะถือโอกาสไปตอแยท่านอ๋องของพวกเราต่างหากที่เป็นเรื่องจริง พระชายาของเราขี้หึงมากนัก ดังนั้นเพื่อความสงบสุขของท่านอ๋องและพระชายา ข้าน้อยก็ขอเป็นตัวแทนท่านอ๋องบอกปฏิเสธพระสนมทางอ้อมก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจ!” หลิ่วกุ้ยเฟยตะโกนต่อว่าขึ้น นางไม่กลัวว่าคนทั้งใต้หล้าจะรับรู้เรื่องที่นางพึงใจในม่อซิวเหยา แต่นางก็เกลียดที่คนอื่นมาเอ่ยวาจาถากถางในความรักอันลึกซึ้งของนาง
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว เอ่ยตัดบทสนทนาทั้งสองด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ได้มาฟังพวกเจ้าคุยเรื่องไร้สาระกัน เฟิ่งซาน เจ้าช่างใจกล้าไม่น้อย คิดว่ามีตำหนักติ้งอ๋องคอยสนับสนุนแล้ว จะสามารถบุกเข้ามาในต้าหลีซื่อได้อย่างนั้นหรือ”
เฟิ่งจือเหยายิ้มเรียบๆ “ที่ไหนกัน ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ท่านอ๋องมิได้จับตระกูลเฟิ่งมาทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานและไม่มีความผิดหรือ หากเทียบกับท่านอ๋องแล้ว ที่ข้าน้อยมาอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่เรื่องที่น่าเอ่ยถึง”
แค่เพียงเห็นเฟิ่งจือเหยา ก็ทำให้คิดถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเฟิ่งจือเหยา ซึ่งทำให้ม่อจิ่งหลีอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ยามนี้เขาไม่อยากต่อกรกับเขาและไม่อยากไปยั่วยุม่อซิวเหยา แต่การที่ม่อซิวเหยารั้งอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานาน ก็ทำให้เขาไม่อาจดำเนินการตามแผนการหลายๆ แผนได้
ม่อจิ่งหลีไม่ได้ถามหลิ่วกุ้ยเฟยว่าเหตุใดนางถึงต้องให้จับคนตระกูลเฟิ่งไว้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็จะเล่นงานตระกูลเฟิ่งอยู่แล้ว หากมีเรื่องหลิ่วกุ้ยเฟยมาเป็นข้ออ้าง ก็เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของเขามากนัก แล้วเหตุใดเขาถึงจะไม่ยินดีทำเล่า
เพียงแต่เขาคิดมาตลอดว่าเฟิ่งซานกับตระกูลเฟิ่งมีความสัมพันธ์ที่ตื้นเขินต่อกัน การที่เฟิ่งซานยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องตระกูลเฟิ่ง ถือเป็นการแสดงจุดยืนของตัวเขาและตำหนักติ้งอ๋อง หรือว่า…ม่อซิวเหยาเองก็หมายตาเนื้อติดมันชิ้นนี้อยู่เหมือนกัน
คิ้วคมขมวดมุ่น ม่อจิ่งหลีเอ่ยถามว่า “ติ้งอ๋องสบายดีหรือไม่”
เฟิ่งจือเหยามองม่อจิ่งหลีด้วยความมึนงง นี่จากกันไปสามวันก็มองกันด้วยสายตาใหม่แล้วอย่างนั้นสินะ หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนการที่ม่อจิ่งหลีเอ่ยถึงม่อซิวเหยาแล้วไม่พูดจาต่อว่าถากถาง ก็ถือว่าได้รับการอบรมมาดีมากแล้ว ยามนี้ถึงขั้นถามว่าติ้งอ๋องสบายดีหรือไม่ อำนาจนี่ช่างทำให้คนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ง่ายที่สุดจริงๆ
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ลำบากหลีอ๋องต้องเป็นห่วงแล้ว ท่านอ๋องของพวกเราสบายดีทุกอย่าง”
“เช่นนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลีเอ่ย “ดูเหมือนข้าจะได้ยินว่า เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงตั้งใจที่จะเพิ่มกำลังทหารที่ชายแดน ไม่รู้ว่าท่านอ๋องมีแผนการเช่นไร”
เฟิ่งจือเหยายกยิ้มเพียงใบหน้าแต่ตาไม่ยิ้มว่า “ท่านอ๋องกล่าวว่ายามนี้ท่านอยู่ระหว่างการพักผ่อน เรื่องทุกอย่างยกให้คุณชายชิงเฉินเป็นคนจัดการ เรื่องนี้เกรงว่าท่านอ๋องคงต้องไปสอบถามจากคุณชายชิงเฉินแล้ว”
ม่อจิ่งหลีกับเฟิ่งจือเหยาก็ถือเป็นคนคุ้นเคยกัน จึงรู้ดีว่าหากพูดจาอ้อมค้อมกับเขา เกรงว่าพรุ่งนี้เขาก็คงยังไม่ได้เข้าเรื่อง จึงจำต้องชิงเปลี่ยนเรื่องก่อน “นี่คุณชายเฟิ่งซานมาเยี่ยมนายท่านเฟิ่งหรือ”
เฟิ่งจือเหยายักไหล่ ถือเป็นการตอบคำถาม
ม่อจิ่งหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องตระกูลเฟิ่งจะว่าไปแล้วก็เกี่ยวโยงกับตำหนักติ้งอ๋องอยู่หลายส่วน เพียงแต่เรื่องนี้ข้าคงตัดสินใจไม่ได้ มิเช่นนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าตำหนักติ้งอ๋อง จะอำนายความสะดวกให้กับคุณชายเฟิ่งซานบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด”
เฟิ่งจือเหยาหรุบตาลง นี่ม่อจิ่งหลีกำลังบอกเขาว่า คนที่เล่นงานตระกูลเฟิ่งมิใช่เขาอย่างนั้นหรือ ในใจเขานึกยิ้มเยาะ หากเขาเชื่อม่อจิ่งหลีเขาก็คงเป็นไองั่งแล้ว
เขาปรายตามองหลิ่วกุ้ยเฟยเงียบๆ เกรงว่าสตรีนางนี้คงเป็นคนที่ถูกใช้ประโยชน์กระมัง ที่แท้ก็เป็นลาโง่ที่เกิดมามีหน้าตางดงามอย่างเสียเปล่าจริงๆ มิน่าท่านอ๋องถึงไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา
“ขอบคุณท่านอ๋องมากที่ต้องลำบาก ข้าน้อยก็เพียงมาเยี่ยมเฉยๆ เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรตระกูลเฟิ่งก็ไม่จำเป็นต้องให้คนที่ถูกขับออกจากตระกูลแล้วอย่างข้ามาเป็นห่วง มิใช่หรือ เชื่อว่าท่านอ๋องกับหลิ่วกุ้ยเฟยคงยังมีธุระ ข้าน้อยขอตัวลาก่อน” เขาหันไปประสานมือให้ม่อจิ่งหลีกับหลิ่วกุ้ยเฟยแกนๆ ก่อนเฟิ่งจือเหยาจะเตรียมตัวจากไป
“ช้าก่อน” จู่ๆ หลิ่วกุ้ยเฟยก็เอ่ยเรียกขึ้น
เฟิ่งจือเหยาหันกลับไปมองหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสายตาเรียบเฉย
ก็ได้ยินเพียงหลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างถือดีว่า “เจ้ายังไปไม่ได้”
เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นมาทันที “เพราะเหตุใด”
“เจ้าเข้ามาในต้าหลี่ซื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าคิดว่าต้าหลี่ซื่อเป็นสถานที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้หรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น
เพราะฉะนั้น หลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้หาข้ออ้างรั้งเขาไว้ก็เท่านั้น
เฟิ่งจือเหยามิได้สนใจ เอ่ยถามเรื่อยเปื่อยว่า “ท่านจะเอาอย่างไร ข้าจะไป ท่านรั้งไว้ได้หรือ”
ฝีมือของเฟิ่งจือเหยา หากต้องปะทะกับม่อซิวเหยาที่เป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิคงลำบากเล็กน้อย แต่การรับมือกับม่อจิ่งหลีและหลิ่วกุ้ยเฟยในทางเดินแคบๆ เช่นนี้ ถือว่าไม่ยากเท่าไรนัก
ยังไม่ทันพูดจบ ม่อจิ่งหลีก็ถอยหลังไปด้านหนึ่งโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกต
ยามเขาเป็นหนุ่ม เขาเคยปะทะกับเฟิ่งจือเหยามาก่อน จึงรู้ตัวดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ในทางเดินแคบๆ เช่นนี้ องครักษ์เข้ามาได้เพียงไม่กี่คน หากถูกเฟิ่งจือเหยาจับตัวได้หรือทำให้บาดเจ็บคงดูไม่ดีทั้งคู่
แน่นอนว่าหลิ่วกุ้ยเฟยก็ไม่ได้คิดที่จะใช้ไม้แข็งกับเฟิ่งจือเหยา นางยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ากล้าไปข้าก็จะฆ่าเฟิ่งหวายถิงเสีย”
เฟิ่งจือเหยาหรุบตาลง ครู่หนึ่งถึงได้ถอนใจออกมาด้วยความจนใจ พลางหยิบมีดเล่มเล็กจากแขนเสื้อมาโยนลงกับพื้น ผายมือออกเป็นการบอกว่าตนไม่มีอาวุธอื่นแล้ว
หลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้โบกมือให้คนมาจับตัวเฟิ่งจือเหยาไว้ด้วยความพอใจ พร้อมทั้งเอ่ยสั่งว่า “เอาตัวเฟิ่งหวายถิงออกมาด้วย สองคนนี้ข้าจะเอาตัวไป หลีอ๋อง ไม่มีปัญหาอันใดกระมัง”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยอย่างเหลือจะทนว่า “ตามสบาย” สิ่งที่เขาต้องการคือทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่ง หลายปีมานี้บุตรชายทั้งสองของตระกูลเฟิ่งก็ได้เข้ามารับช่วงต่อกิจการของตระกูลไปแล้ว จะมีหรือไม่มีเฟิ่งหวายถิบหาได้สำคัญไม่ เพียงแต่อย่างไรก็ยังต้องเอ่ยเตือนนางสักประโยคหนึ่ง “ทางที่ดีท่านควรระวังไว้หน่อย อย่าให้ภัยมาถึงตัวได้ หากไปยั่วยุม่อซิวเหยาเข้า ท่านก็คงไม่ต้องไปร่วมฝังแล้ว”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงหึเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ ในใจลึกๆ นางไม่เชื่อว่าม่อซิวเหยาจะสังหารนาง
“ข้าย่อมรู้ว่าอันใดควรไม่ควร”
เฟิ่งจือเหยาปล่อยให้หลิ่วกุ้ยเฟยจับตัวเขาไปโดยไม่ขัดขืน คนที่ไปกับเขาด้วยมีเพียงเฟิ่งหวายถิง ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลเฟิ่งที่เหลือยกให้ม่อจิ่งหลีเป็นคนจัดการ
เฟิ่งจือเหยาก็มิได้สนใจว่าม่อจิ่งหลีจะจัดการเช่นไร อย่างน้อยหากเทียบกับม่อจิ่งฉีที่เสียสติไปครึ่งหนึ่งกับหลิ่วกุ้ยเฟยที่คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางแล้ว ม่อจิ่งหลีก็ถือเป็นคนที่รู้ว่าอันใดควรไม่ควรมากกว่า คนตระกูลเฟิ่งตกไปอยู่ในมือเขา ขอเพียงคนของตำหนักติ้งอ๋องยังอยู่ในเมืองหลวง อย่างน้อยชื่อแซ่ของคนเหล่านี้ก็ยังพอรักษาไว้ได้อยู่