ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 296-2 คำสารภาพรักของคุณชายสวีสาม
ฮว่าเทียนเซียงทำหน้าเย็นชาใส่ชายหนุ่มผู้มีใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลั้นยกมุมปาก มองฟ้าพลางกรอกตาใส่ ท่าทางเช่นนี้เหตุใดถึงเหมือนกับเรารังแกเขาได้นะ
“คุณชายสวี หากไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็เชิญกลับเถิด” รออยู่สักครู่ สวีชิงเฟิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมาก่อน ฮว่าเทียนเซียงก็คร้านจะเสียเวลาตรงนี้แล้ว ไม่แน่ว่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้ครึ่งวัน อีกฝ่ายก็อาจจะไม่พูดอะไรออกมาสักคำได้เช่นกัน
เมื่อเห็นฮว่าเทียนเซียงจะหันตัวกลับไป ใจของสวีชิงเฟิงก็ร้อนรน ยื่นมือออกไปหวังจะรั้งนางไว้
“เจ้า…”
“หา!” เมื่อได้สติ ก็พบว่าตนได้ล่วงเกินแม่นางเข้าแล้ว ในใจของสวีชิงเฟิงลุกลี้ลุกลนเข้าไปกันใหญ่ จนอยากจะหนีเตลิดไปเสียให้ได้ ทว่าในหัวก็ได้ยินเสียงกระซิบเตือนจากน้องสาว แต่งงานมีสามี…แต่งงานมีสามี…ทันใดก็ปรากฏภาพในหัว เป็นชายไม่คุ้นตาจูงมือหญิงสาวตรงหน้าเข้าพิธีไหว้เทวดาฟ้าดิน สวีชิงเฟิงส่ายหัวอย่างรวดเร็วและสลัดภาพในใจออกไป เขาและฮว่าเทียนเซียงพบกันสองครั้งที่ฉู่จิงก็จริง แต่สวีชิงเฟิงก็ไม่สนใจอะไร เมื่อเขากลับมาที่เมืองเมื่อสองวันก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงแม่ของเขา เขาถึงไปที่จวนติ้งอ๋องโดยอ้างว่าช่วยเฟิ่งจือเหยาส่งของ ทว่าเขาได้พบกับฮว่าเทียนเซียงซึ่งกำลังคุยกับองค์หญิงฉางเล่อในเรือนของเสิ่นหยาง เพียงแรกเห็น ก็รู้สึกตะลึงคิดว่าดุจดั่งนางฟ้า
ในเวลานั้นสวีชิงเฟิงไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งกลับบ้าน ถูกท่านแม่ดึงและพูดมากมายเกี่ยวกับการแต่งงาน แต่เดิมคำพูดเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกปวดหัว แต่ใบหน้างดงามนั้นยังคงปรากฏอยู่ในใจไม่หยุด สวีชิงเฟิงไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมเข้าใจว่าตนเองมีความรู้สึกดีๆ ให้กับผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่ไม่กล้าคิดเรื่องนี้เพราะกำลังจะเข้าสู่สงคราม ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ตนเองทำให้แม่นางขุ่นเคืองใจก่อนที่จะเริ่มเข้าเสียแล้ว
ฮว่าเทียนเซียงมองชายตรงหน้าด้วยใบหน้าที่แปลกประหลาด โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“ฮว่า แม่นางหยาง…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้า ตอนที่ท่านแม่บอกข้าเรื่องนี้ ข้าถูกบังคับจนร้อนรน ถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกไป อันที่จริงข้าอยากบอกท่านแม่ว่า ข้ามี…มีคนในใจอยู่แล้ว” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หูของสวีชิงเฟิงแดงเล็กน้อยพลางก้มหน้าลง
ฮว่าเทียนเซียงกระอักกระอ่วน เอ่ยเบาๆ “ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด อธิบายเข้าใจกันแล้วก็สิ้นเรื่อง ข้าไม่โทษคุณชายสวี คุณชายกลับไปเถิด ขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นฮว่าเทียนเซียงหันตัวกลบัไป สวีชิงเฟิงอดมึนงงไม่ได้ เขา…พูดอะไรผิดไปหรือ
ไม่ไกลจากเขา นอกประตูทรงพระจันทร์ เยี่ยหลีและฉินเจิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา พี่สาม (น้องสาม) ปกติไม่ได้โง่ขนาดนี้นี่นา เยี่ยหลีกัดฟันกรอด ถอดปิ่นไข่มุกบนหัวแล้วขว้างมันออกไป เกิดเสียงดังตุบกระทบเข้ากับศีรษะของสวีชิงเฟิง สวีชิงเฟิงแตะศีรษะและมองกลับไปเห็นหัวโผล่ออกมาครึ่งหนึ่งของทั้งสองคน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี “หลีเอ๋อร์ พี่สะใภ้รอง พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“งั่งเอ๊ย…สารภาพรักสิ” เยี่ยหลีกระซิบเตือน
“หา” คุณชายสวีหน้าแดง เขาหันไปมองฮว่าเทียนเซียงที่เพิ่งหันตัวเดินออกไป เห็นเพียงเสื้อผ้าผ่านไปไวๆ เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฉินเจิงปิดปากยิ้ม พลางเอ่ย “น้องสาม เกรงว่าเทียนเซียงจะเข้าใจว่าเจ้าชอบคนอื่นแล้วน่ะสิ”
“ข้า…ข้าเปล่า…”
“ยังไม่รีบไปอีก!”
อย่างไรเสียก็รู้สึกตัวแล้วว่ามีอะไรผิดปกติ สวีชิงเฟิงหมุนตัวตามเข้าไป เยี่ยหลีกับฉินเจิงมองหน้ากันและติดตามอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปสองก้าว ก็ได้ยินเสียงของสวีชิงเฟิงที่อยู่ไม่ไกลลอยมา “แม่นางหยาง ข้าหมายถึงคนในใจของข้าก็คือเจ้า!”
เสียงของสวีชิงเฟิงไม่ดัง แต่ก็ไม่เบาไป อย่างน้อยเยี่ยหลีและฉินเจิงที่ยังคงยืนอยู่ตรงประตูเรือน สามารถได้ยินอย่างชัดเจน ทั้งสองแทบจะปิดหน้าเพราะทนดูไม่ได้พลางถอนหายใจยาวๆ
ด้านหลังแปลงดอกไม้ ฮว่าเทียนเซียงตกใจเพราะการสารภาพรักอันกะทันหันของเขา ยังไม่ทันได้พูดอะไร บนยอดไม้ที่ผนังด้านข้างมีร่างคนร่วงลงมาจากต้นไม้ พร้อมกับเสียงดังตุบ สวีชิงเฟิงรีบขวางฮว่าเทียนเซียงอย่างรวดเร็ว จ้องมององครักษ์ลับไม่คุ้นตาตรงหน้าอย่างไม่พอใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“เฝ้ายามน่ะ ขอโทษที่รบกวน ท่านต่อเถอะ” องครักษ์ลับเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและสงบนิ่ง กระโดดขึ้นยอดไม้อีกครั้ง คิดแล้วคิดอีกจากนั้นก็กลับมาและกล่าวเสริมว่า “ยินดีด้วย”
“ขอบคุณมาก” สวีชิงเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มโง่ๆ
“ตุบ!” องครักษ์ลับที่เพิ่งปีนต้นไม้ล้มลงอีกครั้ง แต่คราวนี้อยู่นอกกำแพง คุณชายสามตระกูลสวีไม่ได้โง่ขนาดนั้น ต้องเป็นเพราะยืนเฝ้ายามผิดที่แน่นอน!
เมื่อคุณชายสวีสามได้สติ หันกลับมาก็เห็นว่าฮว่าเทียนเซียงจ้องมองมาที่ตน ก่อนจะหันกลับและวิ่งหนีไป คุณชายสวีสามงุนงงทันใด “นี่…ข้าพูดอะไรผิดอีกแล้วหรือ”
“เจ้าไม่ได้พูดผิด แต่เจ้าเลือกที่ผิด” เยี่ยหลีและฉินเจิงออกมาจากด้านหลังแปลงดอกไม้ จ้องมองเขาด้วยความโกรธ
“หมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยหลี่พูดพลางยิ้มตาหยี “เมื่อครู่ไม่ใช่แค่เรา ทั้งนอกและในเรือน มีคนอย่างน้อยสิบคนที่ได้ยินคำสารภาพของพี่สาม”
“แล้วอย่างไรล่ะ” แน่นอนเขารู้ว่ามีองครักษ์ลับหลายคนในติ้งอ๋อง รู้สึกไม่ดีเท่าไร ที่ผ่านไปเพียงอึดใจเดียวก็มีคนเพิ่งตกต้นไม้ถึงสองครั้ง
ฉินเจิงถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธ “น้องสาม รั่วหวาเป็นหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน เจ้าทำเช่นนี้กับแม่นาง…จะทำอย่างไร…”
ทันใดนั้น สวีชิงเฟิงก็คิดได้ “หลีเอ๋อร์ พี่สะใภ้รองขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ข้าไปก่อนนะ” หลังจากนั้น คุณชายสวีสามก็หันหลังวิ่งออกไปจากเรือน
“เจ้าจะไปไหน”
“ขอท่านแม่ข้า มาสู่ขอน่ะสิ…” เสียงของคุณชายสวีสามลอยออกมาจากระยะไกล เยี่ยหลีและฉินเจิงที่ถูกทิ้งให้อยู่ที่เดิมได้แต่มองหน้ากัน
“พระชายา สวีฮูหยินเล็ก” ฮองเฮาจูงฮว่าเทียนเซียงออกมาด้านหลังภูเขาจำลอง เมื่อเห็นเยี่ยหลีและฉินเจิง ฮว่าเทียนเซียงแทบจะก้มหัวด้วยความเขินอาย เยี่ยหลีเดินเข้าไปหาและกล่าวขอโทษ “ฮูหยิน พี่สามเป็นคนตรงและไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม โปรดยกโทษให้ด้วยที่ละเลยท่านและรั่วหวา แต่ตระกูลสวีไม่มีเจตนาที่จะเหยียดหยามอย่างแน่นอน เรื่องนี้ท่านโปรดเชื่อข้า” ฮ่องเฮายิ้ม เอ่ย “ข้าย่อมเชื่อในสิ่งที่พระชายาพูดอยู่แล้ว คุณชายสวีสาม…เอ่อ ก็เป็นคนตรงไปตรงมาดีนะ”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีและฮองเฮามีบางอย่างจะพูดกัน ฉินเจิงก็ตัดสินใจล้วงลึกความคิดของเพื่อนสนิท ดึงฮว่าเทียนเซียงและพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เรามาคุยกันเถอะ”
ฮองเฮามองหลานสาวด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ไปเถอะ ข้าก็อยากคุยกับพระชายาเช่นกัน”
จากนั้นฉินเจิงก็พาฮว่าเทียนเซียงออกไป ฮองเฮาหันไปหาเยี่ยหลีและพูดว่า “ข้าเชื่อพระชายาและความจริงใจของตระกูลสวี วันนี้กลัวก็แต่จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แม้ว่าคุณชายสวีสามจะสารภาพความในใจกับรั่วหวาแล้ว แต่…” เยี่ยหลียิ้ม เอ่ย “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เราไม่สามารถบังคับได้อยู่แล้ว ต่อให้รั่วหวาจะไม่มีวาสนาต่อพี่สาม แต่ข้ารับประกันว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนาง องครักษลับในจวนติ้งอ๋องจะไม่ส่งต่อข่าวลือพวกนี้”
“ทำให้พระชายาเป็นกังวลแล้ว” ฮองเฮาเอ่ยขอโทษ
“ฮูหยินพูดอะไรอย่างนี้ พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า อีกคนก็เป็นเพื่อนรู้ใจ จะมาพูดว่าเป็นกังวลอะไรกัน” เยี่ยหลีพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ