ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 305-2 โน้มน้าวใจอาจารย์ซิ่วถิง
คนที่นั่งหันหลังให้ประตูชะงักไป ในตอนนั้นถึงได้หันมองมาทางประตู นัยน์ตาฉายแววตกใจแวบหนึ่ง “ติ้งอ๋อง พระชายาติ้งอ๋อง”
เยี่ยหลีเพิ่งได้เห็นรูปร่างหน้าตาของอาจารย์ซิ่วถิงชัดๆ ก็ได้ตอนนี้ ชายชราที่อายุย่างหกสิบปี ผมและหนวดเคราต่างหงอกขาว ลักษณะท่าทางดูภูมิฐาน ท่วงท่าสง่างามและมีความหยิ่งผยองอย่างปัญญาชน ดูไม่เหมือนคนซีหลิง แต่เหมือนปัญญาชนทางตอนใต้เสียมากกว่า
เยี่ยหลีดึงม่อซิวเหยาเดินเข้าไปในสวน พยักหน้าพลางยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ผู้น้อยเยี่ยหลีคารวะท่านอาจารย์ซิ่วถิง”
เฉินซิ่วฟูมองประเมินเยี่ยหลีขึ้นลง ส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่บังอาจให้พระชายาเป็นผู้น้อยของข้าได้หรอก” เยี่ยหลีก็ไม่โกรธเคือง ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ชื่อเสียงของท่านอาจารย์ซิ่วถิงโดดเด่น แม้กระทั่งท่านตาและท่านลุงก็ยังเลื่อมใส เรียกตนเองว่าผู้น้อย ย่อมเป็นสิ่งที่ควร” ได้ยินดังนั้น เฉินซิ่วฟูก็เริ่มประทับใจขึ้นมา “ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นกับท่านอาจารย์สวีหงอวี่น่ะหรือ” แม้เขาจะพำนักอยู่ในซีหลิงเป็นเวลานาน ทว่าก็พอได้ยินภูมิหลังของตระกูลพระชายาติ้งอ๋องมาบ้าง
เยี่ยหลียิ้มเอ่ย “ใช่เจ้าค่ะ”
เฉินซิ่วฟูเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาที่มองพวกเขาด้วยความแวดระวังราวกับมองศัตรู พลันอ่อนลงไปหลายส่วน เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ตอนที่ข้าอายุยังน้อย เคยท่องเที่ยวไปยังตงฉู่ และเคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นและได้พูดคุยกับท่านอาจารย์หงอวี่มาบ้าง แน่นอนว่า…” ก่อนจะค่อยๆ กวาดสายตาไปที่ร่างของม่อซิวเหยา “เคยเข้าไปคารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแห่งตงฉู่ด้วย คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาก็ผ่านมาสามสิบปี…ทายาทของม่อหลิวฟางและตระกูลสวีต่างได้ดิบได้ดีกันหมดแล้ว ที่น่าใจหายก็คือ ข้านั้นปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้ประสบความสำเร็จได้แม้แต่คนเดียว”
เยี่ยหลียิ้มก่อนจะเอ่ย “ท่านอาจารย์ซิ่วถิงล้อเล่นแล้ว ขุนนางพลเรือนในราชสำนักซีหลิงต้องมีจำนวนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์จะบอกว่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร” การที่สำนักหลงซานขึ้นมาเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งใต้หล้าได้ย่อมไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แม้ซีหลิงจะให้ความสำคัญกับศิลปะการต่อสู้จนละเลยวรรณกรรม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้กลุ่มแม่ทัพที่อ่านตัวอักษรออกเพียงไม่กี่ตัวมากุมบังเหียนของราชสำนัก ขุนนางกว่าครึ่งหนึ่งในราชสำนักซีหลิงมาจากสำนักหลงซานนั้นเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เฉินซิ่วฟูก่อตั้งสำนักหลงซานขึ้นมาด้วยมือของเขาเพียงผู้เดียว หากเทียบกับสำนักหลีซานและสำนักฉยงหวาอีกแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของต้าฉู่แล้ว บทเรียนเขียนอ่านของที่นี่ยังถือว่าน้อยกว่าอยู่เล็กน้อย จึงรั้งท้ายอยู่ในอันดับสาม แต่กระนั้นด้วยความพยายามของเฉินซิ่วฟูเพียงคนเดียว สามารถสร้างสำนักที่ประสบความสำเร็จได้ในแคว้นที่ให้ความสำคัญกับสายบู๊และเพิกเฉยต่อสายบุ๋นอย่างซีหลิงเช่นนี้ อาจารย์ชิงอวิ๋นก็เลื่อมใสในตัวเขาได้อย่างไม่ต้องหาเหตุผลแล้ว
ส่วนเรื่องที่สำนักหลงซานไม่มีศิษย์ที่โดดเด่นเลย อันที่จริงก็เข้าใจได้ เจิ้นหนานอ๋องได้รับบทเรียนจากสำนักหลีซานที่มีอิทธิพลไม่ว่าจะในพื้นที่ห่างไกลแค่ไหนของต้าฉู่ แล้วเขาจะยอมให้สำนักหลงซานก้าวซ้ำรอยเดิมเช่นนั้นได้อย่างไร ความแข็งแกร่งของเฉินซิ่วฟูอย่างไรก็ห่างไกลกับตระกูลสวีที่มีพื้นเพเป็นตระกูลบัณฑิตมาเป็นร้อยปีอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้พอมีลูกศิษย์ที่โดดเด่นขึ้นมาก็จะถูกเจิ้นหนานอ๋องดึงตัวหรือไม่ก็จัดการไปในทันที จนทำให้จนถึงทุกวันนี้สำนักหลงซานยังคงหาผู้สืบทอดที่สามารถสืบต่อสำนักอย่างสวีชิงเฉินไม่ได้ หากในอนาคตเฉินซิ่วฟูเสียชีวิตไป เกรงว่าสำนักหลงซานคงได้ตกไปอยู่ในมือของเจิ้นหนานอ๋องหรือไม่ก็ราชสำนักแห่งซีหลิงเป็นแน่น
สีหน้าของเฉินซิ่วฟูอ่อนลงเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยปากเชิญทั้งคู่เข้าไปนั่งด้านใน
เมื่อเข้าไปยังโถงดอกไม้รับแขก ทั้งแขกและเจ้าบ้านต่างนั่งลง ในยามนี้ย่อมไม่มีใครนำน้ำชามาให้อยู่แล้ว เยี่ยหลีไม่รู้สึกเสียเกียรติแต่อย่างใด สั่งให้คนไปเอาน้ำเข้ามาให้แล้วลงมือชงชาและยกให้เฉินซิ่วฟูและม่อซิวเหยาเองกับมือ ตั้งแต่เดินเข้ามาในสวน ม่อซิวเหยาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เห็นเยี่ยหลีที่กำลังรินชาอย่างไม่รีบร้อน นัยน์ตาพลันฉายแววอ่อนโยน ก่อนจะกวาดสายตาตักเตือนไปยังเฉินซิ่วฟู
เฉินซิ่วฟูกำลังยกชาดื่ม พอเห็นสายตาของม่อซิวเหยา ก็ส่งเสียงหึขึ้นมาเบาๆ โดยไม่นึกกลัวเขาสักนิด
“ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นอายุแปดสิบปีแล้วกระมัง ยังสบายดีอยู่หรือไม่” ดื่มชาไปครู่หนึ่ง เฉินซิ่วฟูถึงได้เอ่ยปากถาม
เยี่ยหลีเม้มปาก ก่อนจะยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ปีหน้าท่านตาก็จะอายุครบแปดสิบปีแล้ว ถึงตอนนั้นหวังว่าท่านอาจารย์ซิ่วถิงจะไปเยือนที่ซีเป่ยนะเจ้าคะ”
ชาในมือของเฉินซิ่วฟูชะงักไป ก่อนจะมองเยี่ยหลีอย่างสงบนิ่ง เขาเข้าใจความนัยของเยี่ยหลี น่าเสียดายที่ไม่อาจตอบตกลงได้ ก่อนจะส่ายหัวอย่างเสียดาย พลางเอ่ย “น่าเสียดาย เกรงว่าข้าคงไม่มีบุญที่จะได้อวยพรท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นแล้ว ทว่าช่วงที่ผ่านมาสำนักหลงซานของข้าได้รวบรวมหนังสือโบราณที่มีเพียงเล่มเดียวมาไม่น้อย รบกวนพระชายาช่วยนำเอาไปให้ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นที ถือว่าเป็นคำอวยพรของข้าก็แล้วกัน ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น...มีหลานอย่างพระชายา ถือเป็นบุญวาสนาในช่วงบั้นปลายไม่น้อย ข้าไม่ขอชมไปมากกว่านี้แล้วกัน”
เยี่ยหลีเม้มปากยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “ท่านตาเคยคิดเมื่อไรว่าผู้น้อยเป็นบุญวาสนา มีแต่ผู้น้อยที่หาเรื่องปวดหัวและเรื่องวุ่นวายมาให้ท่านไม่น้อยเสีย แต่ยังโชคดีที่ท่านตามีเมตตา ไม่รังเกียจความยุ่งยากจากผู้น้อยอย่างพวกเรา ท่านอาจารย์ซิ่วถิงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิตให้กับสำนักหลงซาน หรือว่าท่านอยากจะให้สำนักหลงซานหายไปเช่นนี้หรือ”
เฉินซิ่วฟูส่ายหน้ายิ้มพลางเอ่ย “ชะตาควรจะเป็นเช่นนี้ พวกเราฝืนไม่ได้หรอก”
เยี่ยหลีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ที่เรียกกันว่าชะตา ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกเองหรอกหรือ แม้ผู้น้อยจะเป็นหญิง ทว่าก็รู้จักประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า…ชะตาข้ากำหนดเอง หาใช่ฟ้าลิขิต! ยังมีอีกประโยคหนึ่งนั่นคือ นิสัยตัดสินโชคชะตา ทางเลือกตัดสินชีวิต ท่านอาจารย์ไม่ใช่ผู้อ่อนแอ การเลือกของท่านตัดสินอนาคตของสำนักหลงซาน ท่านอยากให้มันดำรงอยู่ มันก็จะยังคงอยู่ ท่านอยากให้มันจบสิ้น มันย่อมค่อยๆ สูญสิ้นไปตามตัวท่าน”
เฉินซิ่วฟูตัวสั่นเล็กน้อย จับจ้องเยี่ยหลีอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจพลางเอ่ย “ชะตาชีวิตข้ากำหนดเอง หาใช่ฟ้าลิขิตหรือ…ไหนจะนิสัยตัดสินชะตา ทางเลือกตัดสินชีวิตอีก…พระชายาติ้งอ๋องมีจิตใจเช่นนี้ ช่างเป็นบุญของติ้งอ๋องและท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นเหลือเกิน…”
“เช่นนั้น…การตัดสินใจของท่านอาจารย์ซิ่วถิงคือ” เยี่ยหลีถาม
เฉินซิ่วฟูหลุบสายตา เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะไม่สวามิภักดิ์ต่อตำหนักติ้งอ๋อง ติ้งอ๋องเป็นวีรบุรุษแห่งยุคก็จริง ทว่ามือเปื้อนเลือดสังหารประชาชนไปหลายหมื่นคน โหดร้ายเกินไป!” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เสียงของเฉินซิ่วฟูก็ดูไม่พอใจและแหบแห้งมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าการกระทำของม่อซิวเหยามีความสำคัญมาก ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ข้าก็สังหารไปแล้วนี่ เจ้าจะทำอะไรข้าได้
เยี่ยหลียกมือขึ้นดึงแขนเสื้อม่อซิวเหยา เขาจึงยั้งปากไว้ ก่อนจะก้มหน้าไปดื่มชาต่อ ตัวเขาเองก็เข้าใจดี หากให้เขาโน้มน้าวใจคนอย่างเฉินซิ่วฟูนั้นคงไร้ประโยชน์ การกระทำของเขาในเมืองเปี้ยน ต่อให้พูดจนมีดอกไม้ร่วงหล่นมาจากฟ้า เฉินซิ่วฟูก็ไม่มีวันเชื่อเขา หรือต่อให้เขาเอาดาบไปจ่อคอเฉินซิ่วฟู คนผู้นี้ก็อาจไม่ยอมจำนนก็เป็นได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่ทำให้เปลืองแรง ถ้าอาหลีโน้มน้าวใจคนผู้นี้ได้ ต่อไปเขาก็จะอยู่เคียงข้างอาหลี ซึ่งเป็นผลดีต่อตัวอาหลีเช่นกัน แม้ว่าม่อซิวเหยาจะทำตัวงุ่มง่ามออดอ้อนต่อหน้าเยี่ยหลีอยู่เสมอ แต่เรื่องที่เขาคิดในระยะยาวหลายๆ เรื่องก็คือเรื่องที่คุณชายชิงเฉินอาจจะตามไม่ทัน
หลังจากปรามม่อซิวเหยาเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีถึงได้หันมาเอ่ยกับเฉินซิ่วฟู “ผู้น้อยกำลังอยากขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ซิ่วถิงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี ท่านอาจารย์มีความรู้ความสามารถ วาจาคมคาย แต่จะมาใส่ร้ายป้ายสีชื่อเสียงอันดีงามขอสามีข้าไม่ได้นะเจ้าคะ”
เฉินซิ่วฟูอึ้งไปจากการที่ม่อซิวเหยาถูกเยี่ยหลีปรามอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่พอมาได้ยินเยี่ยหลีพูดเช่นนี้ก็ถือกับจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “พระชายาหมายความว่าอย่างไร ข้าไปใส่ร้ายติ้งอ๋องตอนไหน”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ พลางเอ่ย “เมื่อครู่ผู้น้อยได้ฟังอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน คำพูดทุกคำของท่านอาจารย์ซิ่วถิงต่างกำลังบอกว่าสามีของผู้น้อยฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ นั่นไม่ใช่การใส่ร้ายหรือ”