ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 329-2 พระชายาเห่อหลัน
เยี่ยหลีมองโต๊ะอันว่างเปล่าตรงหน้าตนอย่างจนปัญญา ก่อนจะหันไปหยิบเอกสารตรงหน้าม่อซิวเหยามาเล่มหนึ่ง ยิ้มพลางเอ่ย “พี่สี่ถ่อมตัวแล้ว สองสามเดือนมานี้ซีหลิงสงบสุขไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าพี่สี่ดูแลบ้านเมืองด้วยธรรมาภิบาล” สวีชิงปั๋วส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “เรียกว่าธรรมาภิบาลได้ที่ไหนกันเล่า เดือนก่อนยังมีเรื่องวุ่นวายไม่น้อยเลย ข้ากลับมาคราวนี้แม่ทัพจางยังต้องประจำการอยู่ หลังจากงานวันเกิดท่านปู่จบ ก็ต้องรีบกลับไป”
สวีหงอวี่เอ่ยเบาๆ “การดูแลบ้านเมืองนั้นไม่สามารถเห็นผลได้ในทันตา ไม่จำเป็นต้องใจร้อน”
สวีชิงปั๋วพยักหน้า “ขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ ลูกเข้าใจแล้ว” เขาใจร้อนจริงๆ เนื่องจากเขาอายุน้อยเกินไป ยังไม่ถึงยี่สิบห้าปีก็ได้เป็นขุนนางดูแลเมือง แน่นอนว่าต้องมีคนเบื้องล่างไม่เคารพเขา ทว่าเขาก็เข้าใจได้ เสมือนกับที่ท่านพ่อบอกไว้ การดูแลสถานที่แห่งหนึ่ง หากไม่ใช้เวลาสามปีห้าปีจะเห็นผลได้อย่างไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ อารมณ์ขมุกขมัวในตอนแรกก็พลันสงบนิ่งลง
เมื่อมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน การทำงานย่อมเร็วขึ้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เอกสารราชการบนโต๊ะก็จัดการเสร็จเรียบร้อย อันที่จริงของพวกนี้ เดิมทีไม่ต้องใช้คนจำนวนมากขนาดนี้ทำก็ได้ ในเวลาปกติม่อซิวเหยา สวีชิงเฉินหรือสวีหงอวี่ พร้อมกับขุนนางอีกคนหรือสองคนก็สามารถทำเสร็จได้แล้ว ทว่าช่วงเวลานี้กลับไม่อยากเชื่อว่า พวกเขาทุกคนต่างมีเรื่องมากมายต้องสะสาง ไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งดูเอกสารเหล่านี้เลย
เมื่อจัดการงานในมือเรียบร้อย ทุกคนต่างพากันโล่งใจ สองวันนี้ผู้มีอำนาจที่ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ของแต่ละแคว้นน่าจะมาถึงกันเกือบครบแล้ว หากไม่รีบใช้ช่วงเวลานี้สะสาง คงได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งไปจนถึงหลังงานเลี้ยงวันเกิด แต่หากการจัดงานเลี้ยงวันเกิดทำให้เรื่องต่างๆ มากมายล่าช้าไปย่อมไม่ดีแน่ หลังจากสะสางงานเสร็จเรียบร้อย จึงสั่งให้บ่าวนำชาและขนมมาให้ คนทั้งตระกูลถึงเพิ่งจะมีเวลาว่างพูดคุยกัน
“พี่รอง ท่านป้าใหญ่ อาจารย์เสิ่นแล้วก็อู๋โยวกลับมาหรือยังเจ้าคะ” เยี่ยหลียกอาหารบำรุงที่เตรียมไว้ให้นางโดยเฉพาะ เอ่ยถามพลางขมวดคิ้วได้รูป เมื่อปีที่แล้วตอนที่เสิ่นหยางไปซีหลิงก็พาอู๋โยวไปด้วย เพราะถึงอย่างไรนางก็ต้องเรียนวิชาการแพทย์กับเสิ่นหยาง จึงย่อมไม่อาจอุดอู้อยู่ในเมืองหลี เพราะต่อให้มีพรสวรรค์เพียงใด หากได้แต่อ่านหนังสือก็ไม่อาจมีพัฒนาการได้
แขนข้างที่ยกชาของสวีชิงปั๋วสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “กลับมาหมดแล้ว ท่านแม่เดินทางมาเหนื่อยๆ จึงกลับไปพักผ่อน อาจารย์เสิ่นเหมือนจะมีเรื่องต้องหารือกับหมอหลิน จึงพาอู๋โยวไปคุยกับหมอหลินแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เอียงหน้าไปมองสวีชิงเฉินที่อยู่ตรงข้าม รอยยิ้มของสวีชิงเฉินบางเบาทว่าสะอาดตา สูงส่งดั่งที่แล้วมา
ในทางกลับกัน เป็นสวีชิงปั๋วที่ปลี่ยนเรื่องราวกับไม่เป็นตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เขาถาม “ไฉนถึงไม่เห็นอารองเลยเล่า”
สวีชิงเฉินเอ่ย “อารองไปเป่ยหรงแล้ว ทว่าคราวนี้น่าจะกลับมาพร้อมทูตของเป่ยหรงกระมัง” สวีชิงปั๋วอยู่ไกลถึงซีหลิง จึงไม่ค่อยรู้เรื่องในเมืองหลีนัก เลยส่งสายตาสงสัยด้วยความใคร่รู้ สวีชิงเฉินจึงเล่าเหตุการณ์ในเมืองหลีให้ฟังคร่าวๆ ก่อนรอบหนึ่ง เมื่อฟังจบ สวีชิงป๋อก็ได้แต่ทอดถอนใจว่าเอาเข้าจริงการที่ตนอยู่ไกลถึงซีหลิงนั้นก็คือว่าสงบเรียบร้อยดีแล้ว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ หนึ่งปีที่รบมานี้ น่าจะสงบไปได้ช่วงหนึ่งใช่หรือไม่”
สวีชิงเฉินยิ้มบาง พลางเอ่ย “ใครจะรู้เล่า ทว่านอกจากทหารตระกูลม่อต้องคอยคุมเชิงกับเป่ยหรงแล้ว ที่อื่นก็น่าจะสงบเรียบร้อยได้ระยะหนึ่ง ท่านอ๋องมีแผนอะไรหรือไม่” หนึ่งปีมานี้ จากอัตราการชนะสงครามของกองทัพตระกูลม่อ แสดงให้เห็นถึงพละกำลังของพวกเขาแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นนี้ เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นยั่วยุกองทัพตระกูลม่ออีก ทว่ายังคงต้องระแวดระวังความเป็นไปได้ที่คนเหล่านี้จะร่วมมือกันมาต่อกรกับกองทัพตระกูลม่อ
ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “พักทำงานทำการอย่างอื่นก่อนสิ ข้าก็ไม่ได้รีบร้อนเสียหน่อย ขอแค่พวกเขาไม่อยากทำศึก ก็พักกันก่อนเถิด ประจวบเหมาะกับ…กองกำลังทหารของกองทัพตระกูลม่อเมื่อเทียบกับซีหลิงและเป่ยหรงแล้วยังถือว่าด้อยกว่า ถือโอกาสนี้ฝึกฝนทหารไปด้วยเลย” อย่างไรเสียเขาไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้ แล้วก็ไม่ได้อยากรีบร้อนแย่งอาณาเขต ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาแย่งบัลลังก์ด้วย ทว่าอาณาเขตที่เขากลืนกินมาแล้ว ใครก็อย่าคิดจะให้เขาคายออกมาเลย ดังนั้นอันที่จริงเมื่อเทียบกับผู้กุมอำนาจในแคว้นโดยรอบแล้ว ม่อซิวเหยาในตอนนี้เป็นผู้ที่สบายใจมากที่สุด อ๋องเป่ยหรงอายุมากแล้ว เยียหลี่ว์เหยี่ยและเยียหลี่ว์หงสองพี่น้องก็ต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาหลายสิบปี ไม่มีรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เหรินฉีหนิงแห่งเป่ยจิ้งที่ถึงจะดูเหมือนกุมอำนาจมหาศาลไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ช้าก็เร็วความขัดแย้งระหว่างคนเป่ยจิ้งและคนจงหยวนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะระเบิดออกมา เหลยเจิ้นถิงแห่งซีหลิงและฮ่องเต้แห่งซีหลิงเกือบจะฉีกหน้ากันซึ่งๆ หน้าอยู่แล้ว เหลยเจิ้นถิงที่เดิมทีได้เปรียบกว่ามา แต่ก็ด้วยเพราะการสังหารอันนองเลือดของม่อซิวเหยาทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ถูกลดทอนอำนาจลงมาจนเหลืออำนาจพอๆ กับฮอ่งเต้แห่งซีหลิง สุดท้ายแล้วผู้ใดจะได้ชัยชนะไป ก็ต้องมาดูว่าแผนการณ์ของใครจะเหนือกว่ากัน ส่วนม่อจิ่งหลีที่หนีไปเจียงหนานและองค์หญิงอันซีแห่งหนานจ้าว ยังคงไม่อยู่ในสายตาของม่อซิวเหยาชั่วคราว
“หากพวกเขาอยากรบเล่า” สวีชิงเฉินถาม
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “หากจะรบก็รบ ข้าต้องกลัวพวกเขาด้วยหรือ”
เมื่อสวีชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ นั่นสินะ หากจะรบ กองทัพตระกูลม่อเคยกลัวใครเสียเมื่อไรกัน
“เรียนท่านอ๋อง พระชายา เป่ยจิ้งอ๋องมาถึงแล้ว” ด้านนอกประตู ฉินเฟิงเข้ามารายงาน
“หืม” ม่อซิวเหยาชะงักไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ไกล หรือต่อให้สนิทกันเพียงไหน อย่างไรคนที่มาถึงก่อนเป็นคนแรกก็ไม่ควรเป็นเหรินฉีหนิง เดิมทีแม้แต่เขาเองก็คิดว่าคนที่จะมาถึงเป็นคนแรกหากไม่ใช่เหลยเจิ้นถิงก็ต้องเป็นคนของฮ่องเต้แห่งซีหลิง ทว่าหลังจากชะงักไปชั่วครู่ ม่อซิวเหยาก็ดึงเยี่ยหลีให้ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ว่าหลักธรรมนองคลองธรรมจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็เป็นผู้ปกครองแห่งแคว้นคนหนึ่ง อาหลีไปต้อนรับพร้อมกับข้าเถิด” ถึงจะเมื่อมาเนื่องในโอกาสอวยพรวันเกิด แต่คนเหล่านี้ย่อมไม่ได้มาตำหนักติ้งอ๋องเพื่อคารวะอาจารย์ชิงอวิ๋นอย่างแน่นอน ในฐานะประมุขแห่งตำหนักติ้งอ๋อง หากเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไม่ออกไปต้อนรับ ก็ดูจะเสียมารยาทไปสักหน่อย
เยี่ยหลียิ้มบางๆ มองม่อซิวเหยา ก่อนจะเอ่ย “ข้ากับพี่ใหญ่ไปดีกว่า เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่า หากเป่ยจิ้งอ๋องเห็นหน้าเจ้าแล้วจะไม่อยากชักดาบขึ้นมา” สังหารภรรยาและลูกของเขาทั้งตระกูลแล้ว ยังจะมีหน้าไปพบเขาอีก ถือว่าใจอำมหิตเกินไป เยี่ยหลีเองยังจินตนาการได้เลยว่าหากม่อซิวเหยาไปต้อนรับเหรินฉีหนิงด้วยตัวเอง เหรินฉีหนิงจะมีสีหน้าเช่นไร ม่อซิวเหยายิ้มอย่างไม่แยแส ก่อนจะเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขามาแล้ว แสดงว่าเขาต้องทนได้ อีกอย่างหากเขาจะชักดาบออกมาจริงๆ ข้าต้องกลัวด้วยหรือ แม้การฆ่าเป่ยจิ้งอ๋องจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก ทว่าหากเขาลงมือก่อน ข้าก็ไม่อยากขัดขวางอะไร”
เยี่ยหลีเถียงเขาไม่ได้ ได้แต่ถูกเขาที่กำลังคึกคัก ดึงตัวออกไปต้อนรับเหรินฉีหนิง ถูกต้อง คึกคักนั่นแหละ แม้แต่คนรอบข้ายังสัมผัสได้ว่าติ้งอ๋องกระตือรือร้นต่อการต้อนรับเป่ยจิ้งอ๋องผู้นี้อย่างเห็นได้ชัด
ณ ประตูใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋อง องครักษ์ชุดดำสองแถวยืนอยู่ข้างนอกประตู เฝ้าประตูของตำหนักติ้งอ๋องอย่างเคร่งขรึมและยังคงเมินเฉยกับภาพตรงหน้าราวกับมองไม่เห็น ทำให้ผู้มาเยือนกัดฟันกรอด เหรินฉีหนิงที่เพิ่งมาถึงสวมชุดราชวงศ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเป่ยจิ้ง เขาจ้องมองชายรูปงามผมขาวอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว แม้เหรินฉีหนิงจะมีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์อย่างคนจงหยวน ทว่ายามที่เขาสวมเครื่องแต่งกายของเป่ยจิ้งที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อน ก็ไม่ได้ดูแปลกตาอะไร ตรงกันข้ามกลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญที่ไม่มีในชุดของชาวจงหยวนอีกด้วย