ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 55-3
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 55-3 สตรีในตำหนักติ้งอ๋อง
เมื่อส่งทั้งสองคนกลับไปแล้ว เยี่ยหลีหันไปพูดกับซุนหมัวมัวว่า “ซุนหมัวมัว เบี้ยหวัดของพ่อบ้านหวังกับจางหมัวมัวเดือนนี้ให้เพิ่มคนละสิบตำลึง เอาจากส่วนของข้าไปได้เลย”
ซุนหมัวมัวรับคำ ก่อนหันมองเยี่ยหลี “อันที่จริงพระชายาไม่ต้องสนใจไท่เฟยรองกับคุณหนูก็ได้นะเพคะ ตำหนักอ๋องของเราไม่เคยดูแลนางไม่ดีอยู่แล้ว สมบัติที่ตระกูลหยางทิ้งไว้ให้คุณหนู พวกเราไม่เคยไปแตะต้องเลยแม้นิดเดียว”
เยี่ยหลีพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “เจ้าดูสิว่าวันนี้นางแต่งตัวเช่นไร หากใครมาเห็นเข้าจะให้คิดว่าอย่างไร”
ซุนหมัวมัวเบ้ปาก “พระชายาอาจจะไม่ทราบ คุณหนูคนนี้แปลกน้อยเสียเมื่อไร ได้ยินว่านางชอบสีขาวเป็นที่สุด เดิมทีพวกชุดทั้งสี่ฤดูที่พวกเราส่งไปล้วนเป็นสีสันที่เด็กสาวต่างชื่นชอบ แต่นางกลับบอกว่าโบราณ ยอมใส่แต่ชุดสีขาว หากชุดที่ส่งไปไม่มีสีขาว นางกลับยอมใส่ชุดเก่าของปีที่แล้วแทน ทำให้ต้องเสียเสื้อผ้าไปโดยเปล่าประโยชน์ คนดูแลไม่รู้จะทำเช่นไร ทำได้เพียงพยายามหาชุดสีขาวส่งไปให้นาง งานแต่งงานของท่านอ๋องและพระชายาคราวนี้ จางหมัวมัวได้สั่งเป็นพิเศษให้ทำชุดสีชมพูอ่อนกับชุดสีม่วงอ่อนส่งไปให้ ใครจะคิดว่า…”
โบราณหรือ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เพราะเหตุนั้นหรอก เยี่ยหลีนึกไปถึงใครอีกคนที่ชอบใส่ชุดสีอ่อน
“อีกหน่อยเกรงว่าแขกของตำหนักคงจะมีไม่น้อย จะให้นางแต่งตัวเช่นนั้นออกมาเจอผู้คนไม่ได้”
เมื่อก่อนตำหนักติ้งอ๋องไม่ค่อยมีแขกไปใครมา แต่ตอนนี้ม่อซิวเหยาแต่งงานและยอมออกมาให้แขกได้พบหน้าแล้ว จะกลับไปปิดประตูไม่ต้อนรับแขกอีกก็คงจะไม่ได้
“เดี๋ยวไว้ข้าจะลองถามท่านอ๋องดู ว่าเขาจะให้เปลี่ยนเสื้อสีอ่อนทั้งหมดทิ้งเลยหรือไม่” คิดไปคิดมาแล้ว เยี่ยหลีจึงยิ้มน้อยๆ ซุนหมัวมัวอึ้งไป แต่ก็สามารถเรียกสติกลับมาได้โดยทันที “ความหมายของพระชายาคืออันใดหรือเพคะ”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอันใดทั้งนั้น เพียงแค่ข้าไม่ค่อยชอบชุดสีขาวสักเท่าไร” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ
“พระชายา ท่านอ๋องขอเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ข้างกายม่อซิวเหยาไม่มีสาวใช้คอยรับใช้ ดังนั้นคนที่มาแจ้งข่าวจึงเป็นองครักษ์ข้างกายของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยถาม “ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ที่ใด”
“ท่านอ๋องรอพระชายาอยู่ที่ศาลากลางน้ำพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถิด”
ตำหนักติ้งอ๋องถือเป็นตำหนักที่กว้างใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกี่ยวพันกับสถานะของตำหนักติ้งอ๋องในต้าฉู่ ติ้งอ๋องทุกรุ่นก็คอยปรับปรุงตำหนักมาเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีการขยายพื้นที่ แต่เรื่องทัศนียภาพถือได้ว่าสวยงามเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง มุมทางทิศตะวันตกของตำหนักเป็นทะเลสาบที่กินพื้นที่หนึ่งในหกส่วนของตำหนัก และมีการสร้างทางเดินไม้คดเคี้ยวไปมาจนถึงกลางทะเลสาบซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลางน้ำขนาดใหญ่จนสามารถแบ่งได้ถึงสามห้อง ในทะเลสาบเต็มไปด้วยใบบัวสีเขียว เมื่อสะท้อนน้ำทำให้น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวมรกตใส เพียงเดินเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบาย น่าจะเป็นที่หลบร้อนในฤดูร้อนได้ดี
เยี่ยหลีโบกมือให้สาวใช้หยุดรอ ส่วนตนก้าวไปทางเดินเหนือของทะเลสาบไปยังศาลากลางน้ำ นางเดินเข้าไปก็เห็นม่อซิวเหยากำลังนั่งใจลอยอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดกว้าง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านาง ม่อซิวเหยาจึงเรียกสติกลับมาแล้วหันมายิ้มให้นาง “อาหลี”
เยี่ยหลีเดินเข้าไปข้างใน “กำลังคิดอันใดอยู่หรือ”
ม่อซิวเหยายิ้มแล้วส่ายหน้า “สองวันนี้ยุ่งแต่กับเรื่องน่าเบื่อๆ จนไม่มีเวลาถามเลยว่า เจ้าพอคุ้นชินกับที่นี่หรือยัง”
เยี่ยหลียักไหล่ ก่อนหาที่นั่งตรงข้ามเขาแล้วนั่งลง
“ความสามารถในการปรับตัวของข้าดีมากมาโดยตลอด คนในตำหนักก็ล้วนเป็นคนดี ข้าเริ่มคุ้นชินกับที่นี่แล้ว”
เมื่อเห็นม่อซิวเหยามองนางแปลกๆ เยี่ยหลีจึงกะพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มให้เขา “คงไม่ใช่ว่าท่านยังไม่ชินหรอกกระมัง” ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะพยักหน้าขึ้นมาจริงๆ เขาหัวเราะเสียงเบา “ข้ายังไม่ค่อยชินจริงๆ เสียด้วย ดูเหมือน…หลายปีมาแล้วที่ข้ารู้สึกว่าในตำหนักนี้มีข้าอยู่เพียงคนเดียว”
“อืม…ต้องการให้ข้าหลบไปหรือไม่” เยี่ยหลีรู้สึกผิดเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าการมีอยู่ของนางจะสร้างความลำบากใจให้ม่อซิวเหยาเสียได้ ม่อซิวเหยาเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่หุบลง เขาส่ายหน้า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อาหลี ข้าคิดว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากันเสียอีก”
“ถ้าเช่นนั้น…”
“ข้าคิดว่าพวกเราต้องมีปฏิสัมพันธ์กันมากกว่านี้” ม่อซิวเหยาเอ่ย
เยี่ยหลีจึงได้เข้าใจ กับคนบางคนเมื่อเจอกับเรื่องที่ตนไม่คุ้นชินก็จะหลบหนี แต่กับบางคนกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความลำบากแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าม่อซิวเหยาเป็นคนอย่างหลัง คู่แต่งงานอย่างพวกเขาที่ก่อนหน้าแต่งงานไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน หลังแต่งงานย่อมต้องสร้างความรู้สึกต่อกันใหม่ “ท่านมีความเห็นอันใดดีๆ หรือ”
“หากเจ้ามีเวลาว่างสามารถมาพูดคุยกับข้าหรืออ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้าได้ หรือหากเจ้าไม่รู้สึกขายหน้า ข้าก็สามารถออกไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนเจ้าได้” ม่อซิวเหยาตอบ
ออกไปข้างนอกหรือ เยี่ยหลีใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย นางลืมไปเลยว่าหลังแต่งงานแล้วจะมีผลพลอยได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือออกไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่าแต่ก่อน
“ไม่มีปัญหา” เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของม่อซิวเหยา
เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย ก็ทำให้ม่อซิวเหยาอึ้งไป มุมปากยกขึ้น ดูมีแววรื่นรมย์อยู่น้อยๆ “เมื่อวานข้าบอกว่าจะวาดภาพเหมือนให้อาหลี อาหลีมาดูสิว่าภาพนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลีเดินเข้าไปด้วยความประหลาดใจ “วาดเสร็จเร็วเช่นนี้เชียวหรือ”
บนโต๊ะด้านหน้าม่อซิวเหยามีม้วนภาพม้วนหนึ่งกางเปิดอยู่ ในภาพมีหญิงสาวในชุดแดงคนหนึ่งกำลังยืนถือดาบ เยี่ยหลีมองออกทันที การแต่งตัวและเครื่องประดับศีรษะนั้นเป็นชุดที่นางใส่ในวันแต่งงาน เพียงแต่ชุดสีแดงนั้นไม่ใช่ชุดผ้าไหมเฟิ่งหวางปักลายดอกโบตั๋นอันหรูหรากรุยกรายอย่างที่นางใส่จริงในวันแต่งงาน แต่เป็นชุดพลิ้วไหวสีแดงปักลายเมฆสีทอง ช่วงเอวคาดไว้ด้วยผ้าสีทอง ดอกโบตั๋นตรงหว่างคิ้วเปลี่ยนเป็นรูปลูกไฟสีแดงสด ในมือหญิงสาวถือกระบี่ร่ายรำ ใบหน้าเปล่งประกายสง่างาม และดูมีความทระนงและดุดันเพิ่มเข้ามา
“นี่คือข้าหรือ” เยี่ยหลีจ้องมองหญิงสาวในภาพด้วยความตกตะลึงแล้วเอ่ยถามเสียงเบา หญิงสาวในภาพมีใบหน้าที่นางคุ้นเคย ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า แต่ในความรู้สึกแปลกหน้านั้นกลับเป็นเหมือนความรู้สึกที่นางคุ้นเคยอยู่จริง ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่าหญิงสาวในภาพนั้นงดงามยิ่งนัก งดงามกว่าปกติที่นางมองตนเองในกระจกอยู่เป็นร้อยเท่า
ม่อซิวเหยายิ้ม “เล่าขานหญิงงามเคยร่ายรำ กระบี่เดียวสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า อาหลีมีบุคลิกเหมือนท่านหญิงชิงอวิ๋นในสมัยนั้น”
“ข้าไม่…” อาหลีส่ายหน้า นางไม่เคยรำกระบี่ให้ใครเห็น พูดให้ถูกคือนางรำกระบี่ไม่เป็น เยี่ยหลีมองกระบี่หลั่นอวิ๋นที่ส่องประกายอยู่ในมือหญิงสาวในภาพอย่างใจลอย
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “ข้าเห็นว่านี่ถึงจะเป็นอาหลี”
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไป แต่สายตาไม่อาจละไปจากหญิงสาวในภาพได้เลย จริงๆ แล้ว นางเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้บนอีกใบหน้าหนึ่งที่นางคุ้นเคย ถือปืนบ้าระห่ำอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนและสายลมฝนแห่งเลือด ห้ำหั่นเข้าฆ่าฟันศัตรู ซึ่งนั่นเป็นชีวิตที่แตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตั้งแต่นางยอมรับความจริงในปัจจุบันได้ นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตนเองเป็นไปตามสิ่งที่หญิงสาวในยุคนี้ควรจะเป็น และคิดว่าตนเองค่อยๆ ลืมหญิงสาวที่สามารถยิ้มได้ท่ามกลางกองโคลนและหยาดเหงื่อ แต่หาก…นางลืมได้แล้วจริงๆ หากนางยอมรับได้แล้วจริงๆ ตอนนี้นางจะมีความสามารถที่แอบซ่อนไว้ได้อย่างไร
“วันนั้นที่อาหลีจับกระบี่หลั่นอวิ๋น…ข้าคิดว่าอาหลีงดงามกว่าทุกครั้งที่ข้าพบเห็น” ม่อซิวเหยาพูดประหนึ่งทอดถอนใจ มีภาพเยี่ยหลีในวันที่ดึงกระบี่หลั่นอวิ๋นลอยคว้างอยู่ในดวงตา ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่นั้นเป็นลักษณะเยือกเย็นที่หาไม่ได้ในหญิงสาวผู้ใด รวมถึงท่าทีโบกมือสะบัดกระบี่อย่างเป็นธรรมชาตินั่นด้วย ในตอนนั้นม่อซิวเหยารู้สึกประหนึ่งว่าตนได้เห็นนายทหารชั้นเอกที่อยู่ในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น
“ท่าน…ภาพนี้ท่านให้ข้าใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ม่อซิวเหยายิ้ม “สิ่งนี้ข้าย่อมให้เจ้า” ตั้งแต่เมื่อวานที่เอ่ยเรื่องภาพวาดขึ้นมาโดยบังเอิญ ม่อซิวเหยารู้ดีว่าอันที่จริงเยี่ยหลีนึกว่าตนเพียงพูดเล่นเท่านั้น แต่ในหัวของเขากลับมีแต่ภาพของเยี่ยหลีที่งดงามน่าดึงดูดในวันแต่งงานและภาพวันที่นางชักกระบี่ในจวนเยี่ยลอยขึ้นมา ดังนั้นถึงแม้สองวันนี้ในตำหนักจะมีเรื่องยุ่งยากอยู่ไม่น้อย แต่เขายังใช้เวลายามค่ำคืนวาดภาพนี้ออกมา “เพียงแต่ ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อเลย อาหลีเห็นว่าควรจะตั้งชื่อใดดี”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล “ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรไม่ได้เอาออกไปให้ใครชื่นชมอยู่แล้ว” นางชอบภาพวาดภาพนี้มาก หากตั้งชื่อภาพแล้วทำให้มันดูแย่ลงจะทำอย่างไร
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว จากนั้นจึงค่อยพยักหน้า “เอาเถิด ไม่ต้องตั้งชื่อก็ได้ แต่อย่างไรก็ยังต้องลงชื่อ” เขาหยิบพู่กันขึ้นจากแท่นแขวนพู่กันบนโต๊ะ ก่อนเอ่ยปากสั่งว่า “ช่วยข้าฝนหมึกที”
เยี่ยหลีอยากเห็นตัวอักษรของม่อซิวเหยา จากฝีมือที่ได้เห็นในภาพนี้ เรื่องที่ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาเคยบอกว่าตนวาดภาพได้ดีไม่แพ้หานหมิงเย่ว์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาอวดอ้างเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนตัวหนังสือออกมาเป็นอย่างไร
ม่อซิวเหยามองนางยิ้มๆ “การเขียนตัวอักษรของอาหลีมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ข้าอาจทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว”
เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขาที่กำลังนำพู่กันไปจุ่มหมึก ก่อนเขียนอักษรลงที่มุมหนึ่งของภาพว่า “ติ้งอ๋องซิวเหยาให้อาหลีผู้เป็นภรรยา” ตัวอักษรของม่อซิเหยามีทั้งความหนักแน่นและสง่างาม แต่มองดูแล้วไม่ทำให้รู้สึกถึงความโอ้อวด
เยี่ยหลีพอใจเป็นอย่างมาก นางหยิบภาพขึ้นอย่างระมัดระวัง ปล่อยให้ลมพัดจนแห้งก่อนนำกลับมาวางที่เดิม เมื่อกวาดตาไปเห็นตัวอักษรที่เขียนว่าให้อาหลีผู้เป็นภรรยาแล้ว ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา ก็เห็นเขากำลังมองมาที่นางอยู่พอดี หากนางหลบตาตอนนี้จะแสดงให้เห็นว่านางกลัวชัดเจนเกินไปหรือเปล่า เยี่ยหลีจึงเบิกตาให้โตขึ้นแล้วจ้องตอบเขา ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ ก่อนเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน
บรรยากาศตอนนี้แปลกเสียจนเยี่ยหลีคิดอยากที่จะหลบไปจากตรงนี้ แต่ภาพที่อยู่บนโต๊ะทำให้นางไม่อยากจากไปไหน หากไปเสียดื้อๆ เช่นนี้ก็แสดงว่านางเป็นฝ่ายยอมแพ้อย่างนั้นสิ นางเพิ่งตอบตกลงว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขาให้มากขึ้นไปไม่นานนี้เอง ภายในหัวนางคิดวนเวียนไปมา ก่อนเยี่ยหลีจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
“จริงสิ เมื่อครู่ข้ามีเรื่องที่อยากปรึกษาท่าน ท่านเปลี่ยนชุดสีขาวทั้งหมดได้หรือไม่” เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เยี่ยหลีจึงถามต่อว่า “หรือว่าท่านชอบสีขาวเป็นพิเศษ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ชอบสีไหนเป็นพิเศษ เพียงแต่ใช้จนชินแล้วเท่านั้น ว่าแต่…เหตุใดเจ้าจึงคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหรือ” เท่าที่เขารู้จักเยี่ยหลี นางไม่ใช่คนที่จะเข้ามายุ่มย่ามว่าเขาจะใส่เสื้อผ้าสีอะไร
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ก่อนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนเมื่อสักครู่ ม่อซิวเหยามองนางโดยไม่พูดอันใด “ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าเป็นเพราะข้าใส่สีขาว นางจึงไม่ใส่ชุดสีอื่นนอกจากสีขาวหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าคิดเช่นนั้น”
“แต่ข้าก็ไม่ได้ใส่แต่สีขาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่” ถึงแม้ชุดของเขาจะเป็นสีอ่อนเสียมาก แต่ไม่ถึงขนาดว่าไม่มีสีอื่นเลย
“แต่ก็ชัดเจนมาก ทุกครั้งที่ท่านปรากฏตัวต่อหน้านางก็มักอยู่ในชุดสีขาวเสมอ” เยี่ยหลียักไหล่อย่างเกียจคร้าน
ม่อซิวเหยาจ้องนางอยู่นาน ก่อนหัวเราะขึ้นเสียงเบา “หึหึ…อาหลี นี่เจ้ากำลังหึงหรือ”
หึงหรือ!
เยี่ยหลีหน้าบึ้งขึ้นมาทันควัน ดีดตัวลุกขึ้นก่อนเอ่ยเสียงปกติว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้หึง!” พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินออกไป โดยไม่สนใจแม้แต่ภาพวาด
“ท่านอ๋อง”
ผ่านไปเพียงครู่ อาจิ่นก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูมองมาที่ม่อซิวเหยา ซุนหมัวมัวพูดถูก ท่านอ๋องไม่ค่อยรู้ว่าจะปฏิบัติต่อพระชายาอย่างไร นี่เพียงไม่นานก็ทำให้พระชายาโกรธจนหนีไปเสียแล้ว
ม่อซิวหยายิ้มน้อยๆ “อีกประเดี๋ยวนำภาพนี้ไปส่งให้พระชายาด้วย”