ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 82-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 82-1 คุณชายชิงเฉินหายตัวไป
เยี่ยหลีมิได้เข้าไปยุ่มย่ามว่าบัณฑิตขี้โรคจะทรมานนายท่านเหลียงจนมีสภาพเป็นเช่นไร ยามที่นางเห็นบัณฑิตขี้โรคทรมานนายท่านเหลียงจนเกือบสิ้นลมหายใจตายอยู่ด้านหลังนั่น นางเอ่ยขัดขึ้นเพียงประโยคเดียวว่า ‘ระวังอย่าให้ถึงตายล่ะ’
บัณฑิตขี้โรคพื้นเพมิใช่คนมีจิตใจดีอะไร นายท่านเหลียงผู้นี้ก็มิใช่คนดีเช่นกัน เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูด บัณฑิตขี้โรคจึงส่งเสียงเหอะด้วยความดูแคลนทีหนึ่ง แต่มิได้พูดอันใด หากเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดตาย คนผู้นั้นต่อให้อยากตายก็จะไม่ได้ตายเป็นอันขาด เพียงแต่เมื่อเยี่ยหลีเห็นสีหน้าบึ้งตึงของบัณฑิตขี้โรคแล้ว ในใจนางรู้ดีว่าเขาคงยังมิได้คำตอบในสิ่งที่เขาต้องการจากปากของนายท่านเหลียงเป็นแน่ เพราะอันที่จริงหากปากของตาเฒ่านั่นเปิดได้ง่ายเพียงนั้นเขาคงมิต้องเดินทางมาถึงหนานเจียงด้วยเช่นนี้
แต่บัณฑิตขี้โรคก็ไม่ถึงกับมิได้อันใดเลย อย่างน้อยๆ เขาก็รอจนได้ของชิ้นนั้นที่สมบูรณ์ เยี่ยหลีมองจากไกลๆ เห็นเป็นหยกก้อนหนึ่งที่สลักเป็นลวดลายดอกไม้หน้าตาประหลาด ด้วยเพราะบัณฑิตขี้โรคไม่คิดที่จะแบ่งปันเรื่องนี้กับนาง เยี่ยหลีจึงมิได้ไปถามให้มากเรื่อง
คณะของพวกเขาหลบซ่อนจาดคนของหลัวอีปู้ที่ส่งมาสะกดรอยตามไปได้ ทั้งหมดขี่ม้าห้อไปยังเมืองหลวงของหนานจ้าวทันทีโดยไม่หยุดพัก
ตำหนักติ้งอ๋อง เมืองหลวงแห่งต้าฉู่
“ท่านอ๋อง พระชายาส่งจดหมายมาแล้วขอรับ” นี่ก็เข้าปลายเดือนสี่แล้ว แสงพระอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องลงมาในสวนดอกไม้ เมื่อเปิดหน้าต่างออกไป จะเห็นดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามอยู่ ม่อซิวเหยามองออกไปยังสวนดอกไม้นอกหน้าต่าง ดูเหมือนเขาจะได้รู้จักกับเยี่ยหลีในช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วพอดี ในตอนนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่า การพระราชทานงานสมรสของม่อจิ่งฉีที่เต็มไปด้วยเจตนาร้ายและหมายที่จะสร้างความอับอายให้เขา จะทำให้เขาได้ภรรยาที่ไม่เหมือนใครผู้นี้มา
ยามนี้ในเมืองหลวง คนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้กับคนที่จงรักภักดีต่อหลีอ๋องนั้นกลายเป็นประหนึ่งน้ำกับไฟ ส่วนตำหนักติ้งอ๋องยังคงปิดประตูแน่นหนาไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ด้วยเพราะพระชายาหายตัวไป และใช้ความนิ่งเฉยในการแสดงความไม่พอใจที่มีต่อองค์ฮ่องเต้ ตำหนักหลีอ๋องไม่สนใจการต่อสู้ทั้งในที่ลับและในที่แจ้งระหว่างฮ่องเต้และหลีอ๋องอีก ไม่เหมือนเช่นในอดีตที่มักให้ความช่วยเหลือฮ่องเต้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมตลอดมา
“เอาเข้ามา” ม่อซิวเหยาเลื่อนสายตากลับเข้ามา แล้วกันไปพูดกับหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ยืนอยู่หน้าประตู
เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือม้วนกระดาษหนาๆ ที่ปิดผนึกอยู่ม้วนหนึ่ง เขาหัวเราะหึหึมองม่อซิวเหยา “จะว่าไปนะอาเหยา พระชายา พี่สะใภ้ของเรานี่ช่างใจแข็งเสียจริง ออกเดินทางไปได้เกือบสองเดือนแล้วถึงได้คิดเขียนจดหมายกลับมา”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น ก่อนม้วนกระดาษในมือม่อซิวเหยาจะถูกแรงลมจากกำลังภายในดูดออกไป “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด”
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “หากร่องรอยของพระชายาหาได้ง่ายเพียงนั้น ตอนนี้คงไม่ยังไม่พบแม้แต่เงาหรอก คนที่ได้รับจดหมายคือองครักษ์ลับที่อยู่บริเวณชายขอบของชนเผ่าหลัวอีปู้ที่อยู่ทางหนานเจียง แต่องครักษ์ลับพวกนั้นต่างไม่เห็นตัวคนที่มาส่งจดหมาย ตลอดทางมานี้ไม่ว่าจะเป็นคนของเราหรือคนอื่นๆ ต่างมิมีผู้ใดพบร่องรอยของพระชายาเลย จะว่าไป…พวกเขาเดินทางกันห้าคนน่าจะหาไม่ยากถึงจะถูก องครักษ์ลับที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ก็ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นหน้าพวกเขา จะดูออกคงยาก” อีกอย่างพวกเขารู้จุดที่ส่วนใหญ่ที่จะส่งองครักษ์ลับไปดี คิดที่จะหลบซ่อนคงเป็นเรื่องง่ายพอดู
ม่อซิวเหยาคลี่ม้วนกระดาษออกก็มีของที่แวววาวเป็นประกายกลิ้งออกมา กับจดหมายที่ปิดผนึกอยู่อีกฉบับหนึ่ง ม่อซิวเหยาหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาถือในมือ เป็นเครื่องประดับทองประดับอัญมณีฉลุลายดอกขุย[i]ที่ปราณีตงดงามมาก
เฟิ่งจือเหยาตะลึงไป “พระชายาถึงขั้นส่งเครื่องประดับให้ท่านเชียวหรือ” เพียงแต่…มีอะไรเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ม่อซิวเหยามองสำรวจเครื่องประดับทองในมือ ก่อนวางลงที่โต๊ะด้านข้าง จากนั้นจึงได้คลี่จดหมายออกก้มหน้าลงอ่าน คิ้วคมค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน พักใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “ตามใครที่เชี่ยวชาญตัวอักษรของหนานเจียงมาที”
เฟิ่งจือเหยามองเขาด้วยสายตาประหลาด “ท่านมิได้อ่านตัวอักษรของหนานเจียงออกหรือ”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “สิ่งนี้ไม่เหมือนกัน น่าจะเป็นตัวอักษรโบราณของหนานเจียง
เฟิ่งจือเหยารับมาอ่านดู ตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ หน้าตาประหลาดที่เขียนอยู่บนกระดาษทำให้เขาปวดหัวขึ้นทันที “มีส่วนคล้ายภาษาหนานเจียง แต่ดูเหมือน…จะอ่านไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดพระชายาถึงเข้าใจตัวอักษรหน้าตาประหลาดเช่นนี้ได้”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงก่อนจดหมายอีกฉบับที่ดูกระชับสั้นได้ใจความ “นางมิได้อ่านออก นางจดจำลักษณะของตัวอักษรพวกนี้แล้วคัดลอกออกมาจากความจำต่างหาก”
เฟิ่งจือเหยาไม่เชื่อ “ตัวอักษรหน้าตาบิดๆ เบี้ยวๆ พวกนี้ อ่านก็ไม่ออกอาศัยแค่การใช้ความจำจดออกมาอย่างนั้นหรือ”
ม่อซิวเหยาปรายตามองเขาเรียบๆ เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นลูบจมูก “เอาเถิด คนของเราที่รู้จักตัวอักษรปัจจุบันของหนานเจียงนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่หากเป็นตัวอักษรโบราณแล้ว…นั่นน่าจะเป็นตัวอักษรที่คนหนานเจียงไม่ได้ใช้กันมากว่าสองร้อยปีได้แล้วกระมัง”
ถึงแม้สมัยนั้นหนานเจียงจะขึ้นกับราชสำนักของจงหยวน แต่มีชนเผ่าของตนเองอยู่มาก ตัวอักษรและภาษาก็ต่างใช้ไม่เหมือนกัน จนเมื่อหนานจ้าวสถาปนาแคว้นขึ้นจึงได้รวมการใช้อักษรให้เหลือเพียงอักษรหนานเจียงเพียงภาษาเดียว ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษนี้ผู้ใดเลยจะรู้ว่าเป็นตัวอักษรของชนเผ่าใดของหนานเจียง
“หากในเมืองหลวง เกรงว่าอาจต้องลองถามใต้เท้าอาวุโสซูดู ไม่แน่ว่าอาจดูออกว่าเป็นของเล่นอันใดกันแน่ เพียงแต่…” ถึงแม้ใต้เท้าอาวุโสซูจะเป็นคนที่มีศีลธรรมสูงส่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางของราชสำนัก หากเกิดเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา เกรงว่าอย่างไรเขาคงต้องรายงานต่อฝ่าบาทเป็นแน่
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้า “ใต้เท้าซูมีอคติต่อหนานเจียงมาโดตลอด และไม่เชี่ยวชาญเรื่องอักษรของหนานเจียงด้วย”
เฟิ่งจือเหยาแววตาเปลี่ยนไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไป…อาเหยา ท่านลืมคนที่สำคัญมากๆ คนหนึ่งไปหรือเปล่า”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองจ้องเขานิ่งๆ เป็นการเตือนว่าอย่าได้คิดสร้างเรื่อง
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะหึหึ “อย่าลืมนะ…พระชายาของพวกเรามีเชื้อสายตระกูลใด ทั่วทั้งต้าฉู่นี้ยังมีตระกูลใดที่มีความรู้กว้างขวางกว่าตระกูลสวีอีกหรือ หากคนตระกูลสวียังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออันใด เช่นนั้นพวกเราก็คงไม่มีหวังแล้ว”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วก้มหน้าลงมองจดหมายถึงคนทางบ้านสั้นๆ ที่เขียนอย่างกระชับได้ใจความ แล้วจึงหยิบเครื่องประดับทองที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมองมองโดยละเอียด “เจ้าคิดว่าของสิ่งนี้เหมือนเครื่องประดับหรือไม่”
เฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจ “หรือว่ามิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาเอามือลูบด้านหลังเครื่องประดับที่มีรอยขูดขีดอยู่อย่างชัดเจน “น่าจะเป็นของที่ประดับของบางอย่างที่โดนงัดแงะออกมาเสียมากกว่า อีกอย่าง…เจ้าจำได้หรือไม่ว่าชนเผ่าใดทางหนานเจียงที่ใช้ดอกขุยเป็นสัญลักษณ์ประจำชนเผ่า”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดหนัก “ดอกขุยมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดอกบัวมองอาทิตย์ ชอบความอบอุ่นและทนต่อความแห้งแล้ง ซึ่งพื้นที่ทางหนานเจียงไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของมัน ดังนั้นจึงดูเหมือนไม่มีชนเผ่าใดใช้มันเป็นสัญลักษณ์ชนเผ่า เพียงแต่…ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีองค์หญิงพระองค์หนึ่งของราชวงศ์ก่อนที่แต่งงานไปกับผู้นำชนเผ่าชนเผ่าหนึ่งทางหนานเจียง”
ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง พวกเขาต่างเป็นคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาอย่างลึกซึ้ง เรื่องเหล่านี้ต่อให้ไม่เคยสนใจแต่ช่วงเวลาระหว่างราชวงศ์ก่อนกับต้าฉู่นั้นห่างกันไม่มาก ย่อมพอคุ้นๆ อยู่บ้าง “องค์หญิงเฉาหยางแห่งฮ่องเต้เกาจงของราชวงศ์ก่อนน่ะหรือ”
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “ถูกต้อง ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าชื่อเดิมขององค์หญิงพระองค์นี้มีตัวขุยอยู่”
“เช่นนั้น…ที่อาหลีนำของชิ้นนี้ออกมาย่อมหมายความว่ามันมิใช่ของธรรมดาทั่วไป หรือว่าของสิ่งนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงแห่งราชวงศ์ก่อน ทายาทขององค์หญิงแห่งราชวงศ์ก่อน…เมื่อตอนที่ราชวงศ์ก่อนล่มสลายลง องหญิงพระองค์นี้แต่งงานออกไปได้สองร้อยกว่าปีแล้วมิใช่หรือ”
“ผู้ใดจะรู้เล่า” เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า
ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่ใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “คัดลอกอันนี้ออกมาอีกชุดแล้วให้คนลอบส่งไปยังอวิ๋นโจว อีกอย่าง…องครักษ์ลับที่อยู่ที่หนานเจียง หากมีใครพบอาหลีให้รีบบอกนางทันทีว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีก”
เฟิ่งจือเหยารับจดหมายมาด้วยความคาดไม่ถึง “พระชายาทำได้ดีมากเชียวนะ หากมีโอกาสให้สืบหาต่อไปน่าจะได้รู้ความลับของหนานเจียงอีกมากโข เหตุใดจึงไม่ให้ยุ่งเล่า พวกเราส่งคนไปคอยช่วยพระชายาก็ได้นี่”
ม่อซิวเหยาจ้องมองเครื่องประดับทองในมือ แล้วจึงพูดเสียงขรึมขึ้น “ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าถึงรู้สึกว่าบนกระดาษใบนั้นมีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ เพียงแต่ยามนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่านั้น อาหลีไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใดๆ เลย หากหลับหูหลับตาสืบต่อไปจะมีอันตรายมาก”
เฟิ่งจือเหยายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถิด ข้าจัดการตามที่ท่านอ๋องบัญชาทุกอย่าง”
เฟิ่งจือเหยาเอาของเดินออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงม่อซิวเหยาเพียงคนเดียว ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง นอกจากข้อความที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากเดินทางเข้าหนานเจียงแล้ว ก็มีเพียงประโยคสั้นๆ ที่เขียนว่า ‘ปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วง’ เท่านั้น ม่อซิวเหยาลูบกระดาษในมือเบาๆ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ อย่างขมขื่น
[i] ดอกขุย หรือ ดอกทานตะวัน