ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 89-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 89-1 จุดเริ่มต้นที่ดี
“พระชายา เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
คณะของเยี่ยหลีเร่งรีบเดินทางโดยไม่หยุดพัก หนานจ้าวและหลีอ๋องเคลื่อนทัพเข้าโจมตีกะทันหันเกินไป ก่อนหน้านี้ที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเข้าไปยังเขตหนานเจียงก็เป็นที่จับจ้องของคนจำนวนไม่น้อยแล้ว มายามนี้ย่อมไม่สามารถเดินทางได้อย่างราบรื่นเหมือนแต่ก่อน เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงพาองครักษ์ลับสองและสามกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกสามสี่คนมาด้วยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกระจายตัวกันเดินทางกลับเข้าต้าฉู่
“เกิดอันใดขึ้น” เยี่ยหลีขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะกลายเป็นเงื่อน คนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ได้รับหนังสือรายงานเอ่ยเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการอู๋เฉิงเหลียงถูกคนลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ กองหนุนจากยงโจวข้ามแม่น้ำมาได้ไม่เท่าไรก็ถูกซุ่มโจมตี ทั้งกองทัพ…ตายหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที “ตอนนี้เราอยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยอีกไกลเพียงใด”
องครักษ์ลับสองตอบว่า “ยังต้องเดินทางอีกครึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…ด่านซุ่ยเสวี่ยถูกทหารหลายแสนคนของหนานจ้าวล้อมไว้ เกรงว่าต่อให้พวกเราไปถึงก็คงเข้าไปในด่านมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “พวกเราอ้อมไป ยังไม่ต้องสนใจด่านซุ่ยเสวี่ย ไปที่หย่งหลินก่อน กองทัพใหญ่ของหลีอ๋องคงใกล้เคลื่อนทัพมาถึงแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
ณ ด่านซุ่ยเสวี่ยยังคงมีเสียงกลองศึกและเสียงรบราฆ่าฟันดังสนั่นเช่นหลายวันที่ผ่านมา มู่หรงเซิ่นมองผู้บัญชาการทหารของหนานจ้าวที่เอาแต่ส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยสีหน้าเรียบเฉย การปิดตายด่านติดต่อกันหลายวันนั้นมีผลต่อขวัญและกำลังใจของนายทหารอย่างร้ายแรง ผู้บัญชาการทหารข้างกายหลายคนเกือบอดรนทนไม่ไหว อยากออกไปรับศึกที่นอกด่านเสียหลายครั้ง แต่ถูกเขาห้ามไว้ทุกครั้ง
“ท่านแม่ทัพ ได้โปรดให้ข้าน้อยออกไปรับศึกเถิดขอรับ!” นายทหารที่ยังหนุ่มยังแน่นเอ่ยปากขอร้องด้วยความแน่วแน่ พร้อมด้วยประกายไฟในดวงตา
พวกทหารของหนานจ้าวเอาแต่ตะโกนด่าทออยู่ทุกวันไม่ได้หยุด ส่วนพวกเขากลับทำได้เพียงปิดประตูอยู่ในด่าน ซึ่งทำให้ทหารหนุ่มที่ยังมีความฮึกเหิมเกิดไฟร้อนในใจ
“หุบปาก! สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาเมืองเอาไว้ อย่าได้ทำศึกด้วยความมุทะลุ อย่าให้กองทัพจากหนานจ้าวเหยียบเข้ามาในด่านซุ่ยเสวี่ยได้แม้แต่ก้าวเดียว นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายในการรักษาด่านของพวกเรา จงรอกำลังเสริมอยู่เงียบๆ!”
ทหารหนุ่มหันมองเขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อพร้อมเอ่ยถามว่า “กำลังเสริมจะมาทันหรือขอรับ!” พวกเขามีทหารรักษาการอยู่เพียงแปดหมื่นนาย แต่กองทัพหนานจ้าวกับหลีอ๋องจากหลิงโจวที่ค่อยๆ โอบล้อมเข้ามานั้น อย่างน้อยๆ ก็มีมากกว่าสามแสนนาย
มู่หรงเซิ่นนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยความแน่วแน่ว่า “ทันสิ ขอเพียงพวกเราสามารถรักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ได้ ดังนั้น อย่าได้ทำศึกด้วยความมุทะลุเป็นอันขาด”
ทหารหนุ่มกวาดตามองทหารหนานเจียงที่ตะโกนด่าทออยู่ที่นอกเมืองไม่หยุด แล้วได้แต่กัดฟันตอบว่า “ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
“ท่านแม่ทัพ!” ทหารส่งข่าวกระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา “ท่านแม่ทัพ ทางด้านหน้าส่งรายงานมาว่า ใต้เท้าอู๋เฉิงเหลียง ผู้บัญชาการทหารเมืองยงโจวนำทัพทหารสองหมื่นนายจะมาช่วยเป็นกองหนุน แต่พอข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันมาได้ไม่เท่าไรกลับถูกซุ่มโจมตี ใต้เท้าอู๋เสียชีวิตแล้วขอรับ!”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างสูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ มู่หรงเซิ่นรู้สึกเพียงภาพตรงหน้าหมุนติ้วไปหมด เขารีบกลับมารักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดหลีอ๋องถึงรวดเร็วเช่นนี้!”
“เรียนท่านแม่ทัพ! เมื่อคืนวานเจ้าเมืองหย่งโจวยอมสิโรราบให้แก่หลีอ๋อง วันนี้กองทัพหลีอ๋องเข้าตีเมืองชิงหย่วนแตกตั้งแต่เช้า เกรงว่าวันนี้ตอนค่ำ ทัพหน้าก็จะเคลื่อนพลถึงนอกเขตหย่งโจวแล้วขอรับ”
หัวหน้าหน่วยทหารทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป ทหารที่รักษาการอยู่ที่เขตหย่งโจวนั้นมีอยู่ไม่มากอยู่แล้ว ผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงสุดของเขตหย่งโจวถึงขั้นยอมสิโรราบไว้กับหลีอ๋อง ถึงว่าเหตุใดกองทัพของหลีอ๋องถึงสามารถเดินทางได้ราบรื่นและรวดเร็วเช่นนี้ ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้อย่าว่าแต่เดิมที่คิดว่าจะถ่วงเวลาไว้ได้สิบวันเลย เกรงว่าอีกไม่ถึงสองวันด่านซุ่ยเสวี่ยคงถูกล้อมไว้หมดแล้ว
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ทุกคนต่างรู้สึกเย็นวาบไปหมด มู่หรงเซิ่นยิ้มขึ้นด้วยความโกรธจัด “ดี!ช่างเป็นผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่ดีจริงๆ! ใครยินดีไปรักษาการที่เมืองหย่งหลินบ้าง”
หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มสามสี่คนพร้อมใจก้าวขึ้นหน้ามา “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยินดีขอรับ!”
มู่หรงเซิ่นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห้าวหาญของทหารหนุ่ม แล้วจึงพยักหน้า “ดี อวิ๋นถิง ซย่าซู ข้าจะให้กำลังทหารสองหมื่นนายกับพวกเจ้า รักษาเมืองหย่งหลินไว้ให้ได้ เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” นายทหารหนุ่มทั้งสองคนรับคำขึ้นพร้อมกัน เมื่อรับคำสั่งเรียบร้อยแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป ไม่มีผู้ใดถามว่าทหารสองหมื่นนายนี้จะต้องรักษาเมืองหย่งหลินอย่างไร และต้องรักษาไว้ให้ได้นานเท่าไร เมื่อมู่หรงเซิ่นมองตามแผ่นหลังของนายทหารหนุ่มสองคนจากไปแล้ว เขาก็หันมากวาดตา มองหัวหน้าหน่วยทหารที่เหลืออยู่ “พวกเราก็เหมือนกัน รักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ให้ได้ เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ! ท่านแม่ทัพ”
เมืองเล็กๆ ที่เคยเงียบสงบอย่างหย่งหลิน มาวันนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด ร้านค้าสองฟากถนนปิดประตูแน่นหนา ตามท้องถนนไม่มีเงาผู้คนสักคนให้ได้เห็น เมื่อเปรียบเทียบกับความอึมครึมและน่ากดดันของด่านซุ่ยเสวี่ยที่ปิดตายประตูเมืองไปแล้ว นอกเมืองหย่งหลินในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยประกายแสงจากกระบี่และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ด้านนอกกำแพงเมือง ทหารที่ต้องการจะบุกเข้ามาพาดบันไดยาวเข้ากับกำแพง พยายามทุกวิถีทางที่จะปีนข้ามกำแพงเมืองเข้ามาให้ได้ แต่ถูกคนบนกำแพงโยนหินและยินธนูกดดันให้กลับลงไป เมื่อคนด้านหน้าตกลงไป ก็มีอีกคนปีนตามขึ้นมาทันที คนบนกำแพงเองก็ถูกลูกธนูของคนด้านล่างยิงขึ้นมาจนตกจากกำแพงเมืองลงไปจนผิดรูปผิดร่างกันไม่น้อย ซึ่งในตอนนี้หาได้มีใครสนใจคนเหล่านั้นไม่ ทุกคนต่างมุ่งเข้าห้ำหั่นกันอย่างบ้าบิ่น ต่างลืมกันไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต้าฉู่เช่นเดียวกัน และเคยเป็นเพื่อนทหารกันมาก่อน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากันแล้ว ต่างคิดเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น
“อย่างไร ให้ข้าไปก่อนหรือ” บนกำแพงเมือง หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มสองคนยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าก่อน!” หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มดึงกระบี่ออกมา ก่อนหมุนตัวเดินไป
หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ มองอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วได้แต่ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ แล้วจึงหมุนตัวดึงมีดสั้นออกมาฟันนายทหารคนที่คิดอาศัยจังหวะช่วงที่ทหารบนกำแพงถูกธนูยิงตกลงไปปีนข้ามกำแพงมา
ประตูเมืองถูกเปิดออก ผู้บัญชาการทหารหนุ่มพากองทหารบุกฝ่าออกไป พุ่งทะยานเข้าไปกลางกองทัพของอีกฝ่าย ซึ่งพอช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์บนกำแพงเมืองลงไปได้ ผู้บัญชาการทหารหนุ่มควบม้านำหน้าไปจ้วงฟันทหารฝ่ายตรงข้ามตายไปนับไม่ถ้วน
ทหารวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนออกมาขวางทางเขาไว้อย่างรวดเร็ว ในมือเขาถือกระบี่เล่มใหญ่พร้อมใช้มันกวาดไปรอบๆ เพื่อเปิดทาง แล้วจึงเอ่ยวาจาเย้ยหยันว่า “มู่หรงเซิ่นไม่มีลูกน้องคนอื่นแล้วหรือไร ถึงได้ให้ลูกกระจ๊อกที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมออกมาขวางทางแม่ทัพอย่างข้า! หากฉลาดก็จงรีบเปิดประตูเมืองหย่งหลินให้ข้าเสียแต่บัดนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ผู้บัญชาการทหารหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่ยอมรับผีไม่มีชื่อ เจ้าคนทรยศ เจ้ามาจากที่ใด บอกชื่อแซ่ของตนมา แล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายศพสวยๆ!”
“ข้าเป็นแม่ทัพกองหน้าฝั่งตะวันตกที่หลีอ๋องเป็นผู้ตั้งแต่งเองกับมือ นามซุนเวย!”
นายทหารหนุ่มกลอกตา “ที่แท้ก็เจ้าคนทรยศม่อจิ่งหลีนี่เอง ซุนเวย…ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ยอมตายเสียดีๆ เถิด!” กระบี่เล่มยาวในมือพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เข้าฟาดฟันชายผู้ที่อ้างตนว่าเป็นแม่ทัพกองหน้าฝั่งตะวันตกอย่างไม่เกรงใจ
ชายผู้นั้นรับการโจมตีมือเป็นพัลวัน ท้ายที่สุดก็สิ้นใจตายด้วยน้ำมือของชายหนุ่มที่ตนดูถูกไว้ ผู้บัญชาการทหารหนุ่มถ่มน้ำลายใส่ “ก็แค่เศษสวะ ยังกล้าทำท่ายะโสต่อหน้าข้าอีกหรือ”
เมื่อผู้นำทหารกองหน้าถูกกำจัด ก็เกิดความวุ่นวายในกองทัพทันที ผู้บัญชาการทหารที่รักษาการอยู่ในเมืองหลวง จึงอาศัยจังหวะนี้นำทัพออกไปสังหารทหารฝ่ายตรงข้าม ไม่นานฝ่ายที่หมายจะเข้ามาตีเมืองก็ล่าถอยไปด้วยความหวาดเกรง
“ซย่าซู เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อกลับขึ้นไปยังประตูเมือง ถึงได้เห็นสภาพกองทัพฝ่ายตรงข้ามล่าถอยกลับไปอย่างน่าสมเพชจากมุมสูง เมื่อครู่เมื่อได้ระบายเอาความอัดอั้นที่กักเก็บมาไว้หลายวันออกไป สีหน้าของนายทหารหนุ่มจึงดูทั้งสะใจและยินดีอย่างเกินสมควรไปมาก
ชายหนุ่มที่ชื่อซย่าซูขมวดคิ้วทอดสายตาไปไกล “พวกนี้น่าจะเป็นเพียงกองทัพแนวหน้าที่อีกฝ่ายส่งมาดูลาดเลาเท่านั้น ถึงแม้จะจัดการพวกมันจนล่าถอยไปได้ แต่หากรอจนพวกฝีมือดีมาถึง…”
ผู้บัญชาการทหารหนุ่มอดขมวดคิ้วตามไม่ได้ ความรู้สึกยินดีจากชัยชนะเมื่อสักครู่ค่อยๆ จางหายไป อย่าว่าแต่กองทัพนับแสนนายเลย แค่เพียงหมูน่าโง่แสนตัวก็สามารถเหยียบคนจำนวนเพียงแค่หยิบมือของพวกเขาให้จมดินได้แล้ว
การรักษาเมืองด้วยทหารสองหมื่นนายว่ายากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเคลื่อนพลออกไปต้อนรับศัตรูเลย เมืองหย่งหลินไม่เหมือนกับด่านซุ่ยเสวี่ย หากพวกเขาเก็บตัวอยู่ในเมืองไม่ยอมออกไป กองทัพใหญ่ของหลีอ๋องก็อาจล้อมเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินไว้ได้ ถึงแม้จะวุ่นวายแต่มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่เขาตีด่านซุ่ยเสวี่ยแตก เมื่อนั้นเมืองโดดเดี่ยวที่มีทหารอยู่เพียงสองหมื่นนายของพวกเขาก็จะเป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือทันที
“ช่างมันสิ มาอีกข้าจะจัดการให้ล่าถอยกลับไปอีก! ข้า อวิ๋นถิงมิใช่คนกลัวตาย!” ผู้บัญชาการทหารหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่
ซย่าซูเองก็ค่อยๆ มีรอยยิ้มขึ้นมา “พูดได้ไม่เลว บอกไว้ก่อนนะ ครั้งหน้าตาข้าบ้าง”