ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 139 แลกเปลี่ยนวิชา
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 139 แลกเปลี่ยนวิชา
ทั้งสองคนที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางลาน เริ่มรู้สึกตัวว่าคนที่สังเกตการณ์อยู่โดยรอบเริ่มมีบางอย่างแปลกไป พอหันไปมองก็เห็นเยี่ยหลียืนดูพวกเขาอยู่ด้วยความสนใจ อวิ๋นถิงหน้าม่อยลงทันที ด้วยความไม่ทันระวังจึงถูกหมัดอีกฝ่ายต่อยเข้าตรงๆ เพียงแต่อีกฝ่ายยังมีความเคารพในฐานะพระชายาติ้งอ๋อง พอต่อยโดนเข้าไปทีหนึ่งจึงไม่ได้เข้าไปทำร้ายซ้ำ
ทั้งสองแยกจากกันอย่างรวดเร็ว เพียงถลึงตามองใส่กันด้วยสีหน้าที่ทำให้ทุกคนรับรู้ว่าพวกเขายังคงไม่พอใจอีกฝ่ายหนึ่งอยู่
เยี่ยหลียกมือขึ้นปรบมือให้ อมยิ้มมองทั้งสองคน “เหตุใดจึงหยุดเสียเล่า”
“พระชายา…” อวิ๋นถิงก้มหน้าลงด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หลายเดือนมานี้เขานับถือชายาติ้งอ๋องทั้งกายและใจ อีกทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนเป็นคนที่พระชายาเลือกให้เข้ามาฝึกฝนด้วยตนเอง ด้วยเพราะเหตุนี้ จึงทำให้เขามีโทสะขึ้นง่ายยามที่ถูกพลทหารที่อายุยังน้อยในกองทัพตระกูลม่อมีท่าทีดูถูกตน พอเกิดมีน้ำโหเข้าจึงถึงขั้นลงไม้ลงมือขึ้นมา
เยี่ยหลียิ้ม “ไม่เป็นไร ในค่ายทหาร ทุกคนแลกเปลี่ยนวิชากันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องอายไปหรอก หรือว่า…ข้ามาที่นี่ จึงทำให้พวกเจ้าแสดงฝีมือกันได้ไม่เต็มที่”
เมื่อเยี่ยหลีพูดออกมาเช่นนี้ จึงทำให้ผู้บัญชาการทหารที่ยืนล้อมรอบอยู่อดหน้าหูแดงขึ้นมาไม่ได้ หากมิใช่เพราะพวกเขานึกเคลือบแคลงใจในความสามารถของอวิ๋นถิง หรือแม้กระทั่งพระชายา ก็คงไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนต่อยตีกันเช่นนี้ ยามนี้เมื่อได้เห็นท่าทีของพระชายา กลับยิ่งทำให้พวกเขาที่เป็นชายอกสามศอกดูเป็นคนใจแคบขึ้นมาทันที
เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าพวกเขามิได้คิดที่จะต่อสู้กันต่อแล้ว นางจึงโบกมือให้ทหารที่ล้อมดูอยู่ทั้งหมดแยกย้ายกันออกไป ก่อนเดินนำผู้บัญชาการทหารทั้งหมดเข้าไปยังกระโจมใหญ่ในค่าย
ยามนี้ค่ายทหารนอกเมืองอยู่ในความดูแลของหลี่ว์จิ้นผิง แต่เขาเข้าเมืองไปหารือเรื่องการวางกำลังรักษาเมืองกับทหารในเมืองตั้งแต่เช้า มิได้อยู่ในค่าย จึงไม่มีคนคอยห้ามทัพยามที่เสี้ยวเว่ยทั้งสองเกิดวิวาทกัน
หลี่ว์จิ้นผิงเมื่อได้รับข่าวก็รีบกลับเข้ามาจากในเมือง แต่ก็ยังช้ากว่าเยี่ยหลีก้าวหนึ่ง จึงทำได้เพียงถลึงตาใส่เฉินเสี้ยวเว่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนก้าวขึ้นหน้าไปขออภัยต่อเยี่ยหลี
เยี่ยหลีหัวเราะเสียงใส่ ยกมือส่งสัญญาณให้จั๋วจิ้งเขาไปพยุงหลี่ว์จิ้นผิงขึ้นมา แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพหลี่ว์ไม่ต้องทำเช่นนี้ คนหนุ่มขอเพียงรู้ว่าอันใดควรไม่ควร จะต่อยตีกันบ้างก็ถือเสียว่าเป็นการสานสัมพันธ์ก็แล้วกัน”
ทุกคนเดินกลับไปนั่งประจำที่ภายในกระโจมใหญ่ หลี่ว์จิ้นผิงถึงได้เรียกเจิ้นเสี้ยเวยมาสอบถามถึงสาเหตุในการทะเลาะวิวาท อันที่จริงการทะเลาะวิวาทภายในค่ายทหารนั้นมิใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงแต่หากคิดจะรู้แพ้รู้ชนะนั้นสามารถทำได้ แต่หากจะใช้เป็นเวทีแสดงความสามารถและเวทีประลองศิลปะการต่อสู้แล้ว การมาวิวาทต่อหน้านายทหารธรรมดาๆ โดยไม่ดูกาละเทสะเช่นนี้ถือว่าไม่ได้ความ เพราะอาจทำให้นายทหารคิดกันไปว่ามีเรื่องไม่ลงรอยกันระหว่างผู้บัญชาการทหาร
เฉินเสี้ยวเว่ยเหลือบตามองไปทางอวิ๋นถิง ส่งเสียงหึเบาๆ แต่มิได้ตอบคำถามหลี่ว์จิ้นเสียน
อวิ๋นถิงถูกเสียงหึอย่างดูถูกของเขาทำให้ไฟโทสะที่มอดลงไปแล้วกลับปะทุขึ้นอีกครั้ง เขาเชิดคางขึ้นเอ่ยว่า “ไม่ยอมแพ้หรือ มาสู้กันอีกสักทีเป็นไร!”
เฉินเสี้ยวเว่ยหัวเราะอย่างเยาะหยัน เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นสิ หากมิใช่เพราะ…ข้าคงซัดเจ้าจนฟันเกลื่อนพื้นไปแล้ว!”
“พูดได้ไม่อายปาก ช่างไม่กลัวฟ้าผ่าเอาลิ้นเจ้าเสียเลย!” อวิ๋นถิงเอ่ยหัวเราะเยาะ
“หุบปาก!” หลี่ว์จิ้นเสียนโกรธจัด เสี้ยวเว่ยสองนายมีเรื่องวิวาทกันต่อหน้าชายาติ้งอ๋องและผู้บัญชาการทหารจำนวนมากเช่นนี้ก็ช่างเถิด แต่นี่ยังมาทะเลาะกันให้เห็นอีก ช่างไม่สนใจกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยกันเอาเสียเลย!
เยี่ยหลีวางถ้วยชาในมือลง หันไปยิ้มน้อยๆ ให้หลี่ว์จิ้นเสียน “แม่ทัพหลี่ว์ใจเย็นก่อน คนวัยหนุ่มก็ย่อมมีอารมณ์ร้อนกันไปบ้าง ท่านแม่ทัพอย่าได้โกรธเคืองไปเลย อวิ๋นถิง เจ้าอยู่ในเมืองหลวงมาไม่กี่เดือน เรื่องอื่นไม่ว่า แต่เรื่องฝีปากนี้ดูจะว่องไวขึ้นไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
อวิ๋นถิงใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นทันที ถึงแม้ในค่ายทหารเขาจะถือว่าอายุยังน้อย แต่หากเทียบกับชายาติ้งอ๋องแล้ว เขายังอายุมากกว่าหลายปีด้วยซ้ำ เมื่อตนถูกชายาติ้งอ๋องที่อายุน้อยกว่าเอ่ยถึงความอารมณ์ร้อนของคนวัยหนุ่มแล้ว ก็อดทำให้ใบหน้าเขาร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ เขาก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ข้าน้อยไร้มารยาท พระชายาได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย”
“ข้าบอกไปแล้วว่าไม่ถือโทษก็คือไม่ถือโทษ” เยี่ยหลีเอ่ย “ลองพูดมาเถิด เหตุใดเจ้าทั้งสองคน…อืม ถึงได้ลุกขึ้นมาแลกเปลี่ยนวิชากันแต่เช้าตรู่หรือ”
เฉินเสี้ยวเว่ยและอวิ๋นถิงต่างมีท่าทีลังเลใจขึ้นมาพร้อมกันอย่างหาชมได้ยาก เหลือบมองเยี่ยหลีแต่มิได้พูดอันใด
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “อย่างไร พูดไม่ได้หรือ หรือว่าข้าควรถามแม่ทัพท่านอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์”
เฉินเสี้ยวเว่ยก้าวขึ้นหน้ามากัดฟันเอ่ยตอบว่า “ข้าน้อยไม่ควรพูดจาไม่เคารพพระชายา ถึงได้มีเรื่องวิวาทกับอวิ๋นเสี้ยวเว่ย พระชายาได้โปรดลงโทษข้าน้อย ข้าน้อยยินดียอมรับการลงโทษทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยหลีหันมองเขาด้วยแววตาสงสัย พยักหน้าเอ่ยว่า “ถือว่าเจ้ากล้าทำกล้ารับ”
เฉินเสี้ยวเว่ยนิ่งเงียบไม่ตอบ
อวิ๋นถิงเหลือบมองทุกคน ก่อนก้าวขึ้นหน้าไปเอ่ยว่า “ข้าน้อยเองก็ทำไม่ถูก ยินดีรับการลงโทษเช่นเดียวกับเฉินเสี้ยวเว่ยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันมองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของอวิ๋นถิง นางลอบพยักหน้าในใจ การอบรมชี้แนะช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมานี้ถือว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ด้วยนิสัยของอวิ๋นถิงแล้ว ไม่มีทางออกตัวขอรับโทษด้วยตนเองเช่นนี้เป็นแน่ ซึ่งมิได้เกี่ยวกับเหตุผลใดเลย แค่เพียงเขาเข้าใจการเป็นมนุษย์และการอยู่ในสังคมมากขึ้นเท่านั้น
ทุกคนในกองทัพตระกูลม่อต่างมิใช่คนที่หาเรื่องไร้สาระ เมื่อได้ยินอวิ๋นถิงเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าจึงดูดีขึ้นไม่น้อย
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ข้าเพิ่งเข้ามาดูแลกองทัพตระกูลม่อได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพบแม่ทัพทุกท่านมาก่อน ในใจทุกท่านจะนึกไม่ยอมรับข้าก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ดังนั้นเรื่องในครานี้ ถือว่าให้แล้วกันไป ยามนี้ ทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี่หากมีเรื่องใดคาใจ สามารถพูดออกมาได้เลย ทุกท่านต่างเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้อยู่ในสนามรบมาหลายปีอย่างแท้จริง พวกเราอย่าได้เอาอย่างการพูดจาอ้อมค้อมอย่างในราชสำนักเลย”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นทุกคนยังคงลังเลใจไม่ยอมเอ่ยปาก “ในกระโจมหลังนี้ ทุกท่านที่เอ่ยปากจะไม่มีความผิด หากคิดสิ่งใดอยู่ก็สามารถพูดออกมาได้เลย หรือว่าทุกท่านเกรงว่าข้าจะนึกหาทางล้างแค้นทีหลังอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ผู้ช่วยแม่ทัพวัยกลางคนนายหนึ่งลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย เดิมทีหากติ้งอ๋องไม่อยู่ มีพระชายาบัญชาการกองทัพตระกูลม่อก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เรื่องการทหารและการศึกนั้นไม่เหมือนกับเรื่องอื่น หากเกิดอันใดขึ้นเพียงนิด นั่นหมายถึงชีวิตนับพันนับหมื่นของพี่น้องทหาร ดังนั้นพวกข้าน้อยถึงได้คิดหนัก พระชายาอายุยังน้อย ทั้งยังมาจากตระกูลบัณฑิต เรื่องนี้…”
เยี่ยหลีรับฟังสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางพูด พร้อมอมยิ้มพยักหน้าแสดงว่าตนเข้าใจสิ่งที่เขาพูด คนอื่นๆ เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย จึงกล้าลุกขึ้นเอ่ยสิ่งที่ตนเองนึกสงสัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เยี่ยหลีอายุยังน้อย ก็คือนึกสงสัยเรื่องความสามารถในการนำทัพและกลยุทธ์ของเยี่ยหลี
เยี่ยหลีนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ รอให้ทุกคนกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจจนเรียบร้อย แล้วจึงระบายยิ้มออกมา “ยามนี้ข้าถึงเพิ่งได้รู้ว่าแม่ทัพทุกท่านมีความวิตกและกังวลกันมากมายเช่นนี้ เป็นเพราะข้าละเลยหน้าที่ไปเอง เฉินเสี้ยวเว่ย ด้วยเพราะเหตุผลเหล่านี้ทำให้เจ้าไม่ยอบรับข้าใช่หรือไม่”
เฉินเสี้ยวเว่ยคอแข็ง เอ่ยว่า “การเดินทัพทำศึกมิใช่การเล่นขายของ หากพระชายามิได้มีความสามารถจริง ข้าน้อยย่อมไม่ยอมรับพ่ะย่ะค่ะ!”
“เฉินอวิ๋น บังอาจ!” หลี่ว์จิ้นผิงเอ่ยเสียงดังขึ้น
เยี่ยหลีโบกมือยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ข้าสมควรแก่การไม่ยอมรับทุกอย่าง เช่นนั้น พวกเราไปประลองกันที่ลานฝึกดีหรือไม่”
“ข้าน้อยมิกล้า!” เฉินอวิ๋นเสี้ยวเว่ยดูจะตกใจกับคำพูดของเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก เขาพูดโพล่งออกมาพร้อมคุกเข่าลงกับพื้นทันที พวกเขาที่เป็นผู้บัญชาการทหารของกองทัพตระกูลม่อ ถึงแม้จะนึกคลางแคลงใจในความสามารถของเยี่ยหลี แต่อย่างไรก็ยังให้ความเคารพนางอย่างสูงในฐานะชายาติ้งอ๋อง เพียงแต่ในสนาบรบนั้น ชีวิตของเหล่าทหารมีความสำคัญกับผลแพ้ชนะในการทำศึก ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจหลับหูหลับตาเชื่อความสามารถของนางในฐานะชายาติ้งอ๋องได้ ยามนี้เมื่อพระชายามาบอกว่าจะวัดเรื่องฝีมือกับพวกเขา จะให้เฉินอวิ๋นกล้าลงมือได้อย่างไร
เยี่ยหลีลุกขึ้นยืน เอ่ยเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้น ผู้ชายอกสามศอก อย่าคุกเข่ากันง่ายๆ เช่นนี้ ทำไมหรือ หรือว่าบุรุษอย่างเจ้านึกกลัวข้าที่เป็นสตรี”
เฉินอวิ๋นหน้าแดงขึ้นทันที ไม่รู้ว่าตนควรบอกว่ากลัวหรือไม่กลัวดี
เยี่ยหลียกยิ้มเล็กน้อย ก้าวเดินออกไปจากกระโจมโดยไม่สนใจเขา
เมื่อเยี่ยหลีเดินออกไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ย่อมเดินออกไปตาม เฉินอวิ๋นหันมองหลี่ว์จิ้นผิงที่เดินรั้งท้ายสุดอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี “ท่านแม่ทัพ…”
หลี่ว์จิ้นเสียนส่ายหน้า ถอนใจยาว “ไปเถิด อย่าให้พระชายาต้องรอ”
อวิ๋นถิงที่เดินถึงหน้าประตูแล้ว หันกลับมามองเขา ส่งยิ้มอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไปให้ ฝีไม้ลายมือของพระชายาเป็นเช่นไรผู้อื่นคงไม่รู้ แต่เขาเคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน หากเฉินอวิ๋นคิดจะยอมแพ้ เขาคงได้ตายอย่างน่าสลดเป็นแน่
ในลานฝึก เยี่ยหลียืมอมยิ้มเอามือไพล่หลังมองเฉินอวิ๋นที่ลังเลไม่ยอมก้าวเข้ามา โดยรอบมีนายทหารที่ว่างหลังจากเพิ่งฝึกเสร็จจำนวนไม่น้อยล้อมรอบเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเฉินอวิ๋นยังคงลังเล เยี่ยหลีจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เฉินเสี้ยวเว่ย เชิญเข้ามาเถิด”
ในที่สุดเฉินอวิ๋นก็ก้าวเข้าไปในลานฝึก แต่ดูไม่มีความฮึกเหิมและดุดันเหมือนยามที่ต่อสู้กับอวิ๋นถิงเอาเสียเลย กลับดูเกร็งอย่างมาก เขาหันมองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยว่า “เชิญพระชายาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้ดีว่าหากตนไม่ลงมือก่อน เฉินอวิ๋นไม่มีทางกล้าออกอาวุธใส่นางเป็นแน่ นางเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น เฉินเสี้ยวเว่ยระวังด้วย!”
เยี่ยหลีมิได้ใช้กริชอย่างที่ตนเองถนัด แต่หมุนตัวไปหยิบดาบในมือจั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งมา ปลายดาบขยับสั่นไหว พุ่งตรงเข้าใส่เฉินอวิ๋นทันที
เฉินอวิ๋นเบี่ยงตัวหลบดาบที่พุ่งตรงเข้ามาใส่ เยี่ยหลียกยิ้มก่อนตวัดดาบเฉียงขึ้น พริบตาเดียวเยี่ยหลีกวัดแกว่งดาบในมือไปแล้วหลายเพลงดาบ เฉินอวิ๋นเองก็ถูกไล่กดดันจนล่าถอยไปหลายก้าว นายทหารที่ดูอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นต่างก็ส่งเสียฮือฮากันขึ้น
เดิมทีเฉินอวิ๋นคิดจะปล่อยให้เยี่ยหลีได้ออกกระบวนท่าสักเล็กน้อย แล้วค่อยหาโอกาสยอมแพ้ จะได้ไม่ทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและไม่ทำให้เยี่ยหลีเสียหน้า แต่ตั้งแต่เยี่ยหลีวาดดาบมาตั้งแต่คราแรก เขาก็รู้ว่าตนคิดผิดไปเสียแล้ว ท่วงท่าในการจับดาบและพละกำลังรวมถึงองศาในการออกอาวุธนั้นล้วนมิใช่การร่ายรำเพื่อความสวยงามแต่ไร้ประโยชน์ กลับกัน ทุกเพลงดาบของนางล้วนอันตรายทั้งสิ้น เพียงแต่มิใช่เพราะตนหลบหลีกได้ว่องไว แต่พระชายาเองก็ออมแรงไว้มิได้ปล่อยออกมาทั้งหมดเช่นกัน หาไม่แล้วบนตัวเขาคงมีแผลเหวอะหวะเสียหลายแห่งแล้ว
เฉินอวิ๋นหมุนตัวถอยหลังออกไปอยู่ในระยะปลอดภัย เยี่ยหลีก็ไม่รุกไล่ต่อ เก็บดาบยืนมองเขาอยู่กลางลาน
เฉินอวิ๋นประสานมือคารวะเยี่ยหลี “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ พระชายาโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยขอบังอาจ พระชายาได้โปรดประลองกันใหม่อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบเขาก็เดินไปยังชั้นที่วางอาวุธอยู่ ก่อนหยิบหอกยาวอันหนึ่งขึ้นมาสะบัด มองตรงมาทางเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก อย่างนี้ถึงจะถูก เฉินเสี้ยวเว่ย เชิญ”
“ล่วงเกินแล้ว!” เฉินอวิ๋นเอ่ยเสียงก้องขึ้น หอกในมือพุ่งตรงเข้าใส่เยี่ยหลี เยี่ยหลีก้าวเท้าหลบหลีกด้วยความว่องไว ดาบในมือตวัดกวัดแกว่งจนกลายเป็นรูปดอกไม้ ที่ว่ายาวเท่าไรก็แข็งแรงเท่านั้นนั้น ถึงแม้ดาบในมือเยี่ยหลีจะมีความยาวเพียงสามฉื่อ แต่เมื่อปะทะกับหอกยาวในมือของเฉินอวิ๋นแล้วกลับไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่ยืนดูอยู่ ต่างรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่า เยี่ยหลีรักษาระยะห่างระหว่างทั้งสองไว้ตลอด และด้วยระยะห่างนี้ ก็เป็นการจำกัดคุณสมบัติของหอกยาวให้ไม่สามารถกวัดแกว่งได้ระยะที่ได้เปรียบได้ ซึ่งถือเป็นการทำให้ทั้งสองไม่ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน
ด้านนอก ไม่รู้เฟิ่งจือเหยาเข้ามายืนยิ้มกอดอกอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างมู่หยางตั้งแต่เมี่อใด เขาหัวเราะหึหึแล้วเอ่ยถามว่า “มู่ซื่อจื่อ เจ้าคิดว่าพระชายากับเฉินเสี้ยวเว่ยผู้ใดจะชนะหรือจะแพ้”
มู่หยางหัวเราะเรียบๆ “ข้าน้อยมีวาสนาได้เห็นฝีมือของพระชายา ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือ เฉินเสี้ยวเว่ย…เกรงว่าจะยังห่างชั้นอีกเล็กน้อย”
เมื่อได้ยินมู่หยางเอ่ยเช่นนี้ หลี่ว์จิ้นเสียนที่ยืนอยู่ถึงกับหันมองทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ท้ายสุดหยุดมองที่เฟิ่งจือเหยา เฟิ่งจือเหยากับหลี่ว์จิ้นเสียนนั้นถือว่ารู้จักกันมานาน จึงไม่คิดปิดบัง เขาหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่ว์อาจไม่รู้ว่า เพลงดาบของพระชายานั้น ท่านอ๋องเป็นผู้สอนด้วยตนเอง อีกอย่าง…เพลงดาบนั้นเกรงว่าจะเป็นสิ่งที่พระชายาถนัดน้อยที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าทุกคนดูถอดสีลงเล็กน้อย เพลงดาบของพระชายานั้นพวกเขาต่างมองดูอยู่ ซึ่งไม่ถือว่ายอดเยี่ยมนัก แต่ยังพอเห็นประกายสังหารที่ส่งออกมาจากปลายดาบอยู่บ้าง นั่นเป็นเพลงดาบที่สามารถสังหารคนได้จริงๆ แต่นี่…ได้ยินว่าเป็นสิ่งที่พระชายาไม่ถนัดที่สุด นั่นก็หมายความว่า กระบวนท่าที่พระชายาใช้กับเฉินอวิ๋นนั้นมิใช้ความสามารถที่แท้จริง
มู่หยางเงยหน้าขึ้นมองรูปร่างแบบบางที่เคลื่อนตัวอย่างพลิ้วไหวอยู่บนเวทีแล้วอดหัวเราะต่ำๆ ขึ้นมาไม่ได้ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงประโยคที่เมื่อครู่เยี่ยหลีเอ่ยออกมาว่า…ข้าสมควรแก่การไม่ยอมรับทุกอย่าง…ต่อหน้าสตรีเช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่สามารถไม่ยอมรับนางได้