ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 59-2
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 59-2 ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความระทึก เยี่ยหลีวางคันธนูลงอย่างสบายๆ ยิ้มอย่างสดใสและพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นว่า “องค์หญิง อันที่จริงมือข้าชาไปหมด ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเลยว่าข้าจะยิงถูกท่าน”
“เจ้า…เจ้า…” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องไห้โดยไม่มีเสียง เอามือชี้หน้าเยี่ยหลีแต่พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน เยี่ยหลียิ้มตาหยีมองนาง รู้สึกเพียงว่าความอึดอัดที่ได้รับในวันนี้ถูกปลดปล่อยออกมาหมดแล้ว ที่แท้ การสั่งสอนเด็กที่ไม่เชื่อฟังนี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนสบายใจที่สุดแล้ว
“ดี!” ม่อจิ่งฉีหัวเราะพร้อมปรบมือ “การประลองครั้งนี้ ชายาติ้งอ๋องเป็นฝ่ายชนะ ซื่อจื่อเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
เหลยเถิงเฟิงมองหญิงสาวที่มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้าด้วยความสับสน ก่อนลุกยืนขึ้น “ที่แท้ชายาติ้งอ๋องก็เป็นหญิงที่มีจิตใจห้าวหาญ ข้าน้อยขอนับถือ แน่นอนว่าพระชายาเป็นผู้ชนะ หลิงอวิ๋น คุกเข่าขอโทษพระชายาเสีย” เหลยเถิงเฟิงพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด สิ่งที่เยี่ยหลีต้องการคือให้นางขอโทษกลางงานเลี้ยงต่อหน้าขุนนางทุกคน แต่เหลยเถิงเฟิงกลับตัดคำขอช่วงหลังทิ้งเสีย ให้หลิงอวิ๋นขอโทษโดยทันที ทั้งสามารถทำให้ผู้คนรับรู้ว่า องค์หญิงแคว้นซีหลิงกล้าทำกล้ารับ อีกทั้งตอนนี้หลิงอวิ๋นกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร อาจทำให้ผู้คนนึกเห็นใจได้บ้าง พอถึงเวลางานเลี้ยง ทุกคนก็มัวแต่รื่นเริงจนไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่หากปล่อยไปจนถึงช่วงงานเลี้ยง ถึงตอนนั้นเรื่องที่หลิงอวิ๋นพ่ายแพ้ให้กับชายาติ้งอ๋องคงแพร่ไปทั่ววัง หากรอจนทุกคนได้พูดคุยกันคงทำให้ทุกคนเห็นหลิงอวิ๋นย่ำแย่ไปกว่านี้ ต่อให้ถึงตอนนั้นหลิงอวิ๋นคุกเข่าลงขอโทษก็คงไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกดีกับนางขึ้นแน่นอน ที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อเรื่องที่เขาจะทำต่อไปด้วย
“คุกเข่า…” องค์หญิงหลิงอวิ๋นใบหน้าซีดขาว นางไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องมาแพ้ให้กับหญิงสาวผู้อ่อนแอของตงฉู่ในเรื่องที่ตนถนัดที่สุด คิดไปถึงก่อนหน้านี้ที่ตบปากรับคำด้วยความหุนหันพลันแล่น ถึงแม้จะนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางเหลยเถิงเฟิง กลับได้รับเพียงสายตาตักเตือนตอบกลับมา ยิ่งหันไปมองผู้คนโดยรอบ ทั้งฮ่องเต้ของตงฉู่ ฮองเฮา เหล่าสนม ขุนนางใหญ่และฮูหยินแล้วยังคณะทูตและองค์หญิงจากหนานจ้าว องค์หญิงหลินอวิ๋นรู้ทันทีว่า หากนางคุกเข่าลงไปจริงๆ ชื่อเสียงของนางคงย่อยยับจนไม่เหลือหลอเป็นแน่
“เรื่องคุกเข่านั้นไม่ต้องแล้วละ องค์หญิงแค่ขอโทษข้าก็พอ” จู่ๆ เยี่ยหลีก็เอ่ยขึ้น
องค์หญิงหลิงอวิ๋นอึ้งไป รู้แก่ใจแล้วว่าการอาละวาดต่อไปไม่มีผลดีกับตนเสียเลย ตนเองเมื่ออยู่ที่ตงฉู่ไม่มีอำนาจอะไรมากมาย ท่านพี่ก็ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ ถึงอย่างไรก็คงเอาชนะชายาติ้งอ๋องคนนี้ไม่ได้
องค์หญิงหลิงอวิ๋นจึงฝืนใจกัดฟันโค้งตัวลง “เป็นเพราะหลิงอวิ๋นไม่รู้ความ ล่วงเกินชายาติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องได้โปรดอภัยด้วย”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พยักหน้า “องค์หญิงเป็นแขก อย่าเก็บมาใส่ใจเลย” พูดจบก็หมุนตัวไปไม่สนใจองค์หญิงหลิงอวิ๋นอีก เยี่ยหลีเดินกลับไปทางม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาหลบตาลง จนเมื่อของในมือขวาอัตรธานไปแล้วจึงได้เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีที่เดินมาถึงหน้าตนแล้ว ถึงแม้สีหน้าของเยี่ยหลียังคงสุภาพเรียบร้อยเป็นปกติ แต่ม่อซิวเหยากลับแน่ใจว่าตนเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของนาง
เหลยเถิงเฟิงประสานมือมาทางเยี่ยหลีเป็นการขอบคุณโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เยี่ยหลีพยักหน้าเรียบๆ แล้วนั่งลงข้างม่อซิวเหยา พยายามบังคับตัวเองให้ไม่สนใจสายตาที่ส่งมาจากรอบทิศ องค์หญิงหลิงอวิ๋นเดินกลับมาด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนนั่งลงข้างเหลยเถิงเฟิง ไม่มีกระจิตกระใจจะหาเรื่องเยี่ยหลีอีก
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของม่อซิวเหยาที่จ้องมายังตน เยี่ยหลีจึงเงยหน้าขึ้นถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ” ม่อซิวเหยาตอบเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่อันตรายมาก” หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงหลิงอวิ๋นจิตใจไม่สงบ แล้วเปลี่ยนเป็นอีกคนที่มีฝีมือยิงธนูธรรมดาๆ ถึงอย่างไรก็อาจยิงถูกตัวเยี่ยหลีได้ ดีที่สุดก็เพียงแค่ทั้งสองฝ่ายต่างแพ้และเจ็บตัวกันไป
เยี่ยหลีส่ายหน้า ยักไหล่ยิ้มๆ “ไม่มีอันตรายหรอก หากไม่ใช่องค์หญิงหลิงอวิ๋น ข้าก็คงไม่ประลองธนูกับนางแน่นอน” ที่นางเลือกธนูก็ด้วยเพราะนางมองออกว่าจิตใจองค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่นิ่งพอที่จะสู้กับพลแม่นปืนอย่างนางได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาแวบเดียวก็เถิด นางเป็นองค์หญิงที่เติบโตมาในวัง ได้รับการปกป้องและพะเน้าพะนอเอาใจ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจรักษาจิตใจให้สงบนิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้านางได้ แน่นอนว่า หากองค์หญิงหลิงอวิ๋นมือไม้ไม่สั่นและสามารถยิงธนูมาที่ตนได้ นางก็มีวิธีการรับมืออย่างอื่น “อีกอย่าง ท่านอ๋องคงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับข้าหรอก ใช่หรือไม่” เมื่อเห็นสายตาไม่เห็นด้วยของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงพูดขึ้นยิ้มๆ
ม่อซิวเหยาอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ “เจ้าพูดถูก” หากธนูดอกนั้นขององค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่เฉียงออกไป ข้าก็จะไม่ให้มันยิงมาถูกตัวเยี่ยหลีเป็นอันขาด
“ชายาติ้งอ๋อง เจ้าเคยเรียนยิงธนูหรือ” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถามเสียงใส เยี่ยหลียืนขึ้นตอบด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “ทูลฝ่าบาท เปล่าเพคะ เพียงแต่เคยเรียนเล่นๆ กับพี่ชายที่บ้านท่านลุงเท่านั้น ไม่เคยเรียนอย่างจริงจังเพคะ” ม่อจิ่งฉีหัวเราะอย่างมีนัยยะ ไม่เคยเรียนอย่างจริงจังแต่กลับสามารถเอาชนะยอดฝีมืออย่างองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ร่ำเรียนมาหลายปีในการประลองได้ ไม่ว่าเรื่องพรสวรรค์หรือความหลักแหลมของเยี่ยหลีล้วนเก่งกาจทั้งคู่ ม่อจิ่งฉีกอดหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าแนบอก ก่อนพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าชายาติ้งอ๋องและสนมรักของข้าจะเป็นหญิงสาวน่าอัศจรรย์ที่มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊สินะ”
หลิ่วกุ้ยเฟยตอบเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาทกล่าวถูกแล้วเพคะ”
เมื่อส่งเสด็จฮ่องเต้ ฮองเฮาและกุ้ยเฟยแล้ว เยี่ยหลีเบื่อที่จะยุ่งวุ่นวายกับเหล่าคนที่เข้ามาชื่นชมและสอบถาม จึงได้หลบออกมาหาที่นั่งเย็นสบายภายในอุทยานกับม่อซิวเหยา คนส่วนใหญ่ต่างรู้งานจึงไม่ไปรบกวนเวลาคู่สามีภรรยา จะมีก็เพียงคนสองคนเท่านั้นที่ไม่จัดอยู่ในคนเหล่านั้น เมื่อปฏิเสธคนของเยี่ยเจาอี๋ที่ส่งมาเชิญไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ในวังแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หันไปมองม่อซิวเหยาที่เอาแต่จ้องตนอยู่ “ท่านอ๋องมีอะไรหรือ”
ม่อซิวเหยาหมุนถ้วยชาในมือเล่นอย่างเลื่อนลอย “อาหลีช่างมีพรสวรรค์ในการศึกษาวิชาการต่อสู้ ดูๆ แล้วมีพื้นฐานไม่เลวเลย”
เยี่ยหลีไม่ได้สนใจว่าม่อซิวเหยาจะล่วงรู้ถึงฝีมือของตน ม่อซิวเหยาเป็นคนระมัดระวังตัวอย่างมาก ถึงแม้จะดูสุภาพแต่ก็เป็นคนที่ระแวดระวัง การต้องใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเป็นเวลานาน แล้วปิดบังไม่ให้เขารู้ ดูจะเป็นไปไม่ได้เลย อีกอย่างเยี่ยหลีก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบัง ด้วยนางต้องการพื้นที่ให้ตนเองได้ฝึกฝน หรืออาจเรียนวิชาที่ยากยิ่งกว่านี้เพื่อพัฒนาฝีมือตนเองให้เก่งขึ้น เยี่ยหลียิ้มอย่างเปิดเผยพร้อมมองตอบม่อซิวเหยา “สามารถทำให้ท่านอ๋องบอกว่าไม่เลวได้ เช่นนั้นก็คงไม่เลวจริงๆ”
ม่อซิวเหยาเองดูไม่ได้ตั้งใจที่จะสืบสาวหาความไปจนถึงต้นตอ เขายิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า “หากอาหลีชอบ ในห้องหนังสือมีเคล็ดลับวิชาการต่อสู้อยู่ไม่น้อย สามารถเอาไปอ่านได้” เมื่อเห็นเยี่ยหลีตาเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ทำให้ม่อซิวเหยาถึงกับยิ้มออกมา “ในเมื่ออาหลีบอกว่าไม่เป็นเพลงกระบี่ ข้าสามารถหาคนมาช่วยสอนอาหลีได้”
“ได้จริงๆ หรือ”
“ยิ่งวิชาการป้องกันตัวของอาหลีมากเท่าไร ข้าก็ย่อมวางใจได้มากขึ้นเท่านั้น จะมีอะไรไม่ได้กันเล่า” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ
“ดีจริงเชียว ขอบคุณท่านมาก” เยี่ยหลียิ้ม
ม่อซิวเหยาส่ายหน้าเรียบๆ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าต้องการอะไร สามารถบอกข้าได้ตรงๆ เหตุใดจึงต้องเอ่ยขอบคุณกัน” เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอย่างจริงใจของเยี่ยหลีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ม่อซิวเหยาอดคิดไม่ได้ว่า การหาคนมาสอนเพลงกระบี่ให้เยี่ยหลีนั้นเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ตกเย็นงานเลี้ยงเริ่มขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแปลกๆ ตอนที่เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่นั้น สายตาทุกคู่ในตำหนักต่างจับจ้องมาที่นางโดยทันที ดูท่าการประลองในอุทยานเมื่อช่วงบ่ายคงทำให้เยี่ยหลีโด่งดังขึ้นมาไม่น้อย เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงบ่าย ไม่เพียงสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในอุทยานเท่านั้น ตอนนี้คนที่เข้ามาร่วมงานทุกคนต่างได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายกันหมดแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นมู่หรงถิงที่นั่งอยู่ข้างฉินเจิงขมวดคิ้วมองมาที่ตน รวมถึงสายตาชื่นชมที่ยากจะปกปิดได้ของสวีชิงเฟิงแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องสงสัยว่า เรื่องนี้คงได้เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าข่าวที่แพร่ออกไปว่าอย่างไรบ้างเท่านั้น จะว่าชายาติ้งอ๋องมีความสามารถทั้งด้านบู๊และบุ๋น หรือจะว่าชายาติ้งอ๋องโหดร้ายเสียจนทำให้องค์หญิงแคว้นซีหลิงที่แสนจะเอาแต่ใจต้องตกใจจนเสียน้ำตา
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อหลัง เยี่ยหลีก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
เมื่อกล่าวถึงงานเลี้ยงของวังหลวง ก็คืองานที่มีสุราและอาหารชั้นเลิศ พร้อมด้วยการแสดงร่ายรำอันงดงาม เยี่ยหลีได้ยินองค์ฮ่องเต้พูดคุยกับคณะทูตจากแต่ละแคว้นด้วยคำพูดตามมารยาท ได้ยินขุนนางข้างๆ พูดคุยกันเสียงเบา ระหว่างนั้นก็คีบอาหารที่ดูหน้าตาน่ากินมารับประทาน ถึงอย่างไรอาหารในงานเลี้ยงเช่นนี้ก็คงไม่อาจคาดหวังว่าจะกินให้อิ่มได้ ไว้กลับถึงตำหนักก่อนค่อยหาของว่างมื้อค่ำมากินก็แล้วกัน