ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย - ตอนที่ 335 ไปเล่นไพ่กับคุณ / ตอนที่ 336 ยากเกินจะรับไหว
- Home
- ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย
- ตอนที่ 335 ไปเล่นไพ่กับคุณ / ตอนที่ 336 ยากเกินจะรับไหว
ตอนที่ 335 ไปเล่นไพ่กับคุณ
เมื่อมาถึงโรงแรม เฉินฝานซิงและแต่ละคนก็ต่างก็ไปรับบัตรห้องของตัวเอง
“ฉันอยู่ห้อง 1208 คุณชายอิน คุณอยู่ห้องไหน” เฉินฝานซิงมองดูบัตรห้องในมือ ก่อนจะเอ่ยถามอินรุ่ยเจวี๋ยอย่างไม่มีท่าทีรีบร้อน
“ผมอยู่ห้อง 1606”
“อืม ยังดี ไม่ได้อยู่ไกลกันมากเท่าไหร่”
อินรุ่ยเจวี๋ยยกสองแขนขึ้นมากอดตัวเอง ทำสีหน้าป้องกันตัวมองไปยังเธอ “ต้าซิงซิง คุณคิดจะทำอะไรผมน่ะ”
“ไปเล่นไพ่กับคุณ คุณก็เรียกเพื่อนสาวๆ ของคุณมาด้ย ห้าทุ่มฉันจะไปหาคุณที่ห้อง เล่นสักครึ่งชั่วโมงค่อยกลับห้องนอน”
เฉินฝานซิงพูดพลางรับสวี่ชิงจือมาจากพนักงานต้อนรับ
“แค่ครึ่งชั่วโมงเองเหรอ” ครึ่งชั่วโมงจะไปสนุกอะไร อินรุ่ยเจวี๋ยผิดหวัง
“แค่ครึ่งชั่วโมง” น้ำเสียงของเฉินฝานซิงหนักแน่น ไม่มีอะไรให้โต้แย้ง
เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พนักงานคนนั้นรีบวิ่งออกไปแล้ว
คิ้วของเฉินฝานซิงขยับเล็กน้อยจนยากจะสังเกตได้
สวี่ชิงจืออยู่ห้อง 1003 ตอนที่ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นสิบ สวี่ชิงจือก็ปฏิเสธการดูแลปกป้องของเฉินฝานซิง เดินออกจากลิฟต์ไปอย่างซวนเซด้วยตัวคนเดียว
–
เมื่อเข้าห้องไป เฉินฝานซิงก็นั่งลงบนเตียง ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง สี่ทุ่มยี่สิบ
เธอนั่งอยู่อย่างนั้นบนเตียง ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น สายตาจดจ้องไปยังที่แห่งหนึ่งเป็นเวลานาน ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้น เลิกผ้าห่มบนเตียงออก ก่อนจะดึงผ้าปูเตียงออกมาแล้วออกแรงฉีกมันออกเป็นเส้นๆ
22.40 น
เสียงแตะบัตรเปิดประตูดังจากด้านนอก จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก
เฉินฝานซิงนอนอยู่บนเตียง สองมือกำผ้าห่มไว้แน่น พลางกลั้นหายใจ
ชายหนุ่มเดินมายังขอบเตียงทีละก้าว จนกระทั่งอีกฝั่งของเตียงค่อยๆ ยุบลงไป เธอหลับตาปี๋ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาจากเตียงในชั่วพริบตา แล้วล็อกข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้ เนื่องจากชุดราตรียาวเกินไป ขาทั้งสองข้างของเธอขยับได้ไม่คล่องตัวมากนัก เธอบิดตัวแล้วตีเข่าดันเอวของชายหนุ่มเอาไว้
ในขณะที่เธอคิดว่าฝ่ายตรงหน้าขัดขืนอะไรไม่ได้ มืออีกข้างของชายหนุ่มก็ยื่นเข้ามาจับเอวเธอเอาไว้ แล้วพลิกตัวทำให้เธอถูกกดไว้อยู่ใต้ร่างของเขา
เธอตื่นตระหนก วินาทีต่อมา กลิ่นที่คุ้นเคยก็ลอยเข้าจมูก ร่างกายที่แข็งเกร็งผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน
“คุณมาได้ยังไง”
ท่ามกลางความมืด เฉินฝานซิงมองดูชายหนุ่มที่อยู่บนร่างของตัวเอง ภายใต้น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกโชคดี
“คุณกลัวเป็นด้วยเหรอ”
ป๋อจิ่งชวนบีบคางที่เงาวาวของเธอ น้ำเสียงที่ห่อหุ้มความเย็นชาเอาไว้อยู่รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิมในค่ำคืนที่มืดมิด
“ยังดีที่เป็นคุณ”
มือที่วางอยู่บนคางบีบแน่นขึ้นกว่าเดิม น้ำเสียงก็แข็งกร้าวขึ้น
“ตัวเองตัวคนเดียวจะลุยเดี่ยวจัดการผู้ชายแปลกหน้าหนึ่งคน คุณนี่กล้าหาญไม่น้อยเลย”
เฉินฝานซิงไม่เคยได้ยินป๋อจิ่งชวนใช้น้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวขนาดนี้พูดกับเธอมาก่อน
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ เธอก็ไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด
กลับกัน ภายในของเธอกลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและโอนอ่อน
เธอรีบยื่นมือออกไปคล้องคอของป๋อจิ่งชวน “ขอโทษ ขอโทษ…”
เขาโกรธ แต่เธอดีใจ
เพราะเธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจริงๆ
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ป๋อจิ่งชวนถึงจะยอมปล่อยเธอ ก่อนจะออกไปก็กัดที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ หนึ่งที
จากนั้น ดูเหมือนจะยังไม่หายโกรธ “ถ้าไม่ใช่ผม คืนนี้คุณจะเป็นยังไง เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาใครรับผิดชอบ หืม? ทั้งๆ ที่ผมก็อยู่ที่นี่แท้ๆ คุณกลับทำอะไรตัวคนเดียวทุกอย่าง ไม่เห็นผมมีตัวตนเลยใช่ไหม”
ตอนที่ 336 ยากเกินจะรับไหว
“ไม่ใช่…”
เฉินฝานซิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี “ฉันเองก็…”
ป๋อจิ่งชวนแค่นหัวเราะเย็นชาด้วยความโกรธพลิกตัวแล้วลงมาจากร่างของเธอ
ไฟในห้องถูกเปิด เฉินฝานซิงหรี่ตาลงแล้วลุกขึ้นมานั่ง พลันหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู รูปร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสูทที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
เฉินฝานซิงนั่งกัดริมฝีปากอยู่บนเตียง พร้อมกับใช้มือลูบผมตัวเอง หันหน้าไปมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง เห็นเงาไม้เป็นจุดๆ แสงไฟสลัวส่องกระทบบนหน้าต่าง
ภายในห้องเงียบสงัด
ผ่านไปพักใหญ่
เสียงเบาบางของเฉินฝานซิงค่อยๆ ดังขึ้น “ฉันไม่ดีเอง ที่มองข้ามความรู้สึกของคุณ…”
เธอกะพริบตา พลางเบนองศาหน้าไปทางหน้าต่างมากขึ้นกว่าเดิม
“เรื่องนี้…” เฉินฝานซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง กล้ำกลืนความสะอื้นที่อยู่ในลำคอ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “…ยากเกินจะรับไหว ป๋อจิ่งชวน เรื่องนี้ สำหรับฉันแล้ว…มันยากเกินจะรับไหว…”
ร่างที่สูงตระหง่านของป๋อจิ่งชวนแข็งทื่อด้วยความตะลึง ก่อนจะค่อยๆ หันไป สายตายังคงไม่คลายความแข็งกร้าวและมืดหม่น
สิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในที่ไม่อาจพูดถึงมาเป็นเวลาหกปีเต็ม เวลานี้ ราวกับเธอกำลังตัดพ้อตัวเอง ความเจ็บปวดที่ความเงียบไม่อาจปิดบังได้พรั่งพรูออกมา
“ก่อนวันแข่งขันหนึ่งวัน เจียงหรงหรงให้ฉันสละศิษย์การแข่งขัน เธอบอกว่าความสามารถด้านเปียโนของฉันเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์มันอีก แต่เฉินเชียนโหรวหวังจะได้เป็นแชมป์ เธอบอกให้ฉันอย่าไปขวางทางเดินของเฉินเชียนโหรว ฉันไม่เห็นด้วย ฉันถูกตราหน้าว่าต่อต้านและอกตัญญู ฉันถูกเธอขังไว้ในห้องหนึ่งวันเต็มๆ วันรุ่งขึ้นเพราะกลัวว่าจะถูกปู่จับได้ก็เลยปล่อยฉันออกมา…”
พูดถึงตรงนี้ เฉินฝานซิงรู้สึกแสบจมูกมีอาการอยากร้องไห้ สองแขนกอดอก ครั้งนี้แม้แต่เสียงที่พูดก็สั่นไปด้วย
“ฉันต้องทนหิวเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ หลังจากที่ซื้อของกินก็เข้าไปในห้องพักเพื่อเพิ่มพลัง แต่ใครจะไปรู้ว่ากรรมการคนนั้นจู่ๆ จะเข้ามาหาฉันในห้องพัก…ตอนนั้นฉันยังเตือนให้เขาออกไปอยู่เลย ฉันบอกว่ากรรมการกับผู้เข้าแข่งขันเจอหน้ากันก่อนเริ่มการแข่งขันมีแต่ผลเสีย แต่เขากลับเข้ามากอดฉันอย่างกะทันหัน…”
น้ำเสียงของเฉินฝานซิงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ภายในเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสั่นคลอนเพราะความหวาดกลัว ป๋อจิ่งชวนตกตะลึง เขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอ แต่กลับเห็นใบหน้าด้านข้างของเธอที่กำลังซีดขาวราวกับกระดาษได้ลางๆ
“ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไง ฉันตะโกนเรียนคนมาช่วย เขาก็อุดปากฉัน ฉันดิ้นขัดขืน แต่ฉันไม่มีแรง ฉันผลักเขาออกไปไม่ได้…”
เฉินฝานซิงกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ความหวาดกลัวและความเสียใจถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ภายในใจ ในลำคอคล้ายกับมีเปลวไฟแผดเผาอยู่ ดวงตาคู่นั้นเห่อร้อน และน้ำตารื้นเต็มขอบตาในชั่วขณะ มือทั้งสองข้างของเธอกอดแขนของตัวเองไว้แน่น พลางเงยหน้าและกัดริมฝีปากฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ทว่า ร่างของเธอกลับถูกใครบางคนกอดไว้แน่น กลิ่นและอุณหภูมิที่คุ้นเคยทำให้น้ำตาที่กลั้นมาตลอดของเฉินฝานซิงไหลออกมาในชั่วพริบตา
“ตอนนั้นฉันกลัวมาก ป๋อจิ่งชวน ฉันกลัวมาก ไม่มีใครมาช่วยฉัน…คุณรู้ไหม ตอนนั้นที่นักข่าวบุกเข้ามากะทันหัน ฉันรู้สึกโชคดีแค่ไหน พวกเขามาช่วยฉันเอาไว้…”
“รูปที่พวกเขาลงไม่ผิดเลย…ตอนนั้นฉันทั้งเคยขอร้อง เคยอธิบาย แต่ว่าไม่มีใครเชื่อฉัน…ยากเกินกว่าจะทนไหว ตอนนั้นรูปพวกนั้นสกปรกน่ารังเกียจมากๆ…แต่ก็เป็นความจริงทั้งหมด…”
“ถึงแม้ซูเหิงตอนแรกไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันรับรู้ได้ จริงๆ แล้วตอนนั้นเขาถือสา ไม่มีผู้ชายคนไหนจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้…”
เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำทอดมองไปทางป๋อจิ่งชวน เธอออกแรงจับเสื้อของเขาเอาไว้พลาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะรีบร้อน “แต่ว่าป๋อจิ่งชวน ฉันไม่ได้ตั้งใจให้ผู้ชายคนนั้นมาแตะต้องฉันนะ…คุณ…ถือสาไหม”
“ผมถือ”