ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย - ตอนที่465ประเมินเธอสูงเกินไปตอนที่466หลังจากนั้นล่ะ
- Home
- ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย
- ตอนที่465ประเมินเธอสูงเกินไปตอนที่466หลังจากนั้นล่ะ
ตอนที่ 465 ประเมินเธอสูงเกินไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบเธอจึงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นที่เคยเปี่ยมไปด้วยแสงระยับยามที่เอ่ยถึงเพลงใหม่ของเธอที่สถานสงเคราะห์เด็กไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มาบัดนี้มันกลับไร้ชีวิตชีวา ห่อเหี่ยว และหม่นหมอง
คิ้วเรียวของเฉินฝานซิงขยับเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
“อยู่ในวงการบันเทิงมาสามปีกว่า คอยติดตามแม่เธอมาตั้งแต่เด็กๆ ใช่ว่าจะไม่รู้นี่ว่าวงการบันเทิงมันเป็นสถานที่แบบไหน แรงกดดันแค่นี้ก็รับไม่ไหวแล้วเหรอ ฉันประเมินเธอสูงไปจริงๆ”
เธอพูดออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงและไม่มีการไว้หน้าใดๆ ทั้งสิ้น
อีกอย่าง คนอย่างเฉินฝานซิงเองก็ปลอบใจใครไม่เป็น
เมื่อจี้อี้ได้ฟังคำพูดของเฉินฝานซิง แพขนตาของเธอก็พลันสั่นระริก ก่อนที่ใบหน้าซีดขาวจะถูกฉาบไปด้วยความขื่นขม
“ตอนนั้นฉันไม่ฟังคำเตือนของคุณ ปักใจฝากชีวิตไว้กับหลันอวิ้น เรื่องทั้งหมดนี่คุณทายถูกแทบจะทุกอย่าง ตอนนี้ฉันตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้ คุณคงคิดว่าฉันสมควรโดนแล้วใช่ไหม”
เฉินฝานซิงเดินไปหยุดลงตรงประตูทางเข้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูตรงอ่างล้างหน้าขึ้นมาโยนให้เธอ
เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น
“กลัวว่าความสงบสุขตลอดหลายปีมานี้ จะปลูกฝังให้เธอเคยชินและพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่! ก่อนหน้านี้ยังมีแม่ที่เป็นเหมือนผืนฟ้าคอยคุ้มกะลาหัวเธออยู่ พอหลังจากนั้นเธอก็หวังแต่จะพึ่งหลินสื่อเจียไปเสียหมดทุกอย่าง เธอไม่เคยต้องทุกข์ใจเรื่องอะไรเลย เพราะแบบนี้ไง ตอนนี้แค่อุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ เธอก็ยังผ่านมันไปไม่ได้เลย…”
จี้อี้กระชับผ้าขนหนูที่เฉินฝานซิงโยนมาให้เอาไว้แน่น แม้ใบหน้าจะไร้สีเลือดฝาด ทว่ากรอบตาของเธอกลับขึ้นสีแดงอย่างไม่น่าเชื่อ
“อุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ…” จี้อี้พูดเคล้าเสียงสะอื้น น้ำตาเธอไหลนองหน้า เธอช้อนสายตาขึ้นมองเฉินฝานซิงด้วยเนื้อตัวสั่นระริก
“นี่น่ะเหรออุปสรรคเล็กน้อย ใช่ ฉันยอมรับว่าตั้งแต่เล็กจนโตฉันคอยอยู่ใต้ปีกของแม่มาตลอด ฉันมันลูกแหง่ ฉันมันเอาแต่ใจ ฉันมันเหยาะแหยะไม่เอาไหน นอกจากเรื่องดนตรีแล้ว ฉันก็แทบจะไม่รู้อะไรเลย
หลังจากที่แม่จากไป ฟ้าของฉันก็พังครืนลงมา บนโลกใบนี้มีแค่หลินสื่อเจียที่ฉันจะพึ่งพาได้ เขาเป็นที่พึ่งเดียวที่ฉันมีอยู่บนโลกใบนี้ ฉันเชื่อใจเขาขนาดนั้น แต่มาตอนนี้เขากลับหวังจะขยี้ฉันให้ตาย!
ทั้งขโมยเพลง ไหนจะเรื่องที่เขาจะฟ้องฉันอีกล่ะ ตอนนี้ฉันเหลือตัวคนเดียวแล้ว ฉันอ่อนแอจนเคยตัว เอาแต่ใจจนเคยตัว แล้วจะให้ฉันทำยังไง นี่เรียกว่าอุปสรรคเล็กน้อยเหรอ คอมเมนต์ในเน็ตพวกนั้นล่ะ…คุณบอกฉันมาสิ ว่าบนโลกใบนี้ ยังเหลือที่ให้ฉันยืนอยู่อีกไหม”
“เพราะงั้นเธอถึงได้คิดสั้นใช่ไหม หลังจากที่เธอไปพบแม่ของเธอในอีกโลกหนึ่งแล้ว เธอก็จะได้บอกกับท่านว่า เธอแพ้ราบคาบ เธอจะขอโทษท่าน ขอโทษที่ท่านอุตส่าห์เลี้ยงดูเธอมา ขอโทษสำหรับความหวังที่ท่านมีต่อเธอ ความกดดันเธอสูงเกินไป เธอสู้ต่อไปไม่ไหว เพราะลูกศิษย์ของท่านหลอกใช้เพลงของเธอ และบีบคั้นเธอจนตาย อย่างนั้นถูกไหม”
“ท่านสอนดนตรีให้เธอ เพื่อให้เธอมีชีวิตต่อไป ให้เธอได้ใช้ชีวิตที่สดใสและสวยงาม! ไม่ได้ต้องการใช้ดนตรีทำลายชีวิตของเธอ!”
“หรือจะบอกว่าความรักในดนตรีของเธอจะมีเพียงเท่านี้ หรืออันที่จริงแล้ว ที่ใครๆ เขาว่ากันในเน็ตจะเป็นเรื่องจริง ที่แท้แล้วเพลงนั่นมันไม่ใช่ของเธอ”
ได้ฟังคำพูดเหล่านั้นของจี้อี้ ความปวดร้าวก็พาลผุดขึ้นกลางใจของเฉินฝานซิง แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่ฟังดูเอาแต่ใจ แต่ว่า…
มันต่างจากเธอเสียที่ไหน
ทั้งการถูกทรยศ ทั้งรสชาติของการถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง เธอผ่านมันมาหมดแล้ว
และหลังจากที่จี้อี้ได้ฟังคำพูดของเฉินฝานซิง เธอก็แข็งทื่อไปในทันที ก่อนจะสะบัดหน้าปฏิเสธ
“ไม่นะ! นั่นเป็นของฉัน มันเป็นของฉัน…มันเป็นเพลงที่ฉันอยากจะให้แม่มาโดยตลอด! ฉันอยากให้แม่รู้ ว่าฉันเข้าใจในสิ่งที่แม่เคยตรากตรำเพื่อฉันมาก่อนหน้านี้ ฉันไม่ได้โกรธแค้นแม่เลย ฉันจะพยายาม ฉันจะสร้างดนตรีที่ฉันชอบที่สุดออกมาให้ดีตลอดไป และจะแสดงให้แม่เห็นว่าฉันทำได้…”
ตอนที่ 466 หลังจากนั้นล่ะ
เฉินฝานซิงขำออกมาเบาๆ เธอเดินไปหยุดตรงเตียงเตาในห้องแล้วหย่อนตัวนั่งลงไป
“หลังจากนั้นล่ะ”
เสียงเรียบถามขึ้นอย่างกระชับถ้อยคำอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงประโยคคำถามแต่ก็แอบแฝงไปด้วยความเหน็บแนม
จี้อี้มองเธออย่างนิ่งอึ้ง เธอรู้ว่าคำพูดล้อเลียนของเฉินฝานซิงกำลังถากถางอะไรเธออยู่สักอย่าง
คงจะถากถางคำพูดที่เธอพร่ำเพ้อออกมาตั้งมากมาย ไหนจะเพื่อแม่บ้างล่ะ เพื่อพิสูจน์ตัวเองบ้างล่ะ เพื่อดนตรีที่เธอรักสุดหัวใจบ้างล่ะ แต่สุดท้ายเธอไม่ใช่แค่ทำเพลงของตัวเองหลุดมือไปเท่านั้น แต่ก็ยังไร้หนทางจะทวงมันคืนกลับมาได้อีก
จนสุดท้ายเธอกลับทำได้เพียงเลือกวิธีที่ขลาดเขลาที่สุด
หลังจากนั้นเหรอ
มันมีคำว่าหลังจากนั้นซะที่ไหนล่ะ!
จี้อี้ส่ายหน้าอย่างไม่รู้คำตอบ “ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไง! ฉันคนเดียวจะไปทำอะไรได้ เฉินเชียนโหรวยังมีหลานอวิ้นคอยอยู่เบื้องหลัง หลินสื่อเจียก็มีทั้งความนิยมและชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดหลายปี แล้วฉันมีอะไรล่ะ ฉันจะเอาอะไรไปสู้กับพวกนั้น”
เฉินฝานซิงเลิกคิ้วขึ้นสูง เธอมองสีหน้าสิ้นหวังและจนตรอกของจี้อี้ ก่อนจะพ่นลมหายใจทิ้งแล้วลุกยืนขึ้นจากเตียงเตา
“เช็ดตัวซะ ฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน”
น้ำเสียงของเฉินฝานซิงที่แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวย่อมยากจะปฏิเสธ
จี้อี้ช้อนศีรษะขึ้นมองเธอ ร่างนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายสง่างามและผึ่งผาย ผมยาวถูกรวบขึ้นสูงอย่างประณีต ดวงตาสุกใสเย็นชาไร้ความรู้สึก ใบหน้าขาวเนียนแฝงไปด้วยความสุขขุมและสง่าอย่างท่วมท้น
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเหม่อลอย เฉินฝานซิงก็แอบเป็นกังวลขึ้นมาในใจ เธอขมวดคิ้วมองตอบพร้อมเอ่ยถามเสียงเย็น “มองอะไร”
จี้อี้หลุดจากภวังค์ เธอหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาวางไว้บนศีรษะของเธอแล้วเอ่ยถามไปตามสัญชาตญาณ “คุณเป็นลูกครึ่งเหรอ”
คิ้วของเฉินฝานซิงยิ่งขมวดแน่นขึ้น ไม่รู้ว่าเหตุใดเธอจึงถามออกมาเช่นนั้น เสียงเรียบเอ่ยตอบ “ไม่ใช่” จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูออก ตอนนี้ฝนตกหนักด้านนอกซาลงแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ละอองฝนโปรยปราย
เมื่อเฉินฝานซิงขึ้นมาสตาร์ทรถ เธอก็เหลือบไปเห็นจี้อี้กำลังเปิดประตูหลังรถอยู่ เธอจึงรีบท้วงขึ้นทันใด “มานั่งข้างหน้า”
จี้อี้ทำตามอย่างว่าง่าย เธอปิดประตูหลังรถลงแล้วเดินมาเปิดประตูข้างที่นั่งคนขับก่อนจะนั่งลงไป
เฉินฝานซิงโยนแจ็คเก็ตสำรองไปไว้บนตักของเธอ
“รัดเข็มขัดซะ” เสียงเย็นกำชับขึ้นอีกครั้ง
จี้อี้ที่สวมแจ็คเก็ตเสร็จก็หันไปรัดเข็มขัดอย่างเงียบๆ
จากนั้น เฉินฝานซิงจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวรถออกจากลานของบ้านพัก
กลางดึกในชานเมือง หลังจากที่ผ่านฝนตกหนัก เสียงกบเขียดโหมดังขึ้นเป็นระรอก อากาศที่มีความชื้นแทรกซึมไปทั่วทุกอณู คละเคล้ากับกลิ่นอายจากน้ำทะเลและพืชพันธุ์ชวนให้รู้สึกดี
ระหว่างทางจากชานเมืองสู่ใจกลางเมือง เฉินฝานซิงค่อยๆ ลดกระจกลงช้าๆ
สายลมหนาวเหน็บผสมความชื้นได้ไหลบ่าเข้ามาในเสี้ยวนาที
จี้อี้หันมองเธออย่างไม่เข้าใจ
“ในโลกนี้ไม่มีใครที่จากไปแล้วทำให้เธออยู่ต่อไปไม่ได้! ชีวิตเป็นของเธอ อยากจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง มันเป็นเรื่องของเธอคนเดียว พึ่งใครก็ไม่สู้พึ่งตัวเองหรอกนะ”
จี้อี้ผินหน้ามองเธอ เฉินฝานซิงทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ที่ฉันพูดมานี่ ไม่ได้จะให้เธอปิดใจไม่ไปพึ่งคนอื่น ไม่ให้ไปไว้ใจคนอื่น ฉันคิดว่ายังไงคนเราก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน แต่ในขณะที่เธอไปพึ่งพาคนอื่น ไว้ใจคนอื่น เธอก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะให้คนอื่นพึ่งพาเธอและเชื่อใจเธอด้วย! เปลี่ยนตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นสักหน่อย เมื่อถึงวันที่อีกฝ่ายตีจากไป เธอก็จะได้มีความสามารถที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้เหมือนกัน”
จี้อี้ฟังคำของเฉินฝานซิงไปเงียบๆ ความประหลาดใจได้ก่อเกิดขึ้นในใจเล็กน้อย แม้ว่าสีหน้าของเธอจะดูเรียบเฉย แต่เธอกลับสัมผัสได้ว่าทุกอย่างที่เธอพูดออกมาล้วนมาจากใจจริง
แต่ว่า…