ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 123 กลับเข้าจวนฉังซิงโหวอีกครั้ง
เจียงซื่อส่งอาเฟยไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนซุ่นเทียน ไม่นานก็ได้รับข่าวว่า นายท่านฉือมาตีกลองร้องทุกข์แล้ว
วันถัดมา อาเฟยก็มารายงานอีกว่า “ใต้เท้าเจินไปที่จวนฉังซิงโหวแล้ว”
เจียงซื่อประหลาดใจ
จากการติดต่อของวัดหลิงอู้จะเห็นว่าใต้เท้าเจินไม่ใช่คนบุ่มบ่ามและไร้แผนการ เขาไม่กลัวการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรอกหรือ
ไม่สิ ใต้เท้าเจินมาถึงบ้านในเวลานี้ก็มีเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว
เจียงซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิด หมุนถ้วยชาในมือโดยไม่รู้ตัว
อาเฟยไม่กล้ารบกวน เขายืนอยู่ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบ
หลังจากทำงานให้เจียงซื่ออยู่หลายครั้ง ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีนั้นลึกลับและคาดเดาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการสำรวมต่อหน้านาง
“มีความผิดปกติใดๆ ที่จวนซุ่นเทียนหรือไม่” เจียงซื่อไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของเจินซื่อเฉิง จึงถามออกไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่มีอะไรผิดปกติ ที่นั่นคึกคักมาก ต่างกําลังยุ่งอยู่กับคดีของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ ขอรับ” เจียงซื่อถามแบบสบายๆ อาเฟยก็ตอบแบบสบายๆ
เจียงซื่อพลันตะลึงงัน คิดออกทันที
นางรู้แล้ว การที่ใต้เท้าเจินไปจวนฉังซิงโหวครั้งนี้จะต้องไปในนามการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’
ถึงตอนนี้ เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะชื่นชมใต้เท้าเจินผู้นี้
การที่ทั้งสองคดีมาร่วมกันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวแต่เขากลับใช้คดีหนึ่งมาเยี่ยมเยียนเพื่อปกปิดเจตนารมณ์ที่แท้จริง!
ใต้เท้าเจินช่างร้ายกาจยิ่งนัก
เมื่อกลับมาถึงเรือนไห่ถัง เจียงซื่อพลิกบัตรเชิญออกมา
นี่เป็นเทียบเชิญที่เจียงเชี่ยนส่งมาส่งมาในวันที่สองหลังจากมาถึงเมืองหลวง วันที่จวนฉังซิงโหวจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้มีกําหนดไว้วันนี้
วางแผนมาตั้งนาน แน่นอนว่าเจียงซื่อต้องคอยจับตาดูด้วยตนเองจึงจะวางใจ ได้ หากใต้เท้าเจินไม่พบเบาะแส นางก็ยังสามารถหาวิธีปลุกเบาะแสให้ฟื้นได้
คนที่ได้รับเทียบเชิญมีคุณหนูสามเจียงเชี่ยว คุณหนูห้าเจียงลี่และคุณหนูหกเจียงเพ่ย
เจียงเพ่ยแต่งตัวอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นเจียงซื่อปรากฏตัว ก็เบ้ปากหัวเราะเยาะ “ข้านึกว่าพี่สี่จะไม่อยากไปเสียอีก”
ฮึ่ม ทำเป็นอวดดีขนาดนี้ ยังมาอยู่ที่นี่อีก
เจียงเชี่ยวปรากฏตัวตามหลังมาติดๆ เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมน้องหกถึงพูดจาเชือดเฉือนเช่นนี้ ไม่รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่หรอกหรือ”
“ทำไมพวกท่านถึงเอาแต่จะเข้าหานาง” เจียงเพ่ยทั้งโกรธทั้งโมโห
พี่สามก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย ให้สาวรับใช้มาบอกว่าไปไม่ได้แล้ว แต่ก็กลับตามมาอีก มิหนำซ้ำยังเป็นพวกเดียวกับพี่สี่อีก น่าโมโหจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ถลึงตาใส่เจียงลี่
ไม่ว่าอย่างไรพี่ห้ากับนางก็เป็นบ้านเล็ก แต่เวลาแบบนี้กลับทำเหมือนเป็นคนใบ้ ทำตัวเป็นคนดี
แม้ว่าเจียงซื่อจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจียงเพ่ย แต่แม้นกกระจอกร้องเจี๊ยวจ๊าวก็ทำให้คนรําคาญได้ จึงเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “ข้าล่วงเกินน้องหกด้วยเรื่องใดกระนั้นหรือ”
เจียงเพ่ยชะงักไปชั่วขณะ
เดิมทีนางกับเจียงซื่อไม่เกี่ยวข้องกัน หากจะบอกว่าล่วงเกินก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เจียงซื่อล่วงเกินท่านแม่ใหญ่
นางรู้ดีว่าท่านแม่ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ถือสาหาความหลานสาว แต่กลับโกรธเคืองในใจ
นางออกหน้าว่าไม่พอใจเจียงซื่อ แน่นอนว่านี่จะสามารถประจบประแจงแม่ใหญ่ได้
เจียงเพ่ยนึกถึงรอยยิ้มของท่านแม่ใหญ่ที่มีต่อนาง อีกทั้งยังแต่งหน้าหนาให้ทุกวัน ไหนเลยจะสนใจว่าเจียงซื่อจะคิดอย่างไร
เห็นเจียงเพ่ยไม่พูดอะไร เจียงซื่อยิ้มเยาะ “ไม่มีใช่ไหม”
จู่ๆ นางก็ยื่นมือออกไป นิ้วเรียวงามของนางเชิดคางของเจียงเพ่ยขึ้น กล่าวเสียงเย็นเยือกว่า “แม้ข้าจะไม่ได้ล่วงเกินน้องหก แต่ข้าเคยล่วงเกินอาสะใภ้รอง น้องหกเป็นปรปักษ์กับข้า ย่อมไปขอความโปรดปรานจากอาสะใภ้รองได้ ข้าพูดถูกหรือไม่”
เจียงเพ่ยไม่เคยคิดเลยว่าเจียงซื่อจะพูดออกมาตรงๆ เบือนหน้าหนีแล้วพูดด้วยความโกรธ “พี่สี่ ท่านพูดเช่นนี้กับท่านแม่ของข้าได้อย่างไร หรือท่านคิดว่าท่านแม่ของข้าเป็นคนใจแคบและเข้ากับคนรุ่นหลังไม่ได้ ที่นี่มีคนฟังอยู่ตั้งเยอะ!”
สี่พี่น้องมารวมตัวกันที่ศาลา ข้างกายมีสาวรับใช้และคนเดินผ่านไปมา เมื่อเจียงเพ่ยโวยวายเช่นนี้ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เจียงซื่อ
แต่เจียงซื่อกลับทำหน้าเรียบเฉย เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ข้าพูดเช่นนี้เพราะคําพูดและการกระทำจากน้องหกทำให้ข้ารู้สึกเช่นนี้ เจ้าเป็นบุตรสาวของบ้านเล็ก อาสะใภ้รองเป็นที่แม่ใหญ่มีความรับผิดชอบในการอบรมเลี้ยงดูเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ากินข้าวโตมาจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าฐานะสูงต่ำ ดังนั้น…”
เจียงซื่อมองเหล่าบ่าวไพร่ที่เงี่ยหูฟังเรื่องซุบซิบนินทาแวบหนึ่ง กวาดสายตามองคนพวกนั้นแล้วก้มหน้าลง
“ดังนั้น หากเจ้ายังทำตัวโอหังเช่นนี้ อีกหน่อยข้าคงคิดว่าอาสะใภ้รองจงใจตามใจเจ้า จิตใจคับแคบจงใจหาเรื่องกับเด็กอย่างข้า!”
เสียงของหญิงสาวนั้นไพเราะ แต่เพราะเสียงที่อ่อนโยนตามธรรมชาติของนางไม่แสบแก้วหู กลับกันนางกลับรู้สึกราวกับไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมาบนจานหยก
เจียงเพ่ยตะลึงงัน
นางกล้าแสดงท่าทีเป็นคนพาลต่อหน้าผู้คนมากมายได้อย่างไร ไม่กลัวที่จะเสียชื่อหรอกหรือ
เจียงซื่อตบแก้มเจียงเพ่ยเบาๆ แฝงไว้ด้วยความดูแคลนและคําตักเตือน “จําไว้นะ หากยังทำให้ข้าไม่มีความสุขอีก ข้าจะพาเจ้าไปพูดต่อหน้าอาสะใภ้รอง ดูสิว่าถึงเวลานั้นอาสะใภ้รองยังจะยอมทำเพื่อเจ้าไหม””
เจียงเพ่ใบ้รับประทานทันที
ถ้าเจียงซื่อไปหาท่านแม่ใหญ่จริงก็จะทำให้ท่านแม่ใหญ่เสียหน้า มีหรือจะเป็นผลดีต่อบุตรีอนุอย่างนาง
ตลอดทางเจียงซื่อมีความสุขกับความสงบอย่างหาได้ยาก เมื่อลงจากรถ เจียงเชี่ยวก็ดึงนางแล้วกระซิบว่า “น้องสี่ เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มา เจ้าเป็นอะไรไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าซื่อจื่อจวนฉังซิงโหวไม่ใช่ตัวดี ยังกล้าเอาตัวเองเข้าไปติดร่างแหอีก?”
เจียงซื่อรู้สึกอบอุ่นในใจ
เดิมทีเจียงเชี่ยวไม่อยากมา พอได้ยินว่านางมา จึงตามมาด้วย
นางกํามือเจียงเชี่ยวไว้แน่น เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่สามวางใจเถอะ คนหว่านแหต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ”
เจียงเชี่ยวเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ เห็นคนอยู่รอบข้างเยอะมาก จึงได้แต่ปิดปากเงียบ
อากาศเริ่มร้อนขึ้น งานเลี้ยงชมดอกไม้ก็จัดอยู่ในสวนของจวนโหว เมื่อเจียงซื่อสองพี่น้องมาถึงที่นั่นก็มีสตรีสูงศักดิ์อยู่ไม่น้อยมารวมตัวกันเพื่อชมดอกไม้
แน่นอนว่าพวกเขามาชมดอกโบตั๋น
ฤดูกาลดอกโบตั๋นบานได้ผ่านพ้นไปแล้ว และดอกโบตั๋นจากที่อื่นเหี่ยวเฉาไปนานแล้ว แต่ดอกโบตั๋นของจวนฉังซิงโหวยังคงบานสะพรั่งราวกับต้องรวบรวมกําลังทั้งหมดเพื่อเบ่งบานให้เกิดความงดงามสุดท้าย
เจียงซื่อยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกเพียงว่าความเย็นแผ่ซ่านขึ้นมาจากฝ่าเท้า แม้แต่เจียงเชี่ยนที่ยิ้มทักทายอย่างอ่อนโยนก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับ
ดอกโบตั๋นแปลงนั้นย้ายที่ใหม่แล้ว!
นางจําได้ดีว่าตำแหน่งของแปลงดอกโบตั๋นในตอนนั้นได้ย้ายขยับไปจากที่เดิมไปทางทิศตะวันออกหนึ่งจั้ง แต่ยามนี้กลับเต็มไปด้วยดอกไม้และหญ้าชนิดอื่น
อย่าดูถูกระยะทางหนึ่งจั้งนี้
แค่ไกลจากที่เดิมเพียงเส้นผมเดียวก็เหมือนกับห่างกันพันลี้ หากใต้เท้าเจินขุดดินจากที่ใดในตอนนี้ ก็จะไม่สามารถขุดศพขึ้นมาได้
สิ่งที่ทำให้เจียงซื่อตกใจยิ่งกว่าคือสาเหตุที่แปลงดอกโบตั๋นได้ขยับไปจากที่เดิมนั้นเป็นเพราะ…ซื่อจื่อฉังซิงโหวรู้ว่านางรู้ความจริงแล้ว?
เจียงซื่อคิดอย่างรวดเร็ว รีบปฏิเสธการคาดเดานี้
ไม่น่าเป็นไปได้ หากซื่อจื่อฉังซิงโหวคิดว่านางรู้ความจริง ต่อให้เป็นคนใจกล้าเพียงใด เวลานี้ก็ไม่ควรจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ให้นางมาที่จวนโหว
ใช่งานเลี้ยงชมดอกไม้!
เจียงซื่อเข้าใจในทันที
ที่ขึ้นชื่อที่สุดของสวนตระกูลโหวก็คือดอกดอกโบตั๋นแปลงนี้ เมื่อจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้จบ เหล่าสตรีชั้นสูงทั้งหลายล้วนมากันที่นี่
กินปูนร้อนท้อง ฉังซิงโหวซื่อจื่อกังวลว่าคนจะมีสายตาสอดส่ายไปมาจนไปพบความผิดปกติเข้า จึงแอบย้ายตำแหน่งของดอกโบตั๋นไป
ไม่ได้ นางต้องคิดหาวิธีที่จะแจ้งใต้เท้าเจินให้ทราบ!
ในเวลานี้ฉังซิงโหวกําลังต้อนรับเจินซื่อเฉิงที่ห้องโถงใหญ่