ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 143 ผู้ชนะ
เมื่อเสียนเฟยได้ยินก็ชะงักฝีเท้า
ขณะนี้นางกำลังร้อนใจ แสดงความยินดีอะไรกัน พานไพ่คงไม่ได้กำลังพูดประชดนางใช่หรือไม่
แม้จะรู้ดีว่าพานไห่ไม่สามารถล้อเล่นไร้สาระเช่นนั้นได้ แต่เสียนเฟยก็อดโมโหไม่ได้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พานกงกง มิทราบว่าแสดงความยินดีด้วยเหตุอันใดกัน”
พานไห่ที่เพิ่งถูกจิ่งหมิงตี้ทำให้สับสนเมื่อครู่อยากให้ผู้อื่นได้ลิ้มลองรสชาตินั้นดูบ้าง เขาจึงยิ้มและค้อมตัวคำนับพลางเอ่ย “เสียนเฟยเหนียงเหนียงคงยังมิทราบ เมื่อครู่ฮ่องเต้เพิ่งมีรับสั่งให้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดขึ้นเป็นเยียนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ…”
พูดยังไม่ทันจบ เสียนเฟยก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ “พานกงกงคงมิได้หลอกให้ข้าดีใจใช่ไหม”
“ไอหยา เสียนเฟยเหนียงเหนียง ต่อให้กระหม่อมจะใจกล้าแค่ไหนก็มิบังอาจหลอกให้พระองค์ดีใจเล่นเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคือกระหม่อมมิอาจทนรับโทษของการเอ่ยอ้างราชโองการเท็จได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นเยียนอ๋องจริงๆ งั้นหรือ”
“จริงอย่างที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยผงะถอยหลังไปพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตนเอง
“เสียนเฟยเหนียงเหนียง กระหม่อมต้องรีบไปแจ้งราชโองการก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเห็นว่าพานไห่กำลังจะไป เสียนเฟยที่เพิ่งได้สติกลับมาจึงรีบเอ่ยว่า “พานกงกง ช้าก่อน!”
“เสียนเฟยมีสิ่งใดเชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยรีบยัดแหวนทองใส่มือพานไห่พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นให้ห้องทรงพระอักษร เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงมีรับสั่งแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นเยียนอ๋อง”
พานไห่รีบยัดแหวนทองเข้าไปในแขนเสื้อของตนก่อนจะยิ้มและเอ่ยว่า “เสียนเฟยอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำได้เพียงเอ่ยแสดงความยินดีกับพระองค์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงพระอักษรนั้น กระหม่อมมิอาจกราบทูลได้พ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่เป็นคนโปรดของจิ่งหมิงตี้เพราะเป็นคนระมัดระวังในการพูด เสียนเฟยจึงทำได้เพียงมองดูพานไห่ค่อยๆ เดินจากไป ในใจของนางรู้สึกเหมือนถูกอุ้งเท้าแมวขยุ้มก็ไม่ปาน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปที่ห้องทรงพระอักษรอีก
เพราะไม่ว่าอย่างไรองค์ชายเจ็ดก็เป็นบุตรของนาง เมื่อลูกชายถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง สำหรับผู้เป็นมารดาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี
การที่เสียนเฟยไม่ไปพบอวี้จิ่นสาเหตุหนึ่งมาจากไม่ได้มีความรู้สึกพิศวาสใดๆ เนื่องจากไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่อวี้จิ่นเกิด จิ่งหมิงตี้ก็ล้มป่วยด้วยอาการร้ายแรง ฉะนั้นผู้คนจึงพากันคิดว่าฮ่องเต้จะต้องจงเกลียดจงชังโอรสองค์นี้อย่างแน่นอน ทำให้นางต้องพลอยตกเป็นขี้ปากคนอื่นไปด้วย
ประเด็นที่เหล่าสนมชอบแอบนินทากันมากที่สุดคือ เสียนเฟยมีบุตรชายสองคนแล้วดีอย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งก็เป็นเภทภัยต่อฮ่องเต้ สู้ไม่มีเลยยังดีเสียกว่า
แต่พอมาวันนี้ ลูกชายที่ถูกหาว่าเป็นเภทภัยต่อฮ่องเต้กลับถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง เหล่าสนมที่ไม่มีบุตรชายเลยสักคนจึงทำได้เพียงไปร้องไห้อ้อนวอนกับจันทราเท่านั้น
ว่าแต่ฮ่องเต้ทรงกำลังมีแผนการอะไรอยู่กันแน่ ในเมื่อเห็นชัดๆ ว่าชายเจ็ดก่อเรื่อง แต่เหตุใดถึงยังแต่งตั้งขึ้นเป็นอ๋อง
เสียนเฟยมัวแต่คิดในขณะที่กำลังเดินจนเกือบสะดุดล้ม นางไม่กล้าด่วนสรุปจึงกลับไปตั้งหลักที่ตำหนักของตัวเองก่อน
ทันทีที่คำสั่งของจิ่งหมิงตี้ถูกถ่ายทอดออกไป ทั้งวังหลังก็แทบจะลุกเป็นไฟ
“ฮ่องเต้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดขึ้นเป็นอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ก็ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าหนิงเฟยเข้าไปในห้องทรงพระอักษรแล้วฮ่องเต้ก็ทรงมีราชโองการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดออกมา”
“หึ ไม่นึกมาก่อนว่าหนิงเฟยจะเป็นคนที่ตอบแทนความชั่วด้วยความดี”
“ตอบแทนความชั่วด้วยความดี? ข้ายอมเชื่อว่าองค์ชายเจ็ดเกิดจากหนิงเฟยยังดีเสียกว่า”
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งพระราชวัง ยิ่งมีคนเอาไปพูดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไกลความจริงออกไปเท่านั้น ด้านหนิงเฟยก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือด
ไม่นานก็มีขันทีนำข้าวของมีค่าจำนวนมากเข้ามา พลางบอกว่าเป็นรางวัลที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้
เมื่อขันทีเดินออกไป หนิงเฟยก็เตะข้าวของเหล่านั้นจนกระจัดกระจายไปทั่ว แต่ครั้งนี้กลับไม่กล้าเข้าไปคิดบัญชีกับจิ่งหมิงตี้อีกแล้ว
พฤติกรรมของฮ่องเต้ยากเกินจะคาดคะเน หากนางเผลอทำสิ่งใดจนส่งผลดีกับเด็กป่าเถื่อนนั่นอีก นางคงไม่อาจทนมีชีวิตต่อไปได้อีกแล้ว
ส่วนนางสนมคนอื่นๆ ที่วางแผนจะเข้าไปร้องเรียนกับฮ่องเต้ก็มิกล้าปริปากส่งเสียงใดๆ เช่นกัน
สถานการณ์ช่างซับซ้อนเหลือเกิน รอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ จะปลอดภัยที่สุด
ในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงตี้นั่งพิงพนักเก้าอี้พลางพลิกดูตำราตรงหน้าอย่างผ่อนคลาย
เฮ้อ ในที่สุดโลกก็สงบลงเสียที
ณ ฝ่ายข้าราชการพลเรือน องค์ชายหลายพระองค์ถูกขังอยู่ในห้องเปล่า บรรยากาศภายในนั้นกำลังคุกรุ่นได้ที่
“เจ้าเจ็ด เจ้าสร่างเมาหรือยัง” องค์ชายห้าจ้องเขม็งไปที่อวี้จิ่นพลางถามด้วยสีหน้าดุดัน
อวี้จิ่นหัวเราะพลางเอ่ย “พี่ห้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้เมาเสียหน่อย”
องค์ชายห้าจับจุดอ่อนของอวี้จิ่นได้จึงหัวเราะร่าก่อนจะเอ่ย “ยามอยู่หน้าเสด็จพ่อ เจ้าบอกว่าดื่มไปมาก แต่พอมาตอนนี้เจ้าบอกว่าไม่ได้เมา เจ้าเจ็ด นี่เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงเชียวนะ!”
อวี้จิ่นเลิกคิ้ว เขาสงบสติได้ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับท่าทีวู่วามขององค์ชายห้า “ดื่มสุราไปสองไหใหญ่ๆ ไม่เรียกว่าดื่มมากเหรอ ข้าบอกว่าดื่มไปมาก มิได้บอกว่าเมาเสียหน่อย”
“เจ้า…” องค์ชายห้าโกรธจนแทบคลั่ง กำหมัดแล้วพุ่งตัวไปทันที
เหล่าองค์ชายรีบเข้ามาห้ามองค์ชายห้าเอาไว้
“น้องห้า พวกเราถูกขังอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว หากเจ้ายังจะทะเลาะกันอีก คงไม่เพียงต้องรอให้ครบสามวันถึงจะออกไปได้แล้ว”
ห้องฝ่ายข้าราชการพลเรือนสามารถทำให้เหล่าองค์ชายซึ่งเป็นทายาทของฮ่องเต้รู้สึกหวั่นเกรงได้ หากเสด็จพ่อไม่มีรับสั่งว่าสามวันถึงจะออกไปได้ ป่านนี้พวกเขาคงต้องนั่งน้ำตานองกันแล้ว
“จริงด้วย พี่ห้า ท่านใจเย็นๆ ก่อนเถิด” องค์ชายแปดพยายามโน้มน้าวองค์ชายห้า และชำเลืองมองไปที่อวี้จิ่นก่อนจะเยาะเย้ยออกมาว่า “สนใจคนประเภทนี้รังแต่จะทำให้สถานะของตัวเองต้องเสื่อมเสีย!”
“เอ่อ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ในสถานะอะไร ส่วนข้าอยู่ในสถานะอะไร” อวี้จิ่นเอ่ยเสียงเบา
คิดจะมาปะทะฝีปากกับเขางั้นหรือ ไม่ว่าจะด้วยมือหรือด้วยปาก หากแพ้ก็อย่ามาเรียกเขาว่าอวี้จิ่น!
องค์ชายแปดหัวเราะหึๆ “พี่ห้า ท่านเห็นหรือยังว่าคนพวกนั้นยังไม่สำเหนียกตัวเองเสียด้วยซ้ำ นี่ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ยังทำตัวเองเป็นองค์ชายกำพร้าอยู่ได้ จะว่าไปแล้ว ไม่รู้จักละอายบ้างหรือไง”
องค์ชายห้าหัวเราะร่า “ก็ถ้ารู้จักละอายจะกล้ามาสร้างเรื่องขายหน้าที่วังฉีอ๋องเหรอ”
“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ” อวี้จิ่นทำทีรู้แจ้ง
ทั้งหมดจึงหันมามองเป็นตาเดียว
อวี้จิ่นพิงกำแพงเย็นเฉียบและเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องภูมิใจที่ว่ากันมาตั้งนานสองนานที่แท้ก็หมายถึงสถานะอ๋องนี่เอง เพียงแต่ข้ามีเรื่องคาใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า ชีวิตที่เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ แต่กลับได้ตำแหน่งมาเมื่ออายุครบสิบหกปีมันน่าภูมิใจตรงไหนหรือ”
คำถามนั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นกระอึกกระอักขึ้นมาทันที
พวกเขาเคยได้ยินมาว่าชายเจ็ดเป็นผู้มีบารมีในกองทัพทางใต้ แต่มันแล้วยังไงกัน
พวกเขาต่างก็เป็นองค์ชาย หากขาดความทะเยอทะยานแล้วไซร้ก็คงชวดตำแหน่งอ๋องไปชั่วชีวิต แต่ต่อให้มีความทะเยอทะยานต่อสู้ดิ้นรนก็ยังได้แค่ตำแหน่งนั้น แต่ว่าใครกันล่ะที่จะได้เป็นผู้นำทัพยามออกรบ
การมีบารมีในกองทัพหรือจะสู้การมีตำแหน่งอยู่ในใจของเสด็จพ่อ
แต่ไม่ว่าจะมีความเห็นอย่างไร หากจะพูดแล้ว การได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นอ๋องตามขั้นตอนก็ไม่มีสิ่งใดน่าภาคภูมิใจเลยสักนิด
องค์ชายแปดไม่ยอมปล่อยให้อวี้จิ่นเหนือกว่าจึงเยาะเย้ยขึ้นว่า “หากเปรียบเทียบกับเจ้าก็ดีกว่าหมดแหละ เจ้าน่ะ แค่คุณภาพสมบัติจะเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ยังไม่มีเลย”
“เจ้าแปด…” องค์ชายหกเอ่ยขึ้น
ต่อให้จะโจมตีชายเจ็ดอย่างไรก็ไม่ควรทำให้พวกเขาพลอยถูกหางเลขไปด้วยจริงไหม อะไรคือคุณสมบัติในการเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ พูดจาน่าเกลียดสิ้นดี
ครั้นองค์ชายแปดรู้ตัวจึงรีบหันไปส่งยิ้มให้องค์ชายหกทันที
อวี้จิ่นชำเลืองมอง เขาคร้านจะใส่ใจกับคนพวกนี้เต็มทน
สิ่งใดที่เขาต้องการ เขาก็จะลงมือทำด้วยตัวเอง!
“ทำไม ไม่มีอะไรจะพูดแล้วงั้นเหรอ” องค์ชายแปดถามขึ้นอย่างเยาะเย้ยเมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นไม่ตอบโต้
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเรียงแถวเข้ามา คนที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่ที่หัวแถว หลังจากที่ทำความเคารพเหล่าองค์ชายแล้วก็หันไปเอ่ยกับอวี้จิ่นว่า “องค์ชายเจ็ด โปรดลุกขึ้น คนเหล่านี้จะวัดตัวสำหรับตัดฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นยืนขึ้นไร้สุ้มเสียง ทุกคนในที่นั้นต่างฉงนงงงวยกันเป็นแถว
“วัดตัวตัดชุดทำไมกัน” องค์ชายห้าอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
หัวหน้าคนนั้นรีบตอบ “ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เตรียมชุดพิธีการให้องค์ชายเจ็ดสำหรับเข้าพิธีแต่งตั้งพ่ะย่ะค่ะ”