ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 158 บุตรชายไม่ได้เรื่อง
บริเวณที่เจินเหิงยืนอยู่นั้นมีต้นหอมหมื่นลี้อยู่ต้นหนึ่งซึ่งบัดนี้ยังไม่ถึงฤดูออกดอก สายลมพัดผ่านมา ทำให้ใบไม้ส่งเสียงดังกรอบแกรบ ดุจว่ากำลังหัวเราะเยาะความรู้สึกในใจของเขาขณะนี้
ดูจากภายนอกแล้วเจินเหิงยังคงมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แต่ในใจนั้นได้แต่นึกกลอกตาไปมา
เหตุใดสตรีคนที่ท่านพ่อถูกชะตาด้วย จึงจะต้องให้เขาเป็นคนไปแต่งงานและพากลับที่จวนเล่า!
เป็นบุตรเขานี่มันช่างน่าสงสารเหลือเกิน อีกทั้งไม่อาจจะปฏิเสธหรือโต้เถียงออกไปได้ เช่นว่าในเมื่อท่านพ่อถูกชะตากับนาง เหตุใดจึงไม่แต่งนางกลับมาเองเล่า! แต่หากเขาพูดเช่นนั้นแล้วเรื่องไปถึงหูท่านแม่ คนที่ซวยก็ยังคงเป็นเขาอยู่ดี
“ท่านพ่อขอรับ ลูกยังเด็กอยู่และตั้งใจเพียงร่ำเรียนตำราให้ดีเท่านั้น บัดนี้ยังไม่คิดเรื่องตบแต่งภรรยาหรอกขอรับ”
เจินซื่อเฉิงใช้ด้ามพัดเคาะเข้าไปตรงกลางฝ่ามือ ขมวดคิ้วเข้าหากันกล่าวว่า “เจ้าคิดมากไปหรือไม่ พ่อเพียงแค่จะทำการหมั้นหมายพวกเจ้าเอาไว้ก่อน เรื่องการแต่งงานนั้นจะต้องรอให้เจ้าสอบติดมีตำแหน่งเสียก่อนค่อยว่ากัน”
เจ้าหมอนี่คิดมากไปจริงๆ บัดนี้เงินจะกินจะใช้ยังต้องขอจากพ่อแม่ คิดจะกอดภรรยาแล้วหรือ
เจินเหิงนำมือขึ้นลูบจมูกตนเอง
ท่านพ่อเจ้าเล่ห์เหลือเกิน จัดการยากสิ้นดี!
“ลูกกลัวว่าอาจจะสอบไม่ติด ซึ่งอาจทำให้แม่นางผู้นั้นต้องเสียเวลา”
เจินซื่อเฉิงจ้องเขาตาเขม็ง “เช่นนั้นคนที่ไม่มีตำแหน่งใดก็ไม่อาจแต่งงานได้อย่างงั้นหรือ! พ่อและแม่เจ้าเมื่อครั้งแต่งงานกันยังมิได้มีตำแหน่งใดเสียด้วยซ้ำ แต่บัดนี้พ่อก็ได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสามแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านพ่อ เมื่อตอนที่ท่านแต่งงานอายุปาเข้าไปยี่สิบกว่าแล้ว แต่บัดนี้ลูกเพิ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น!”
เจินซื่อเฉิงใช้ด้ามพัดเคาะไปที่ศีรษะของเจินเหิง ก่อนจะตำหนิติเตียนด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เจ้ายังกล้ามาเถียงข้าอีก!”
เจินเหิง “…” เถียงสู้ไม่ได้ก็ใช้กำลัง นี่สิหนาจึงจะเป็นพ่อที่แท้จริงของเขา
“ใต้เท้าขอรับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาด้วยอาการหอบเหนื่อย
เจินซื่อเฉิงยืนเอามือไขว้หลังแล้วหันกลับไปถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”
แท้จริงแล้วแม้ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ว่าต้องมีคดีใหม่อย่างแน่นอน
เจ้าหน้าที่นายนั้นรีบตอบกลับไปว่า “ใต้เท้าขอรับ หย่งชังปั๋วซื่อจื่อเดินทางมาร้องทุกข์ กล่าวว่าหย่งชังปั๋วฮูหยินถูกคนใช้เชิงเทียนทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต…”
ต่อให้เจินซื่อเฉิงจะเป็นคนหนักแน่นและวางท่าเสียเพียงใด เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
การที่ปั๋วฮูหยินถูกคนลอบฆ่าไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน
เนื่องจากคดีค่อนข้างใหญ่และสำคัญ ดังนั้นเจินซื่อเฉิงจึงไม่มีอารมณ์จะไปสนใจบุตรชายของเขาอีก ได้แต่กำชับไปประโยคหนึ่งว่า “อย่าเที่ยวเกเรให้มากนัก!” จากนั้นก็เดินตามเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
เจินเหิงจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ในที่สุดก็หนีรอดสักที!
ชายหนุ่มย่อมมีความต้องการเป็นธรรมดา เขาไม่ได้ตั้งใจจะออกบวชเป็นพระสงฆ์ ดังนั้นภาพภรรยาในจินตนาการก็ยังคงมีอยู่อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงไม่อยากจะให้บิดามาจัดแจงเรื่องการแต่งงานอันเป็นสิ่งใหญ่โตในชีวิตของเขาเช่นนี้
บิดาของเขาแต่ละวันได้แต่ทำงานหมกมุ่นอยู่กับคดีความและศพ สิ่งที่บิดาของเขาเห็นในแต่ละวันนั้น… เจินเหิงเพียงแค่คิดก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก
เขายังคงรู้สึกว่าสตรีที่มีความอ่อนช้อยและงดงามเช่นมารดาของเขาจึงจะเหมาะสม อีกทั้งยังเป็น สตรีที่เติบโตมาพร้อมกับบิดาตั้งแต่เล็ก
เจินเหิงส่ายหน้าแล้วเดินตรงออกไปด้านนอก
ในไม่ช้า เจินซื่อเฉิงก็ได้เดินทางมาพบกับหย่งชังปั๋วซื่อจื่อ เมื่อได้ยินรายละเอียดที่เซี่ยอินโหลวเล่าให้ฟัง เขาก็ได้รีบพาคนเดินทางไปยังจวนหย่งชังปั๋วทันที
ด้านในจวนหย่งชังปั๋วยังคงวุ่นวายดังเดิม
การที่นายหญิงถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตนั้น ไม่ว่าคนร้ายที่แท้จริงจะเป็นนายท่านหรือคนอื่น ล้วนทำให้คนในจวนพากันวิตกกังวลกระทั่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและทำงานอย่างเหม่อลอย
เมื่อเจียงอันเฉิงเห็นว่าหย่งชังปั๋วดูสงบนิ่งลงแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านเซี่ย ในเมื่อคนจากศาลาว่าการพระนครเดินทางมาแล้ว ข้าก็สมควรจะพาบุตรสาวกลับไปก่อน”
การที่เพื่อนบ้านเกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ เขาเดินทางมาช่วยก็นับว่าเป็นน้ำใจตามประสาเพื่อนบ้าน แต่บัดนี้คนจากทางการเดินทางมาแล้ว หากยังอยู่ต่อก็คงไม่สะดวกนัก คงได้ถูกหาว่าต้องการแส่ไม่เข้าเรื่อง
แม้ว่าเจียงอันเฉิงจะไม่ได้เป็นคนมีละเอียดสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลเพียงเท่านี้เขาก็พอเข้าใจอยู่บ้าง
“วันนี้รบกวนท่านมากเลยทีเดียว” หย่งชังปั๋วพยักหน้า
เมื่อพบว่าเจียงซื่อจะเดินทางจากไปแล้ว เซี่ยชิงเหยาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาว่า “อาซื่อ”
เจียงซื่อจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วมองไปทางเซี่ยชิงเหยา
“อาซื่อ อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนได้หรือไม่” ใบหน้าทรงกลมอันขาวผ่องของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยน้ำตา ช่างบอบบางดูน่าสงสารเหลือเกิน
จึงทำให้เจียงซื่อใจอ่อน หันกลับไปมองดูเจียงอันเฉิง “ท่านพ่อเจ้าคะ…”
แม้ว่าเจียงอันเฉิงจะเป็นกังวลใจหากว่าบุตรสาวของตนอยู่ต่อที่นี่อาจจะตกอกตกใจได้ แต่ถึงอย่างไรจิตใจเขาก็ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อเห็นท่าทางอันน่าสงสารของคุณหนูตระกูลเซี่ยเขาจึงได้ตอบรับทันควันโดยไม่ลังเลว่า “เช่นนั้นเจ้าอยู่ต่อที่นี่เถิด หากมีเรื่องอะไรให้อาหมานกลับไปรายงานกับพ่อก็พอ”
อืม อย่างมากก็ซื้อขาหมู่ตุ๋นพะโล้ให้บุตรสาวเพิ่มอีกสักสองเขาเพื่อลดอาการตกใจให้กับนาง
เจียงซื่อเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายของเซี่ยชิงเหยาแล้วกุมมือของนางเอาไว้กล่าวว่า “ชิงเหยา อย่าได้กังวลใจไปเลย ใต้เท้าเจินตัดสินคดีความได้อย่างแม่นยำดุจเทพเจ้า เขาจะต้องตรวจพบความจริงอย่างแน่นอน!”
“อาซื่อ เจ้ารู้จักคนในศาลาว่าการพระนครหรือ”
เจียงซื่อหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ชิงเหยา เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใต้เท้าเจินเพิ่งจะจัดการกับคดีของฉังซิงโหวซื่อจื่อไป และข้าอยู่ในเหตุการณ์เรื่องราวนั้นด้วย แน่นอนว่าก็พอจะได้รับบารมีจากใต้เท้าเจินบ้างเล็กน้อย”
เซี่ยชิงเหยากัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า นางพลิกมือกุมมือเจียงซื่อเอาไว้แน่น
“ใต้เท้าขอรับ คนจากศาลเดินทางมาถึงแล้ว” ในไม่ช้าก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
หย่งชังปั๋วพ่นลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินตรงออกไป
เจินซื่อเฉิงเห็นหย่งชังปั๋วก็ถอนหายใจออกมา
เขามักจะได้พบกับผู้เสียหายที่สูญเสียญาติมิตรจนรู้สึกขมขื่นโศกเศร้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่ได้สนทนากับผู้เสียหายก็มักจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจสงสาร
แต่ถึงอย่างไรในฐานะผู้ตรวจสอบคดีความ เขาจะมัวมาสงสารผู้สูญเสียเช่นนี้ไม่ได้ เพราะมีหลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียวที่ผู้สูญเสียแท้จริงแล้วคือฆาตกร แม้ว่าคนจากจวนหย่งชังปั๋วจะเข้ามาร้องทุกข์ด้วยตนเอง แต่หากว่ายังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าหย่งชังปั๋วหลุดพ้นจากผู้ต้องสงสัย
“ท่านปั๋ว อย่าเสียใจไปเลย” เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นคารวะหย่งชังปั๋ว
หย่งชังปั๋วยกมือขึ้นคารวะกลับคืนด้วยใบหน้ารอยยิ้มอันขมขื่น “ต้องรบกวนใต้เท้าเจินด้วย”
“นี่คือหน้าที่ของข้า แน่นอนว่าข้าจะทำมันให้ดีที่สุด” หลังจากที่เจินซื่อเฉิงเอ่ยออกไปตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เข้าสู่หัวข้อว่า “ข้าได้ฟังซื่อจื่อเล่าถึงสถานการณ์โดยรวมแล้ว ได้ยินว่าในตู้เสื้อผ้าจวนท่านมีรอยนิ้วมือทิ้งเอาไว้ จึงทำให้เชื่อว่าฆาตกรเคยหลบอยู่ในนั้นใช่หรือไม่”
ทุกคน พากันหันไปมองดูเจียงซื่อ
เจินซื่อเฉิงเป็นคนที่มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงหันไปมองดูตามสายตาของคนอื่นๆ
พบว่ามีสตรีสองคนยืนอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย เขาได้มองข้ามสตรีที่ตัวเตี้ยกว่าไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากถูกลูบร่างสูงใหญ่เพรียวบางของสตรีอีกนางหนึ่งดึงดูด
เป็นแม่นางคนนี้อีกแล้ว!
วินาทีนี้ สีหน้าของใต้เท้าเจินแสดงความรู้สึกตกตะลึงออกมาอย่างไม่อาจบรรยายได้ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกครบรส
เหตุใดทุกครั้งที่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น ในสถานที่เกิดเหตุจะต้องพบแม่นางผู้นี้อยู่ด้วย
ที่วัดหลิงอู้ก็เช่นนี้ ที่จวนฉังซิงโหวซื่อจื่อก็ด้วย แม้แต่บัดนี้ในจวนหย่งชังปั๋วก็ยังเป็นเช่นนั้น
เซี่ยชิงเหยาคุกเข่าลงต่อหน้าเจินซื่อเฉิงแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเจ้าขา รอยนิ้วมือนั้นสหายของข้าเป็นคนค้นพบ ส่วนตัวข้าเองก็ได้เห็นมันด้วย”
เจินซื่อเฉิงมองไปทางเจียงซื่อด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย
เนื่องจากเขาได้ยินหย่งชังปั๋วซื่อจื่อกล่าวว่า เมื่อครั้งตอนที่หย่งชังปั๋วตื่นขึ้นมาพบว่าเชิงเทียนอยู่ในมือตน จึงได้แน่ใจว่าตนเป็นคนฆ่าภรรยาเอง ต่อมาเมื่อพบหลักฐานว่าฆาตกรน่าจะเป็นคนอื่น จึงได้สงบนิ่งลง
มองดูแล้วเรื่องในครั้งนี้ ผลงานคงจะเป็นของแม่นางผู้นี้เช่นกัน
เจินซื่อเฉิงลูบไปที่เครายาวของเขาด้วยความเคยชิน
นับตั้งแต่เดินทางเข้ามาในเมืองหลวงก็มีคนคอยจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ อาหารการกินก็ถูกปากยิ่งนัก แม้แต่เครายาวเช่นนี้ยังคงมีคนคอยปรนนิบัติหวีให้ ตอนที่เขาลูบไปช่างนิ่มนวลสบายมือเหลือเกิน
เจินซื่อเฉิงได้แต่คิดอยู่ในใจว่า หากแม่นางผู้นี้เป็นชายก็คงจะดี เขาจะได้ช่วยสนับสนุน อย่างน้อยให้เป็นผู้ตรวจการก็ยังดี
“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าขอเข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุหน่อยเถิด อ้อ จริงสิ จงกำชับให้ทุกคนในจวนว่าไม่ให้ออกไปด้านนอก”
เซี่ยอินโหลวกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “ข้าน้อยได้กำชับนายประตูแล้ว”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าอย่างพออกพอใจ จากนั้นเดินตามหย่งชังปั๋วเข้าไปในจวน สองพี่น้องตระกูลเซี่ยเดินตามเขาไปติดๆ
ในขณะที่อาหมานกำลังยืนเฝ้าประตูอยู่ด้วยความเงียบเหงา เมื่อพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีและเข้าไปขวางเอาไว้
เจินซื่อเฉิงจำสาวรับใช้คนนี้ได้เป็นอย่างดี จึงหันกลับไปมองเจียงซื่อ
เจียงซื่อจึงรีบอธิบายขึ้นว่า “ข้าน้อยเกรงว่าจะมีคนเข้าไปด้านในแล้วทำลายหลักฐาน จึงได้ให้นาง ป้องกันอยู่ที่นี่”
เจินซื่อเฉิงถอนหายใจออกมา
เขาว่าแล้ว มีลูกชายช่างไร้ประโยชน์จริง!