ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 165 เด็กสาวที่ถูกใจ
ยามเหม่าเป็นช่วงเวลาที่ฟ้ากำลังจะสว่าง หากเฉาอวิ๋นไม่ได้เผากระดาษแต่หาวิธีปะปนเข้าไปในเรือนหลักเพื่อฆ่าคนก็อาจเป็นไปได้
“พาข้าไปเรือนด้านข้างฝั่งตะวันตกดูหน่อยสิ” เจินซื่อเฉิงมองเฉาอวิ๋นอย่างลุ่มลึก หยุดการซักถามเอาไว้ชั่วคราว
คนทั้งกลุ่มต่างกรูกันไปยังเรือนด้านข้างฝั่งตะวันตก
ภายใต้ความต้องการของเจินซื่อเฉิง สาวใช้เดินนำฝูงชนมายังมุมหนึ่งในลานบ้าน ชี้ไปบนพื้น “ตรงนี้แหละเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเบียดเสียดอยู่ด้านหน้าอย่างกลมกลืน จดจ้องมองเขม็ง มีขี้เถ้าสีดำที่หลงเหลือไว้จางๆ บนพื้นดังที่บอกจริงๆ หากผ่านไปวันสองวัน จะต้องไม่เหลือร่องรอยใดไว้แล้วแน่
เจินซื่อเฉิงจ้องมองพื้นคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
พื้นตรงนี้ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ…
เขาคิดไปพลางเดินไปตรงนั้น ลองยกเท้าแตะพื้นดู
สัมผัสนิ่มร่วนส่งมาเล็กน้อย
เจินซื่อเฉิงสีหน้าพลันเปลี่ยน เอ่ยสั่งคนรับใช้ไปทันทีว่า “ขุดตรงนี้ดูหน่อย”
บ่าวในศาลาว่าการคนหนึ่งเข้าไปขุดทันที
นอกจากดินชั้นบนแล้ว ดินชั้นล่างนิ่มร่วนมาก บ่าวของศาลาว่าการขุดห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาได้อย่างรวดเร็ว
“มีของอยู่จริงๆ ด้วย!” เสียงตกอกตกใจดังขึ้นกลางฝูงชนเป็นระลอก
ในชั่วขณะนั้นเอง สายตาของผู้คนก็หันไปจ้องห่อผ้าที่ขุดออกมาได้ แต่เจียงซื่อกับเจินซื่อเฉิงกลับมองเฉาอวิ๋นกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ปฏิกิริยาแรกของมนุษย์มักจะเป็นความจริงเสมอ
น่าเสียดายที่ทั้งคู่ต้องผิดหวัง อาจเพราะวันคืนผ่านไปนานแล้วเฉาอวิ๋นจึงใจสงบเหมือนเถ้าถ่านที่มอดดับแล้ว ยามนี้บนใบหน้ายังคงไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ทั้งไม่ประหม่าและไม่แปลกใจ
เจินซื่อเฉิงถอนหายใจ แลกเปลี่ยนสายตากันกับเด็กสาวอาภรณ์ขาวเสื้อเขียว แทบจะอดใจไม่ไหวยกนิ้วโป้งให้กับนาง
เมื่อเขาสามารถค้นพบเบาะแสสำคัญได้ สิ่งแรกที่ทำไม่ใช่ดูหลักฐานแต่เป็นสังเกตปฏิกิริยาของผู้ต้องสงสัย นี่คือประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี แต่เด็กสาวตรงหน้ายังอายุไม่เท่าบุตรชายของเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่จะเคยมีประสบการณ์มาก่อน เช่นนั้นก็เป็ฯเพราะพรสวรรค์และความสามารถในการทำความเข้าใจของนางแล้ว
นี่เป็นต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่งเลยทีเดียว
จิตใจที่ชื่นชอบผู้มีความสามารถของเจินซื่อเฉิงได้คันยุบยิบขึ้นมาอีกครั้ง
เจินซื่อเฉิงมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง พอใจคันยุบยิบก็จะชอบลูบเครา ลูบเคราติดต่อกันอยู่หลายหน ลูบจนหลุดมาสองเส้นจึงได้หลุดจากภวังค์ สีหน้าปกปิดความเจ็บปวดเอ่ยว่า “เปิดดูหน่อย”
“ขอรับ” บ่าวของศาลาว่าการรีบเปิดห่อผ้าออก
บ่าวของศาลาว่าการเหล่านี้ล้วนเป็นคนมีประสบการณ์ ตอนเปิดห่อผ้าจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่นานของในห่อผ้าก็ปรากฏต่อหน้าของทุกคน
นั่นเป็นอาภรณ์เปื้อนเลือด
ทันใดนั้นพลันมีเสียงสูดหายใจดังขึ้นในฝูงชนต่อเนื่องกันไปเป็นระลอก
เจินซื่อเฉิงก้าวเข้าไปหา คุกเข่าลงพลิกเปิดผ้าเปื้อนเลือดผืนนั้น
เนื้อผ้ากับรูปแบบไม่สะดุดตาอย่างมาก ดูจากสีคือเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับสตรีวัยกลางคน
ฮูหยินของหย่งชังปั๋วโดนเชิงเทียนแทงตาย เลือดไหลท่วมเตียง ฆาตกรยากจะรักษาความสะอาดของเสื้อผ้าเอาไว้นานได้ ผ้าเปื้อนเลือดตัวนี้แทบจะฟันธงได้ว่าเป็นเสื้อผ้าของฆาตกร
เจินซื่อเฉิงลุกขึ้นยืน จ้องเฉาอวิ๋นนิ่ง “อาภรณ์เปื้อนเลือดตัวนี้เป็นเจ้าที่ฝังไว้หรือ”
เฉาอวิ๋นเงียบงัน
เจินซื่อเฉิงความอดทนดีมาก แต่หย่งชังปั๋วกลับระงับโทสะไว้ไม่อยู่ “ยังจะต้องถามอีกหรือ ต้องเป็นของนางแพศยานี่ที่ฆ่าฮูหยินแน่!”
เฉาอวิ๋นมองหย่งชังปั๋วทันที ริมฝีปากที่ไร้สีเลือดสั่นเทาอย่างหนัก
“ท่านปั๋วสงบสติอารมณ์ก่อน” เจินซื่อเฉิงเกลี้ยกล่อม
หย่งชังปั๋วชี้ไปยังอาภรณ์เปื้อนเลือด สีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง “หลักฐานทนโท่ขนาดนี้แล้วยังต้องพูดอะไรอีก ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นนังแพศยานี่ลงมือล่วงเกินต่อผู้ที่สูงส่งกว่า นางลงมือทำร้ายสังหารฮูหยิน…ใต้เท้า นังแพศยานี่ก็ให้ท่านลงโทษแล้วกัน!”
เจินซื่อเฉิงมองเฉาอวิ๋นอย่างเงียบงัน รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
เฉาอวิ๋นเป็นคนฆ่าฮูหยินของหย่งชังปั๋วจริงๆ น่ะหรือ
ต่อให้เฉาอวิ๋นมีแรงจูงใจของฆาตกรมากพอ ทั้งยังมีหลักฐานเป็นอาภรณ์เปื้อนเลือดที่ฝังอยู่ในลานบ้านอีก แต่ใช้เชิงเทียนฆ่าผู้ใหญ่เป็นๆ คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเพียงนั้น
สตรีตรงหน้ารูปร่างผ่ายผอม ให้ความรู้สึกอ่อนแอที่ลมพัดก็ปลิวได้ จะมีเรี่ยวแรงใช้เชิงเทียนแทงคนคนหนึ่งตายได้เลยหรือ
หย่งชังปั๋วเห็นเจินซื่อเฉิงไม่มีปฏิกิริยาใด ทันใดนั้นก็ไปชักกระบี่ออกจากเอวของเซี่ยอินโหลว
เซี่ยอินโหลวกดด้ามกระบี่ไว้ตามสัญชาตญาณ
หย่งชังปั๋วชักออกมาไม่ได้ก็ตวาดว่า “ปล่อย!”
เซี่ยอินโหลวไม่มีปฏิกิริยาเท่าใดนักต่อคำพูดของบิดา ตรงกันข้ามเขามองไปยังเจินซื่อเฉิง
หย่งชังปั๋วโมโหเลือดขึ้นหน้าแล้ว “ไอ้เด็กนี่ เจ้าปล่อยมือนะ เจ้าไม่อยากแก้แค้นให้แม่เจ้าหรือไร”
เซี่ยอินโหลวกดด้ามกระบี่ไว้เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “แน่นอนว่าลูกย่อมอยากแก้แค้นให้ท่านแม่ แต่อย่างแรกต้องยืนยันตัวฆาตกรก่อน”
นึกไม่ถึงว่าเรี่ยวแรงจะสู้ลูกชายไม่ได้ทำให้หย่งชังปั๋วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างมาก เขาหันไปเอ่ยกับเจินซื่อเฉิงว่า “ใต้เท้าเจิน หรือว่าของพวกนี้ยังเอามาเป็นยืนยันว่านางเป็นฆาตกรไม่ได้”
เจินซื่อเฉิงลูบเคราไปมา ไตร่ตรองเอ่ยว่า “เรื่องนี้มีหลายจุดที่น่าสงสัย ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า ย่อมไม่อาจรีบสรุปผลได้”
เขารู้ดีว่ากว่าแปดในสิบส่วนของขุนนางที่รับผิดชอบชื่อในการลงโทษในต้าโจวสามารถปิดคดีได้จากการคาดเดา ขอเพียงคาดเดาได้อย่างเหมาะสมชอบธรรม ถึงจะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนก็ตัดสินผู้ต้องสงสัยเป็นฆาตกรตามเดิม
แต่เขาแตกต่างออกไป
ตราบใดที่เป็นคดีที่เขารับผิดชอบ ยอมให้เป็นคดีที่ยังไม่สามารถปิดได้เพราะความสามารถมีจำกัดดีกว่าอาศัยแค่การคาดเดามาปิดคดี
ตาข่ายสวรรค์ แม้ห่างแต่ไม่รั่ว[1] คดีที่ค้างคาอยู่มักจะมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการสะสาง แต่หากคนได้ตายด้วยความชอกช้ำใจจากการไม่ได้รับความเป็นธรรม กลับไม่อาจฟื้นคืนได้อีกแล้ว
เบื้องหลังของผู้ตายทุกคนล้วนมีน้ำตาของเครือญาติจำนวนนับไม่ถ้วนเสมอ
“ยังมีจุดที่น่าสงสัยใดอีก” ภรรยาตายโหง สาวใช้อุ่นเตียงตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ ได้ทำให้หย่งชังปั๋วยากจะสงบสติลงได้
“พวกเจ้าเจอเฉาอวิ๋นครั้งสุดท้ายเมื่อใด” เจินซื่อเฉิงไม่ได้ตอบคำหย่งชังปั๋ว เขาเอ่ยถามสาวใช้สองนางนั้นต่อ
สาวใช้คนหนึ่งบอกว่า “ก่อนที่อนุจะเข้านอนบ่าวไปเอาน้ำร้อนมาให้นาง ตอนนั้นน่าจะประมาณต้นยามไฮ่เจ้าค่ะ”
ช่วงเวลานี้กลับตรงกับที่เฉาอวิ๋นบอกว่าเป็นเวลาเข้านอน
เจินซื่อเฉิงจึงได้เอ่ยกับหย่งชังปั๋วไปว่า “จุดที่น่าสงสัยในเรื่องนี้คือเฉาอวิ๋นปะปนเข้าไปในเรือนหลักหลังยามไฮ่แล้วหลบซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของปั๋วฮูหยินได้อย่างไร”
หย่งชังปั๋วพลันบื้อใบ้ทันที
ช่วงเวลานั้นเขากับฮูหยินเพิ่งจะพักผ่อน กระทั่งยังไม่เข้าสู่นิทรา นอกเสียจากว่าเฉาอวิ๋นจะเป็นเทพเซียนจึงจะสามารถหลบหูหลบตาของเขาไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าได้
“แต่แล้วจะอธิบายเรื่องเสื้อผ้าเปื้อนเลือดตัวนี้อย่างไรเล่า ช่วงเวลาที่นางเผากระดาษเป็นไปได้มากที่จะเกิดหลังจากที่ทำร้ายภรรยาข้าแล้ว นางอาจจะทำร้ายภรรยาข้าเสร็จแล้วใช้การเผากระดาษมาเป็นข้ออ้างเพื่อฝังอาภรณ์เปื้อนเลือดก็ได้”
“แต่ก็ยังคงไม่อาจอธิบายได้ว่านางเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าได้อย่างไรอยู่ดี” เจินซื่อเฉิงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
ที่สำคัญที่สุดก็อธิบายไม่ได้ ต่อให้อย่างอื่นเหมาะเจาะเพียงใด เขาก็ไม่อาจเอาข้อหาฆาตกรตัวจริงไปใส่ให้คนๆ หนึ่งได้หรอก
หย่งชังปั๋วครุ่นคิด ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป “มีคนหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า ตั้งแต่ต้นมาเป็นการคาดเดาของใต้เท้าเจินกระมัง บางทีรอยนิ้วมือในตู้เสื้อผ้าอาจจะเป็นของสาวใช้ที่บังเอิญทิ้งเอาไว้ก็ได้ อาจจะไม่ใช้ฆาตกรที่เป็นคนทิ้งไว้”
เจียงซื่อกระแอมออกมาเบาๆ สอดขึ้นว่า “ท่านลุง มีคนหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าเป็นการคาดเดาของหลานเจ้าค่ะ ใต้เท้าเจินก็แค่ยอมรับในการคาดเดานี้ของหลานเท่านั้น หรือท่านจะลืมไปแล้วว่าเพราะการพบรอยนิ้วมือมุมแปลกๆ ในตู้เสื้อผ้า จึงทำให้ท่านหลุดจากผู้ต้องสงสัยมาได้…”
หย่งชังปั๋วพูดไม่ออก
เซี่ยชิงเหยาตบหน้าผากเงียบๆ
เพื่อยืนยันว่าสาวใช้อุ่นเตียงเป็นฆาตกรจึงล้มเลิกผลสรุปก่อนหน้าไปจนหมด สวมหมวกฆาตกรให้แก่ตนเองไปอย่างสมบูรณ์ ท่านพ่อนี่ช่างเก่งกาจเสียจริง…
การเงียบไม่พูดไม่จาของหย่งชังปั๋วทำให้เจินซื่อเฉิงอดยิ้มให้เจียงซื่อไม่ได้
เขาบอกแล้วว่าถูกอกถูกใจเด็กคนนี้
และในขณะนั้นเอง เด็กสาวที่น่าถูกอกถูกใจก็ส่งยิ้มคืนให้แก่เจินซื่อเฉิง “ใต้เท้าเจิน ข้าคิดว่าเฉาอวิ๋นไม่ใช่ฆาตกรเจ้าค่ะ”
————————————————–
[1]ตาข่ายสวรรค์ แม้ห่างแต่ไม่รั่ว สวรรค์มีความยุติธรรม ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ