ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 174 ปีกผีเสื้อ
หย่งชังปั๋วล้มลงอย่างกะทันหัน แม้จะมีเซี่ยอินโหลวที่มือไวตาไวเข้ามาประคองไว้ทัน เสียงตกใจจากผู้คนก็ยังดังขึ้นมาอยู่ดี
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร” เซี่ยชิงเหยาตกใจจนหน้าถอดสี พลางพุ่งพรวดเข้ามา
หัวของหย่งชังปั๋วพิงอยู่ที่ไหล่ของเซี่ยอินโหลว ทว่ามันกลับห้อยลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เจินซื่อเฉิงเห็นแล้วหัวใจกระตุกวาบขึ้นมา เดินรุดไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยเรียก “นายท่านปั๋ว นายท่านปั๋ว!”
ดวงตาทั้งสองข้างของหย่งชังปั๋วปิดสนิท เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากปากของเขา
เจินซื่อเฉิงรีบยื่นมือออกไปตรวจดูว่าหย่งชังปั๋วยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
ไร้ซึ่งลมหายใจ
เจินซื่อเฉิงดึงมือกลับ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ”รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!”
เซี่ยชิงเหยาเบิกตาโพลงขึ้นทันที แล้วจับมือที่ห้อยลงมาของหย่งชังปั๋วไว้ “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป”
เจินซื่อเฉิงตะโกนเสียงดัง “อย่าเขย่าเขา!”
เซี่ยชิงเหยาตกใจผละมือออก พลางมองไปที่มืออันว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอย
เจียงซื่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล เห็นหย่งชังปั๋วเลือดไหลออกมาจากปากก็รู้สึกคล้ายจะหน้ามืด
เดิมในจวนหย่งชังปั๋วเลี้ยงพวกหมอไว้อยู่แล้ว ไม่นานก็มีหมอถือกล่องยาเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน พอเห็นสภาพของหย่งชังปั๋วก็ตกใจมาก จึงรีบปรี่เข้าไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบทันที สุดท้ายก็ได้แต่นิ่งไป
“ท่านพ่อของข้า…เป็นอย่างไร” เซี่ยอินโหลวพยายามรักษาท่าทีให้สงบอย่างสุดกำลัง ทว่าในน้ำเสียงยังคงมีความกระวนกระวายใจหลุดออกมาอยู่
หมอรู้ดีว่าแม้มันจะพูดยาก แต่ก็ต้องพูด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายท่านปั๋ว…เสียแล้ว…”
ตอนนี้หย่งชังปั๋วยังคงพิงเซี่ยอินโหลวอยู่ พอเซี่ยอินโหลวได้ยินก็กำหมัดแน่น สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยวามโกรธ
เซี่ยชิงเหยากรีดร้อง แล้วล้มพับลง
เจียงซื่อยื่นมือเข้าไปประคองเซี่ยชิงเหยาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกงุนงง
คาดไม่ถึงเลยว่าหย่งชังปั๋วจะตายแล้ว!
แม้ชาติที่แล้วหย่งชังปั๋วจะป่วยเป็นโรคนอนละเมอ แต่ว่าร่างกายของเขาแข็งแรงมาโดยตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะตายแล้ว…
เจียงซื่อไม่กล้าคิดอย่างละเอียด นางตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
เจินซื่อเฉิงอดมองไปที่เจียงซื่อไม่ได้ รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ถึงแม้การตายของหย่งชังปั๋วจะเกิดขึ้นอย่ากะทันหัน ทว่าสำหรับเขาผู้ที่เห็นเรื่องความเป็นความตายมาจนชินแล้วจึงยังสามารความคุมสติให้นิ่งได้ แต่แม่นางเจียงที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีนิ่งเฉย แถมยังแสดงวีรกรรมออกมาอย่างโดดเด่น แล้วตอนนี้ทำไมถึงดูเสียอาการล่ะ
ดูจากอาการแล้ว แม่นางเจียงดูเหมือนจะได้รับผลกระทบกระเทือนไปไม่น้อยกว่าพี่น้องตระกูลเซี่ยเลย ช่างน่าแปลกใจนัก
“ใต้เท้าเจิน ท่านพ่อข้าตายเพราะยาพิษใช่หรือไม่” เซี่ยอินโหลวถามขึ้น แล้วมองโต้วเหนียงด้วยสายตาที่เยือกเย็นและแหลมคมดั่งมีด
“เรื่องนี้ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะได้ข้อสรุป” เจินซื่อเฉิงสั่งให้ลูกน้องย้ายร่างของหย่งชังปั๋ว โดยยกเข้าไปในห้องเพื่อตรวจสอบ
บ่าวรับใช้ในเรือนยืนรอกันตัวสั่นงันงก แทบไม่กล้าหายใจแรง
ในที่สุดเซี่ยชิงเหยาก็ได้สติกลับมา นางเอ่ยขึ้นพลางร้องไห้โฮ “ท่านพ่อ…”
นางร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน ก้มหน้าลงร้องไห้ตัวงอ ร้องหนักราวกับจะขาดใจตาย
เสียงร้องไห้ที่โหยหวนนั้นเหมือนกับแซ่ที่จุ่มลงในน้ำเกลือแล้วถูกเฆี่ยนตี่ลงที่หัวใจของเจียงซื่อ ทำให้เลือดสดๆ ไหลออกมา
นางกอดเซี่ยชิงเหยาไว้แน่น พูดพึมพำออกมาไม่หยุด “ชิงเหยาข้าขอโทษ ข้าขอโทษ…”
ถึงแม้จะรู้ตัวผู้ที่ทำร้ายคู่สามีภรรยาหย่งชังปั๋วจนถึงแก่ชีวิตคือโต้วเหนียง แต่ไม่ว่าจะหลอกตัวเองอย่างไร นางก็ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าไม่ต้องรับผิดชอบ
อันที่จริงเป็นเพราะนางพูดมาก ชะตากรรมของคู่สามีภรรยาหย่งชังปั๋วถึงได้เปลี่ยน
ทุกชีวิตล้วนมีค่า แล้วจะให้นางไม่ละอายใจเพียงเพราะความหวังดีของงั้นหรือ
นางไม่รู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้คนอื่นจะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยนางไม่สามารถรู้สึกเช่นนั้นได้
นั่นคือชีวิตตั้งสองชีวิต ที่เป็นสหายที่ดีของท่านพ่อและท่านแม่ และเป็นเสาหลักของจวน ไม่รู้ว่าเกี่ยวโยงไปอีกกี่ชีวิต แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำของนาง ทุกอย่างก็สูญสิ้นไปหมด
ในที่สุดตอนนี้เจียงซื่อก็เข้าใจโทษของการรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วว่าถ้าหากไม่ระวังเรื่องคำพูดและการกระทำมันอาจนำมาซึ่งความโชคร้าย
“ฮือ ฮือ…” เซี่ยชิงเหยาจับมือเจียงซื่อไว้แน่นพลางร้องไห้โฮ เล็บข่วนลบบนมือที่ขาวเนียนของนางจนเป็นแผล
เซี่ยชิงเหยาที่ตกอยู่ในความเจ็บปวดและเศร้าโศกไม่รู้สึกตัวหรอก เจียงซื่อจึงทำได้เพียงแต่อดทนอยู่เงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน ผู้ตรวจชันสูตรศพก็ได้ผลสรุป “นายท่านปั๋วไม่ได้โดนยาพิษแต่อย่างใด แต่ตายเพราะโรคหัวใจที่กำเริบขึ้นอย่างฉับพลัน…”
“เหลวไหล!” เซี่ยอินโหลวพูดขัดผู้ตรวจชันสูตรศพเสียงดัง “แต่ไหนแต่ไรมาพ่อของข้าสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยได้ยินหมอบอกเลยว่าเป็นโรคหัวใจ!”
พูดจบเขาก็ลากคอหมอเข้ามา แล้วตะโกนลั่น “หมอจาง ร่างกายของพ่อข้าเป็นอย่างไรท่านน่าจะรู้ดีที่สุด ท่านว่าไหม!”
หมอจางปาดเหงื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่พูดออกมาให้ชัดเจนตอนนี้ วันข้างหน้าหมออย่างเขาคงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขแน่ จึงรีบอธิบายออกไป “ซื่อจื่อ โรคหัวใจวายเฉียบพลันไม่ได้มีอาการเหมือนโรคอื่น ปกติจะตรวจหาไม่เจออาการหรือโรคใด ทว่าพอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงก็อาจจะ…”
จู่ๆ เซี่ยอินโหลวก็ชักกระบี่ที่พกติดตัวออกมา สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา “ใต้เท้าเจิน ข้าจะฆ่าสตรีนางนี้เพื่อแก้แค้นแทนพ่อกับแม่ของข้า ท่านจะห้ามข้าหรือ”
เจินซื่อเฉิงส่ายหน้า “ซื่อจื่ออย่าใจร้อนไป ตอนนี้ความจริงได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาจะต้องได้รับโทษอย่างสาสมแน่”
เซี่ยอินโหลวส่งเสียงไม่พอใจออกมา แล้วผลักเจ้าหน้าที่ตรวจการชั้นผู้น้อยที่มาขวางเขาออก “หลีกไปเสีย!”
“พี่เซี่ย หากท่านฆ่านางด้วยมือของท่านเองมันก็จะแปดเปื้อนมือท่านเปล่าๆ” เจียงซื่อไม่อยากให้เซี่ยอินโหลวถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคน นางจึงเอ่ยห้ามโดยไม่สนใจความทุกข์ใจอย่างขีดสุดที่มีอยู่ในใจ
ความโกรธแค้นเมื่อภรรยาถูกแย่งชิง ความเคียดแค้นที่บิดาถูกฆ่าตาย ในกรณีเหล่านี้ หากฆ่าคนเพื่อแก้แค้นจะมีกฎหมายรองรับ แต่สำหรับเซี่ยอินโหลวที่กำลังจะได้สืบทอดตำแหน่ง อาจจะทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นมาได้
ไม่ว่าใครก็ต่างมีมิตรสหายจำนวนมาก จำนวนศัตรูก็เช่นกัน มีผู้คนที่เอาแต่จ้องมองเมื่อเราตกอยู่ในเรื่องเลวร้ายเป็นจำนวนมาก
หากเพราะการฆ่าคนทำให้การสืบทอดตำแหน่งของเซี่ยอินโหลวเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา เจียงซื่อจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่นอน
ดวงตาคู่ใสดั่งหยกของเซี่ยอินโหลวมองมา แววตานิ่งสุขุม ใครเห็นก็ดูไม่ออกว่าเขารู้สึกอะไรอยู่
เจียงซื่อโอบเซี่ยชิงเหยาไว้ พลางพูดปลอบ “พี่เซี่ยพวกเขาทำร้ายจวนปั๋วจนย่อยยับเช่นนี้ ปลิดชีพด้วยกระบี่เล่มเดียวมันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”
เซี่ยอินโหลวกลอกตาไปมา แล้วเก็บกระบี่เข้าฝัก
เจินซื่อเฉิงเดินมาตบบ่าเซี่ยอินโหลว เอ่ยกระซิบขึ้นเสียงเบา “ซื่อจื่อ ยอมรับความจริงแล้วทุกอย่างมันจะผ่านไป หลังจากนี้ถ้าหากจวนต้องการความช่วยเหลือ ก็ส่งคนมาเรียกที่ศาลาว่าการได้เสมอ”
เซี่ยอินโหลหลับตาลงเพื่อเป็นการขอบคุณ
“มัดมือโต้วเหนียงกับพ่อบ้านใหญ่แล้วนำตัวออกไป!” เจินซื่อเฉิงออกคำสั่งเสร็จ ก็หันมาคำนับให้เจียงซื่อ “แม่นางเจียง ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าได้มากเลยทีเดียว หลังจากเสร็จงานนี้ข้าจะไปขอบคุณเจ้าที่จวน”
อืม ถ้าเป็นเช่นนี้พาลูกชายไปด้วยเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน
เจียงซื่อกระวนกระวายขึ้นมา รีบตอบกลับอย่างสุภาพ “ข้าน้อยไม่กล้ารับคำขอบคุณจากท่านหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้ทำอะไรเลย”
เจินซื่อเฉิงเดินนำคนกลุ่มหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เซี่ยอินโหลวเดินมาตรงหน้าเจียงซื่อ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “วันนี้ขอบใจเจ้ามาก เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้ากลับเอง”
เวลานี้เจียงซื่อจะกล้าให้เซี่ยอินโหลวไปส่งได้อย่างไร นางปฏิเสธทันควัน
เซี่ยชิงเหยาดึงเจียงซื่อไว้ไม่ปล่อย เซี่ยอินโหลวชำเลืองมองน้องสาว “ชิงเหยาพวกเรายังต้องจัดการเรื่องงานศพของท่านพ่อกับท่านแม่ ให้แม่นางเจียงกลับไปก่อนเถิด”
“อาซื่อ…” เซี่ยชิงเหยามองเจียงซื่อทั้งน้ำตา ดูน่าสงสารจับใจ
เจียงซื่อจับมือเซี่ยชิงเหยาไว้ “ข้าจะกลับไปบอกที่จวนก่อนว่าจะมาอยู่กับเจ้า”
เซี่ยชิงเหยาถึงได้ยอมปล่อยมือ
เจียงซื่อเดินออกมาจากประตูเรือนใหญ่ของจวนหย่งชังปั๋ว แสงแดดสว่างจ้าจนแสบตา นางขาอ่อนยวบเกือบจะล้มลง
“คุณหนู เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าคะ” อาหมานรีบเข้ามาประคอง
เจียงซื่อส่ายหน้า เดินตรงไปข้างหน้าต่อ เมื่อใกล้จะถึงจวนตงผิงปั๋วจู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน
มีสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังวิ่งส่ายหางตรงมาหานางด้วยความดีใจ