ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 179 ถ้าหาก
ค่ำคืนอันมืดมิดค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา เทียนเล่มสีขาวถูกจุดส่องแสงสลัวๆ มุ้งก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์เช่นกัน มันถูกปล่อยคลุมลงมา สะท้อนเงาร่างอันสะโอดสะองที่อยู่ด้านในของทั้งสอง
เซี่ยชิงเหยาเป็นสตรี จึงไม่ต้องเฝ้าศพในยามดึก พอถึงเวลาเซี่ยอินโหลวจะสั่งให้คนประคองนางออกไป และคืนนี้เจียงซื่อก็นอนกับนาง
ไม่ว่าเซี่ยชิงเหยาหรือเจียงซื่อ ต่างก็ไม่ได้นอนร่วมเตียงกับผู้ใดมานานมากแล้ว
เจียงซื่อได้ยินเสียงเซี่ยชิงเหยาพลิกตัวไปมาราวกับขนมเล่าปิ่ง[1] ในใจจึงรู้สึกทรมานเช่นเดียวกัน
นางไม่สามารถเอ่ยปากบอกความจริงกับสหายคนสนิทได้ ทำได้เพียงตัดสินใจเองเงียบๆ ว่าจากนี้ไปจะพยายามช่วยเหลือพี่น้องตระกูลเซี่ยสองคนนี้ให้ได้มากที่สุด
นี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพราะความสะเพร่าของนาง
การเกิดใหม่เป็นดั่งดาบสองคม และนางก็เป็นเพียงแค่เด็กหญิงธรรมดา ชาติก่อนตายอย่างน่าเวทนา แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าชาตินี้มันจะดีกว่าเดิม
เจียงซื่อขอโทษเซี่ยชิงเหยาอยู่ในใจไปนับครั้งไม่ถ้วน การพลิกตัวในแต่ละครั้งของสหายคล้ายกับคมมีดเสียดแทงที่หัวใจของนาง
ความทุกข์ทรมานฝังลึกเข้าไปในใจ
เจียงซื่อหลับตานอนนิ่ง จู่ๆ ผู้ที่นอนอยู่ข้างกายก็ลุกขึ้นมาแล้วเปิดมุ้งออก
นางจึงได้ลืมตาขึ้นมามองไปที่เซี่ยชิงเหยา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายน้ำ “ชิงเหยา นอนไม่หลับหรือ”
เซี่ยชิงเหยานั่งกอดผ้าห่ม มือทั้งสองกำผ้าห่มผ้าไหมที่บางเบาไว้แน่น น้ำตาเม็ดโตไหลออกมาจากดวงตา
เจียงซื่อลุกขึ้นมานั่ง แล้ววางมือลงบนไหล่ของเซี่ยชิงเหยา
“อาซื่อ ข้านอนไม่หลับ…” เซี่ยชิงเหยาไหล่สั่นเทิ้มเล็กน้อย พลางพูดเสียงสะอึกสะอื้น “เพียงแค่หลับตาลง ข้าก็นึกถึงท่านพ่อกับท่านแม่ เดี๋ยวเป็นภาพที่ท่านแม่ร่างท่วมไปด้วยเลือด เดี๋ยวเป็นภาพที่ท่านพ่อล้มพับลงไปอย่างแรง ข้าไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง…”
เจียงซื่อตบหลังเซี่ยชิงเหยาเบาๆ “มันจะผ่านไป เชื่อข้า มันจะต้องผ่านไปแน่นอน”
เซี่ยชิงเหยาน้ำตาไหลออกมา สีหน้าเลื่อนลอย “อาซื่อ ข้าไม่เข้าใจ ท่านพ่อเพียงแค่รับอนุเข้ามาสองคนระหว่างที่ท่านแม่กำลังตั้งครรภ์ นี่มันเรื่องปกติที่ตระกูลอื่นก็ทำกัน เขาไม่ได้ทอดทิ้งภรรยา และไม่ได้ไม่สนใจดูแลลูกๆ แถมยังมีน้ำใจต่อมิตรสหาย โอบอ้อมอารีกับลูกน้อง แม่ข้าก็มีคุณธรรมและอ่อนโยนเช่นกัน ทว่าทำไมพวกเขาจะต้องมาตายอย่างน่าสงสารเช่นนี้ พวกเขาทำอะไรผิดกันแน่”
เซี่ยชิงเหยาเอามือกุมหน้าร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงบนกล้วยน้ำหว้าสีเขียวขจีดั่งหยกเครือหนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่างส่ายไปมาเล็กน้อย
สุนัขตัวใหญ่ที่น่าเกรงขามตัวหนึ่งเงี่ยหูฟังเสียงร้องไห้ที่เล็ดรอดออกมาจากในห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก
จวนหย่งชังปั๋วกำลังจัดงานศพ คนทั้งเยอะทั้งวุ่นวาย เอ้อร์หนิวจึงเข้ามาได้อย่างง่ายได้
“อาซื่อ มันเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ ทำไมกันนะ” เซี่ยชิงเหยาถามเสียงพึมพำ
นางไม่ได้อยากได้คำตอบจากเจียงซื่อ เพียงแต่ว่าความโหดร้ายที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เด็กสาวที่ไร้เดียงสาคนนี้ทำใจรับไม่ได้มาจนถึงตอนนี้กับความจริงที่ว่าท่านพ่อและท่านแม่ทั้งสองได้ตายจากไปแล้ว จึงได้แต่คิดหาเหตุผลอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุดเจียงซื่อก็อดพูดออกมาไม่ได้ “ชิงเหยา ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษเจ้าจริงๆ”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเซี่ยชิงเหยาสั่นไหว มองมาที่เจียงซื่อด้วยความงุนงง “อาซื่อ เจ้าพูดอะไรกัน”
เจียงซื่อพยายามควบคุมการที่อยากจะหนีไปอย่างสุดความสามารถ แล้วจ้องไปที่ตาคู่ใสดั่งกระจกของเซี่ยชิงเหยา พูดอย่างตรงไปตรงมา “เดิมโต้วเหนียงไม่ได้วางแผนว่าจะลงมือตอนนี้ แต่เป็นเพราะได้ยินมาว่าท่านลุงป่วยเป็นโรคนอนละเมอถึงได้เลือกลงมือตอนนี้ ซึ่งที่ท่านลุงวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคนอนละเมอ นั่นก็เพราะ…ก็เพราะตอนนั้นข้าเตือนเจ้าให้ระวังสุขภาพร่างกายของท่านลุง…”
เจียงซื่อยิ่งพูดก็ยิ่งทุกข์ใจ นิ้วมือขาวซีดไปหมดเพราะออกแรงบีบไปมาอย่างแรง “ชิงเหยา ข้าขอโทษ ถ้าหากข้าไม่พูดมาก ท่านลุงกับท่านป้าก็คงไม่ตาย…”
เซี่ยชิงเหยานั่งฟังอยู่เงียบๆ ตาค้างจนลืมกะพริบ
เมื่อเจียงซื่อพูดเรื่องพวกนี้ออกมา นางรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ถ้าเซี่ยชิงเหยาจะเกลียดนาง นางก็ยอม อย่างน้อยนางก็ไม่อาจรับความเชื่อใจและความซาบซึ้งใจของอีกฝ่ายอย่างสบายใจได้หรอก
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยชิงเหยากะพริบตาปริบๆ เข้าใจทันที “อาซื่อ การตายของท่านพ่อกับท่านแม่ข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรยุให้ท่านแม่ไปตามหมอมาให้ท่านพ่อ เรื่องที่ยิ่งไม่ควร คือความตะกละของข้าถึงได้พาโต้วเหนียงเข้ามาในจวน หากจะคิดบัญชี คนปากพล่อยที่พูดเรื่องท่านพ่อป่วยจนไปถึงหูโต้วเหนียง สมควรต้องคิดบัญชีกับคนผู้นั้นให้สาสมเสียมากกว่า…”
“ชิงเหยา แต่ว่า…”
เซี่ยชิงเหยาส่ายหน้า หยุดสิ่งที่เจียงซื่อกำลังจะพูดต่อ “อาซื่อ แม้ข้าจะเสียใจอยู่ แต่ข้าไม่ได้สติเลอะเลือน บนโลกนี้ไม่มี ‘ถ้าหาก’ เยอะขนาดนั้นหรอก ถึงข้าจะโทษตัวเองมากเพียงใดแต่ก็รู้ว่าคนที่สมควรตายที่สุดก็คือโต้วเหนียงและพ่อบ้านหลี่ คนหนึ่งเป็นฆาตกรจิตใจอำมหิตดั่งพิษแมงป่อง อีกคนเป็นดั่งผีร้ายที่คอยดึงคนลงไปในเหวลึก พวกเขาต่างหากที่สมควรตาย”
เจียงซื่อได้แต่อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก
ที่จริงเซี่ยชิงเหยาก็พูดถูก หากเจียงซื่อไม่รู้ว่าจุดจบของชาติที่แล้วกับชาตินี้จะแตกต่างกันอย่างลิบลับ นางก็คงไม่แบกรับความรู้สึกผิดเช่นนี้ไว้
“อาซื่อ…”
“หืม?”
“หากคู่สามีภรรยาบนโลกนี้ทั้งชีวิตมีแค่กันและกันสองคนก็คงดี เจ้าว่าไหม” เซี่ยชิงเหยากอดเข่าไว้ พลางมองแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านมุ้งลวดบางจนสามารถเห็นทะลุผ่านออกไปราวกับปีกจั๊กจั่นอย่างกลุ้มใจ
ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางจะต้องอยู่ไปจนแก่จนเฒ่า ลูกหลานเต็มบ้านแน่นอน
“ใช่” เจียงซื่อตอบพึมพำ ความคิดล่องลอยไปไกลแล้ว
ตอนนั้นนางกลายเป็นพระชายาขององค์ชายเจ็ด ด้านหนึ่งแสร้งทำเป็นใจกว้าง ทว่าอีกด้านหนึ่งกลับคอยหยั่งเชิง หยิบยกเรื่องอนุออกมาพูดกับเขา
ตอนนั้นอวี้ชีทำหน้าบึ้ง บอกว่าปรนนิบัตินางอยู่ผู้เดียวก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปปรนนิบัติหญิงอื่น บอกนางให้หยุดพูดและยกเลิกความคิดโง่ๆ นั่นเสีย อย่าทำให้เขาโมโหอีก
นางฟังด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เชื่อ
ขนาดสู่ขอนางแต่งงานเขายังหลอกนางเลย แล้วเรื่องอื่นนางจะเชื่อได้อย่างไร
บางทีก็คิดว่าการที่พวกเขาไม่ได้เดินด้วยกันไปจนสุดทางนั้นมันไม่แปลกเลย ระหว่างพวกเขาทั้งสองมีเรื่องปิดบังซึ่งกันและกันมากมาย ตั้งแต่แต่งงานกันครั้งนั้น มีภาระอันหนักหนามากมายที่ต้องแบกรับ หากนางไม่ได้ตายอย่างอนาถ แต่จุดจบมันก็คงไม่สวยงามนักหรอก
เซี่ยชิงเหยาเอนกายนอนลงช้าๆ พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อาซื่อ ถ้าหากในวันข้างหน้าข้าหาคนเช่นนั้นไม่เจอ ข้าก็จะไม่แต่งงาน ข้ากลัว…”
เซี่ยชิงเหยาคงจะเหนื่อยมากจริงๆ ไม่ว่าจะทางจิตใจหรือร่างกายก็ตาม เมื่อนางระบายความกลัดกลุ้มในใจออกมา เสียงลมหายใจก็ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
เจียงซื่อจ้องไปที่มุ้งอยู่สักพักถึงได้หลับตาลง
วันรุ่งขึ้นเจียงซื่อตื่นขึ้นมาก่อน พอเห็นเซี่ยชิงเหยานอนหลับสนิท จึงส่ายหน้าเบาๆ ให้กับสาวรับใช้ที่มารอล้างหน้าล้างตา “ให้คุณหนูนอนต่ออีกสักพัก มิเช่นนั้นช่วงกลางวันจะเพลียได้”
ในฐานะเซี่ยชิงเหยาเป็นสตรีผู้เดียวของจวนหย่งชังปั๋ว ช่วงกลางวันต้องมาคุกเข่านั่งหน้าโลงศพเพื่อต้อนรับแขกที่มาร่วมงานศพ หากต้องทนทรมานอยู่อย่างนี้ทั้งวัน แม้จะมีร่างกายที่แข็งแรงก็ไม่ไหวหรอก ตอนนี้นอนพักต่ออีกสักหน่อยถือเป็นการเก็บแรงไว้
หลังจากที่เจียงซื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จก็นั่งลงที่เก้าอี้แกะสลักข้างเตียงเพื่อคิดอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากหน้าต่างดังขึ้นเบาๆ
เจียงซื่อหันไปมองที่หน้าต่างช้าๆ ได้กลิ่นที่คุ้นเคย
เอ้อร์หนิว?
เจียงซื่อนึกขึ้นได้จึงหันไปมองเซี่ยชิงเหยาที่กำลังอยู่ให้ห้วงความฝัน จากนั้นก็รีบเดินไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็วแล้วผลักหน้าต่างออกเบาๆ
อากาศอันบริสุทธิ์พวยพุ่งเข้ามา ตามด้วยกลิ่นอายยามเช้าตรู่
สุนัขตัวใหญ่ใช้สองเท้าหน้าเกาะที่หน้าต่าง ทำหน้าตาน่าสงสารมองมาที่นายหญิงของมัน
เอ้อร์หนิวหิวแล้ว…
———————————-
[1] เล่าปิ่ง ขนมแป้งทอดชนิดหนึ่งของจีน