ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 182 เจรจางานแต่งงานหน้าโลงศพ
เซี่ยชิงเหยามองเจียงซื่อด้วยความสงสัย “อาซื่อ เจ้ามีวิธีอะไร”
เจียงซื่อกระซิบบอกเซี่ยชิงเหยา
เซี่ยชิงเหยายิ่งทำหน้าประหลาดใจ “ทำเช่นนี้ได้หรือ”
“ลองดูก่อน หากไม่สำเร็จก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น คนเราย่อมมีทางออกเสมอ”
เซี่ยชิงเหยาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “ดี เช่นนั้นก็ลองดู”
ทั้งสองฉุดกระชากลากถูพากันไปหาเซี่ยอินโหลว พอถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งดังออกมา “อินโหลว อาสะใภ้ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก สตรีที่อาพูดถึงน่ะ รูปร่างหน้าตานิสัยความสามารถโดดเด่น เหมาะสมกับเจ้า”
เซี่ยชิงเหยาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา พลางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “พี่ใหญ่ เวลานี้ท่านต้องอยู่ในห้องเซ่นไหว้ศพ แล้วเหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ข้าหาท่านตั้งนาน”
เมื่อเห็นน้องสาวกับเจียงซื่อ สีหน้าที่เคร่งเครียดของเซี่ยอินโหลวก็ผ่อนคลายลง แล้วเผยสีหน้าเก้อเขินออกมาเล็กน้อย
เดิมคิดว่าหากเขาไม่ตอบ พวกเขาจะหยุดพูดเรื่องไร้สาระไปเอง แต่ไม่นึกเลยว่าพวกน้องสาวจะได้ยินเข้า
เมื่อเห็นเซี่ยชิงเหยาเข้ามา สตรีนางหนึ่งขมวดคิ้วขึ้นแล้วรีบเผยสีหน้าอันอบอุ่นออกมา “เซี่ยชิงเหยา ผู้ใหญ่กำลังคุยธุระกัน เจ้าไปพักก่อนเถิด”
เซี่ยชิงเหยาทำหน้าไขสือมองไปที่เซี่ยอินโหลว “พี่ใหญ่ ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการจัดงานศพท่านพ่อกับท่านแม่อีกหรือ”
เซี่ยอินโหลวลุกขึ้น สีหน้าเยือกเย็น “ไม่มีแน่นอน”
พอเห็นเขากำลังจะไป สตรีนางหนึ่งก็รีบพูดขึ้น “อินโหลว เจ้าคิดผิดแล้ว นอกจากจัดการเรื่องงานศพของนายท่านปั๋วและปั๋วฮูหยินแล้ว ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการแต่งงานของเจ้า!”
เซี่ยอินโหลวมองสตรีผู้นั้นอย่างเยือกเย็น ไม่พูดไม่จา
สตรีผู้นั้นไม่สนใจสีหน้าที่สามารถแช่แข็งผู้คนได้ของเซี่ยอินโหลวหรอก ในสายตาของนางเขาก็เป็นเพียงเด็ก พวกเขาได้รับคำสั่งจากหัวหน้าตระกูลมาเชียวนะ หากเด็กคนนี้ไม่รักษามาดของซื่อจื่อ ก็อย่าได้หวังว่าจะมีชื่อเสียงที่ดีเลย
ไม่มีชื่อเสียงที่ดีแล้วยังคิดจะสืบทอดตำแหน่งต่อ ฝันไปเถอะ!
“แต่งงาน?” เซี่ยชิงเหยาราวกับกำลังฟังเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปาน นางพูดเสียงสูง “ท่านพ่อกับท่านแม่เพิ่งจากไป ลูกๆ ต้องทำการไว้ทุกข์ให้สามปี แล้วจะแต่งงานได้อย่างไรเจ้าคะ”
เด็กสาวเชิดหน้าขึ้น สีหน้าท่าทางแสดงความไม่พอใจอย่างมาก
สตรีผู้นั้นไม่กลัวเซี่ยอินโหลว ทว่ากลับรู้สึกกลัวเซี่ยชิงเหยาเล็กน้อย
เด็กสาวที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ก็เหมือนคนเท้าเปล่าที่ไม่กลัวคนสวมรองเท้า[1] หากแม่นางน้อยผู้นี้ทำนางเสียหน้าจริงๆ แล้วตัวนางจะไปร้องทุกข์กับใครได้
เวลานี้ท่านป้าสะใภ้ของเซี่ยชิงเหยาก็เอ่ยปากขึ้น “ชิงเหยา ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น พี่ของเจ้าเป็นลูกชายคนเดียวแห่งจวนหย่งชังปั๋ว พ่อกับแม่เจ้าจากไปอย่างกะทันหัน ไม่ทันเห็นพี่เจ้าแต่งงานไม่รู้ว่าว่าจะเสียใจเพียงใด เจ้าแข็งใจให้พวกเขาอดทนรออีกสามปีได้ลงคอหรือ อีกอย่างจวนปั๋วที่กว้างขวางนี้คงไม่อาจอาศัยแค่พี่เจ้าคนเดียวดูแลได้ เช่นนั้นถือโอกาสที่ยังไม่ถึงเจ็ดวันแต่งพี่สะใภ้เข้าจวนให้เจ้าหนึ่งคน จากนี้พี่ชายเจ้าก็จะได้มีภรรยา ไม่ดีหรือไง”
จุดนี้ทั้งอาสะใภ้แปดและป้าสะใภ้เห็นพ้องตรงกัน นางชำเลืองมองเจียงซื่อที่ตามเซี่ยชิงเหยาอยู่ข้างๆ พลางพูดชี้เป็นนัย “มีอาสะใภ้ช่วยพี่ชายเจ้าเลือก แน่นอนว่าจะต้องได้สตรีที่เรียบร้อย อ่อนโยน มีคุณธรรมเข้ามาแน่นอน นี่ดีกว่าการที่พี่ชายของเจ้าถูกหญิงสาวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเกลี้ยกล่อมไปเสียอีก”
เซี่ยชิงเหยาสีหน้านิ่งสุขุมลง มองไปที่ป้าสะใภ้ “นี่เป็นประสงค์ของท่านป้าสะใภ้หรือเจ้าคะ”
ป้าสะใภ้กระตุกยิ้มมุมปากขึ้น “เรื่องนี้ ลุงของเจ้าได้ปรึกษาหารือกับท่านยายของเจ้าก่อนจะมา ข้าไม่กล้าตัดสินใจเองหรอก ชิงเหยาเจ้าเป็นลูกสาวคนเดียว อย่าได้กังวลไปเลย”
ไม่เจอกันตั้งหลายปี ไม่นึกเลยว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นคนปากดีเช่นนี้ โชคดีที่ประสงค์ของนายท่านคือให้ยกลูกสาวแต่งเข้าจวนหย่งชังปั๋ว ไม่ใช่ให้ลูกชายของนางมาสู่ขอเด็กคนนี้ มิเช่นนั้นหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็ไม่ยอมแน่!
“ใช่ เรื่องนี้อาอาสะใภ้จัดการให้ เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก” อาสะใภ้แปดเหลือมองป้าสะใภ้
ทั้งสองสบตาเป็นอันรู้กัน บรรยากาศดุเดือดมาก
พวกเขามีจุดมุ่งหมายเดียวกันครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะสำเร็จได้คงต้องวัดกันจากฝีมือแล้ว
เซี่ยชิงเหยามองเห็นอยู่กับตา ทว่าเศร้าอยู่ในใจ
เป็นอย่างที่อาซื่อพูดไว้ไม่มีผิด ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดอยากจะให้คนของตัวเองเข้ามาเป็นปั๋วฮูหยินในอนาคต ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างพวกนางจึงเป็นโอกาสของนางกับพี่ชาย
“แต่ข้าได้ยินท่านแม่เคยพูดไว้ว่าพี่ใหญ่ดูตัวไปแล้ว หากต้องกานให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตายตาหลับ ข้ารู้สึกว่าเลือกหญิงสาวที่ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นคนเลือกไว้จะเหมาะสมยิ่งกว่า”
ทันใดนั้น เซี่ยอินโหลวก็หันขวับไปมองเจียงซื่อ แล้วคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เซี่ยอินโหลวขมวดคิ้ว เตรียมจะเอ่ยปากห้ามไม่ให้น้องสาวก่อเรื่อง
เรื่องวุ่นวายในตระกูลของพวกเขา ไม่ควรลากผู้อื่นเข้ามาเกี่ยว
เซี่ยชิงเหยาคล้ายกับรู้ว่าพี่ชายจะทำอะไร จึงใช้มือที่แอบอยู่ด้านหลังดึงเขาไว้
เซี่ยอินโหลวข่มความสงสัยในแววตา แล้วตัดสินใจรอดูความเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ
“ดูตัว? สตรีจากตระกูลไหนกัน” อาสะใภ้แปดพูดเสียงสูงทันที
ป้าสะใภ้พูดตาม “ในเมื่อการแต่งงานยังไม่ถูกกำหนดขึ้น ฝ่ายหญิงคงไม่ยอมแต่งภายในเจ็ดวันนี้หรอก ถึงเวลาก็ต้องรออีกสามปี…”
“หลังจากผ่านไปสามปีพี่ชายข้าก็ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ยังไม่สายไปแม้แต่น้อย” เซี่ยชิงเหยาทนไม่ไหวที่จะโต้กลับ
อาสะใภ้แปดตบฉาดลงที่หน้าขา “ชิงเหยา เจ้ายังเด็ก ทำไมต้องเร่งให้พี่ชายเจ้าแต่งงานภายในเจ็ดวันน่ะหรือ นั่นก็เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ใครจะรู้ว่าในเวลาสามปีจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
เซี่ยชิงเหยาโกรธจนหน้าซีดเผือด “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร กำลังแช่งพี่ชายข้าให้เกิดเรื่องอยู่งั้นหรือ”
ป้าสะใภ้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ขุ่นเคือง “ใช่ คำพูดของเจ้าช่างอำมหิตเสียจริง อินโหลว พ่อกับแม่เจ้าไม่อยู่แล้ว ท่านลุงจะเป็นคนจัดการเรื่องแต่งงานของเจ้าเอง เรื่องวันนี้ต้องฟังลุงกับป้านะ พวกเราล้วนทำเพื่อพวกเจ้าทั้งนั้น…”
“ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้หวังดีกับพวกเราจริงหรือ”
“จริงสิ”
อาสะใภ้แปดไม่ยอมถอย “ชิงเหยา พวกเราต่างหากที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ใช้แซ่เซี่ยเหมือนกัน อาสะใภ้แปดต่างหากที่ทำเพื่อพวกเจ้าด้วยความจริงใจ”
เซี่ยชิงเหยาเช็ดน้ำตา หัวเราะเยาะออกมา “ในเมื่อป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดต่างพูดว่าหวังดีกับพวกข้า เช่นนั้น หากพวกท่านคนใดคนหนึ่งสามารถพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าโลงศพพ่อกับแม่ข้าได้ ผู้นั้นก็จะได้จัดการเรื่องการแต่งงานของพี่ชายข้า”
ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดเงียบไปทันที
“หากป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดไม่กล้าพูด เรื่องการแต่งงานของพี่ชายข้าพวกท่านก็ไม่ต้องยุ่ง อย่างที่พวกท่านผู้อาวุโสพูด สิ่งที่พ่อกับแม่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเรื่องการแต่งงานของพี่ใหญ่ เช่นนั้นจะทำอย่างลวกๆ ไม่ได้เป็นอันขาด หากป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดสาบานต่อหน้าโลงศพพ่อกับแม่ข้าว่าสตรีที่พวกท่านพูดถึงดีจริง พ่อกับแม่ข้าในปรโลกก็คงจะวางใจได้สักที หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็รอไว้ทุกข์สามปีก่อนค่อยเลือก”
“ไปก็ไปสิ ข้าไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจตนเอง” อาสะใภ้แปดเหล่มองป้าสะใภ้ จากนั้นก็เดินไปที่เพิงโลงศพ
ป้าสะใภ้ไม่ยอมแพ้ รีบตามไปทันที
ภายในห้องมีผู้อาวุโสหลายคนทั้งคนในตระกูลและญาติทางฝั่งมารดา รวมไปถึงท่านลุงและท่านอาแปดผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของบิดาจากตระกูลเซี่ย
การแก่งแย่งเช่นนี้ หากให้บุรุษออกหน้าจะดูไม่ดีนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความคิดของพวกเขา
“อาซื่อ…” เมื่อเห็นผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเพิงเซ่นไหว้ศพ เซี่ยชิงเหยาจึงสะกิดเจียงซื่อด้วยความกระวนกระวายใจ
เวลานี้เป็นตอนเที่ยงวัน จึงยังไม่มีคนเข้ามาในเพิงเซ่นไหว้ศพ ภายในเพิงเซ่นไหว้ศพจึงโล่งมาก ทว่าชั่วพริบตาเดียวผู้คนก็หลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมด
เจียงซื่อดีดนิ้ว มายาหิ่งห้อยบินไปทางอาสะใภ้แปดและป้าสะใภ้อย่างเงียบๆ
เจียงซื่อส่งสายตาให้เซี่ยชิงเหยาเพื่อให้นางผ่อนคลาย
เซี่ยชิงเหยาตั้งสติ เอ่ยขึ้นเสียงดัง “อาสะใภ้แปด ท่านพูดกับท่านพ่อและท่านแม่ของข้าก่อนเถิด”
อาสะใภ้แปดมองโลงศพสีดำขลับที่วางเรียงอยู่ กลิ่นกระดาษเงินกระดาษทองที่ถูกเผาลอยโชยมาแตะจมูก รู้สึกว่าอากาศเย็นขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งมาถึง
————————–
[1]คนเท้าเปล่าที่ไม่กลัวคนสวมรองเท้า เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วย่อมไม่กริ่งเกรงอันใดอีก