ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 19 โรงน้ำชา
“หลานฝันเห็น…” แววตาเจียงซื่อพลันเผยให้เห็นความหวาดกลัววูบหนึ่ง
เฝิงเหล่าฮูหยินอดกลั้นหายใจไม่ได้
ตะเกียงกำยานสามขาใกล้หน้าต่างส่งควันม้วนลอยโชยกลิ่นหอม เป็นกำยานที่เฝิงเหล่าฮูหยินใช้อยู่เป็นประจำ
เฝิงเหล่าฮูหยินพิถีพิถันในเรื่องเหล่านี้ ในหนึ่งปีสี่ฤดู จะใช้กลิ่นไหนเวลาใดต่างมีกำหนด
แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงซื่อก็ไม่ชอบกลิ่นกำยานนี้เอาเสียเลย
มันฉุนมากเกินไป จนนางรู้สึกแสบที่จมูก
“ฝันเห็นไก่ฟ้าสีทองคู่หนึ่งจะบินเข้ามาตะครุบดวงตาของหลานเจ้าค่ะ หลานลนลานหนี สุดท้ายไก่ฟ้าสีทองคู่นั้นกลับบินมุ่งไปทางท่านย่า…”
“หลังจากนั้นเล่า” แก้วตาเฝิงเหล่าฮูหยินหดลง
“จากนั้น…” เจียงซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเฝิงเหล่าฮูหยิน “หลานเห็นว่าท่านหนีไปไม่ทัน ถูกไก่ฟ้าสีทองตัวหนึ่งข่วนเข้าที่ดวงตาของท่านย่าจนได้รับบาดเจ็บ”
มือของเฝิงเหล่าฮูหยินที่จับถ้วยชาเอาไว้พลันกำแน่นขึ้น
อายุวัยนางนี้มักเชื่อในเรื่องประหลาดเพ้อฝัน เมื่อคืน นางฝันร้ายเช่นนี้จนตกใจตื่น จิตใจปั่นป่วนยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าซื่อเอ๋อร์จะฝันในเรื่องเดียวกัน
“เจ้าจำได้หรือไม่ว่าไก่ฟ้าสีทองตัวนั้นข่วนไปที่ดวงตาข้างไหนของข้า”
“ข้างซ้ายเจ้าค่ะ” เจียงซื่อเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล
จิตใจเฝิงเหล่าฮูหยินสั่นสะท้าน
หากเป็นเมื่อครู่นี้ นางคงมีความเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว เพราะในฝันของนาง ไก่ฟ้าสีทองตัวนั้นข่วนเข้าที่ดวงตาข้างซ้ายจริงๆ!
ความฝันนี้ต้องเป็นลางร้ายแน่นอน อย่างน้อยต้องเป็นจริงในแปดถึงสิบส่วน มิเช่นนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองคนจะฝันถึงสิ่งเดียวกัน
“แล้วหลังจากนั้นเล่า” เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยถามอย่างตั้งใจ
“เพียงเห็นไก่ฟ้าสีทองทำร้ายท่านย่า หลานเองก็กลัวลนลานจนตื่นเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรหลังจากนั้นแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินนิ่งงัน ผ่านไปอีกพักใหญ่ จึงพึมพำกับตัวเอง “ฝันร้ายนี้เป็นลางสื่อถึงอะไรกันนะ”
นางเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อตัว แต่แล้วเจียงซื่อกลับเอ่ยตอบ “ลางสังหรณ์บอกชัดเจนเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินถึงกับนิ่งค้าง จ้องขเม็งไปยังหลานสาวราวกับจ้องมองคนแปลกหน้า
เจียงซื่อแย้มยิ้มมุมปาก “วันนี้เพียงพบหน้าพี่รอง ข้าก็คิดขึ้นมาได้ทันที พี่รองเป็นเอ้อร์กูไหน่ไนแห่งจวนปั๋ว ทั้งยังเกิดปีระกา ไก่ฟ้าสีทองคู่มิใช่นางหรือเจ้าคะ”
“เหลวไหล!” เฝิงเหล่าฮูหยินสีหน้าคล้ำลง
เจียงซื่อคลายมือออก “ในตอนแรก หลานเองก็คิดไม่ถึงเจ้าค่ะ แต่เมื่อคืน เพิ่งฝันถึงเรื่องแปลกประหลาด แล้ววันนี้พี่รองก็มาถึง”
“พอได้แล้ว” เฝิงเหล่าฮูหยินกระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะ ไม่อยากฟังคำเจียงซื่ออีกต่อไป “เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“หลานสาวขอคำนับลา” เจียงซื่อย่อตัวคำนับขอลา ไม่คิดจะรั้งเอ่ยคำใดอีก จึงก้าวเดินจากไปในทันใด
“ช้าก่อน” เฝิงเหล่าฮูหยินส่งเสียงรั้งไว้
“ท่านย่ายังมีเรื่องใดจะรับสั่งหรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องเหลวไหลนี้จากปากผู้อื่น!”
เจียงซื่อยิ้ม “ท่านย่าโปรดวางใจ หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ในชาติก่อน คนที่กล่าว “เรื่องเหลวไหล” ก็คือท่านย่าเสียเอง
และก็เป็นช่วงเวลานี้ล่ะ ที่เฝิงเหล่าฮูหยินพลันเริ่มรู้สึกปวดที่ตาข้างซ้าย ผ่านไปสองวันก็มองไม่เห็นเสียแล้ว
เฝิงเหล่าฮูหยินรับความเจ็บปวดที่สูญเสียการมองเห็นไม่ได้ เมื่อเชิญหมอมารักษาแล้วหลายคนก็ยังไร้ผล ท้ายสุดจึงเชิญแม่หมอมาคนหนึ่ง
แม่หมอประกอบพิธีไปครั้งหนึ่ง ท้ายที่สุดทุกอย่างกลับมุ่งไปที่เจียงจั้น
เจียงจั้นนับเป็นหลานลำดับที่สองของตระกูล ชอบเดินเล่นชมนก และบังเอิญเวลานั้นได้ซื้อนกแก้วมาหนึ่งคู่ สัญญาณต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่างตรงกันกับฝันร้ายของเฝิงเหล่าฮูหยินทุกประการ
เฝิงเหล่าฮูหยินจึงปักใจเชื่อเรื่องนี้โดยไม่สงสัย พลางออกคำสั่งต่อหน้าเจียงจั้นให้หักคอนกแก้วคู่นั้นให้ตาย
พูดไปก็แปลก หลังจากนกแก้วคู่นั้นถูกกำจัดเพียงไม่นาน ดวงตาข้างซ้ายของเฝิงเหล่าฮูหยินก็ดีขึ้นตาม หลังจากนั้น ก็รู้สึกไม่ชอบเจียงจั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
เจียงซื่อยังจำวันที่เจียงจั้นจากไป แล้วนางรีบรุดกลับมาเพื่อร่วมงานฝังศพได้ ท่านพ่อที่หากไม่ตีก็ดุว่าพี่รอง ในวันปกติ ในวันนั้นท่านพ่อผมขาวไปแล้วมากกว่าครึ่งศีรษะ ทว่าท่านย่ากลับนิ่งสงบได้ดั่งปกติ
ในตอนนั้นนางเห็นว่าท่านย่าช่างเข้มแข็งสมกับเป็นผู้ปกครองแห่งตระกูลอันสูงศักดิ์ ภายหลังถึงได้เข้าใจว่านั่นหาใช่ความสงบไม่ แต่มันคือความเย็นชา
เดิมทีก็ไร้ความรู้สึกอยู่แล้ว แล้วจะเสียใจได้อย่างไร
เมื่อเจียงซื่อออกไปแล้ว เฝิงเหล่าฮูหยินก็ไม่ได้สงบนิ่งอีกต่อไป
คำพูดซื่อเอ๋อร์ก็ไม่นับว่าเหลวไหลเสียทีเดียว
“เฝิงมาหม่า เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”
เซียวซื่อนับเป็นเอ้อร์ไท่ไท่[1]ผู้ดูแลกิจการงานต่างๆ ในจวน ปกติเซียวซื่อมักจะเอาใจคนของเฝิงฮูหยินอยู่เสมอ อย่างไรเสีย เฝิงมาหม่าต้องช่วยพูดแทนให้เอ้อร์ไท่ไท่บ้างล่ะ
“เรื่องนี้ก็พูดยากอยู่สักหน่อย…”
“มีเรื่องอะไรเจ้าก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ เจ้ารับใช้ข้ามากี่ปี ยังไม่รู้จักข้าอีกหรือ”
เฝิงมาหม่าลนลานเอ่ยตอบรับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้บ่าวทนดูคุณหนูสี่พูดคุยกับเอ้อร์กูไหน่ไนอย่างไม่ใคร่คุ้นเคยนัก หรือเป็นเพราะระหว่างสองพี่น้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่เจ้าค่ะ”
“แล้วความฝันของซื่อเอ๋อร์ล่ะ จะอธิบายว่าอย่างไร”
“คุณหนูสี่และเหล่าฮูหยินต่างฝันคล้ายกัน เช่นนั้น ความฝันนี้อาจจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง แต่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บ่าวเองก็คิดไม่ออกเจ้าค่ะ”
“ขอให้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้นเถอะ” เฝิงเหล่าฮูหยินพึมพำ
ขณะที่เฝิงเหล่าฮูหยินพูดคุยกับเฝิงมาหม่านั้น เรือนหยาซินส่งสาวรับใช้ชุดเขียวมาแอบถามไม่กี่คำ แล้วรีบกลับไปรายงานเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อ
“ไท่ไท่ พี่สี่เล่าว่าวันนี้คุณหนูสี่พูดจาถากถางเอ้อร์กูไหน่ไนหลายครั้ง เหล่าฮูหยินรำคาญใจนัก จึงไม่รั้งให้เอ้อร์กูไหน่ไนอยู่พูดคุยต่อ เอ้อร์กูไหน่ไนคงไม่สบายใจนัก เลยตรงกลับไปยังบ้านสามีทันที…”
เซียวซื่อพลันหน้าคล้ำลง
เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร นางดูแลตระกูลมากว่าหลายปี ไม่เคยขาดตกบกพร่องในหน้าที่ที่มีต่อเรือนใหญ่ แล้วเชี่ยนเอ๋อร์ก็ดูแลเจียงซื่อตามหน้าที่พี่สาวด้วยดีมาตลอด เหตุใดเจียงซื่อถึงไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ กล้าดีอย่างไรมาทำให้บุตรีนางต้องไม่สบายใจ
เซียวซื่อยิ่งคิดยิ่งโมโห หน้าคล้ำขึ้นพลางสั่งการ “ไปเรียกป้าหลิวในครัวมา”
เจียงซื่อไม่รู้ว่าที่เจียงเชี่ยนรีบออกจากเรือนฉือซินไปนั้น ทำให้เซียวซื่อกังวลใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถึงแม้จะรู้ นางก็ไม่ใส่ใจอยู่ดี
หลังออกจากเรือนฉือซิน นางใช้ให้อาเฉี่ยวไปรายงานเจียงอันเฉิง ส่วนนางออกไปข้างนอกพร้อมกับอาหมาน
ชั้นสองของโรงน้ำชามองเห็นความคึกคักของเมืองพอดี เจียงซื่อละเมียดน้ำชาในมือ
อาหมานดื่มชาในถ้วย ลิ้มรสชาแล้วเอ่ยขึ้น “รสไม่ดีเท่ารสน้ำชาที่เรือนเราเลยเจ้าค่ะ”
“จิบชาไม่เพียงเพื่อรสชาติ” เจียงซื่อไม่แปรสายตาไปจากภาพเบื้องหน้า เอ่ยตอบไปลอยๆ
“มิใช่เช่นนั้น แล้วเพื่ออะไรหรือเจ้าค่ะ” อาหมานเอ่ยอย่างแปลกใจ
เจียงซื่อเห็นเจียงจั้นเดินมาไกลๆ
เจียงจั้นยังอายุไม่ถึงสิบเจ็ดดี เมื่อเดินท่ามกลางผู้คนจึงดูไม่สูงเด่น แต่กลับดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก
ดวงตาราวหยกสวยของคุณชายหนุ่ม เปรียบเหมือนดั่งไข่มุกงามท่ามกลางกรวดทราย ที่ทั้งธรรมชาติทั้งโดดเด่น ชวนให้ดึงดูดสายตาเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ดึงดูดเจียงซื่อหาใช่ความหล่อเหลาของพี่ชายคนนี้ไม่ แต่คือกรงนกในมือของเขาต่างหาก
กรงนกสานหวายประณีตงดงาม ข้างในคือนกแก้วหลากสีหนึ่งคู่
“ก็เพื่อหยุดคนยังไงเล่า” เจียงซื่ออธิบายขึ้นลอยๆ สายตายังจับจ้องไปยังเจียงจั้นที่เดินใกล้เข้ามา
เจียงจั้นฮัมเพลงพลางเดินอย่างแคล่วคล่อง บ่าวใช้อาจี๋ต้องเร่งฝีเท้าตาม
ขณะที่เจียงจั้นใกล้จะเดินผ่านโรงน้ำชาอยู่นั่นเอง เจียงซื่อก็โยนขนมลงไปเล็กน้อย และโดนหัวไหล่เจียงจั้นเข้าพอดี
เจียงจั้นยื่นมือออกไปคลำดู ก็พบว่าเสื้อขาวใสพลันเปื้อนไปด้วยเศษขนม
เจียงจั้นโกรธขึ้ง เงยหน้าขึ้นเตรียมด่า “ใครช่าง…”
ใบหน้างามงดของสาวน้อยแอบหลบเข้าหลังหน้าต่าง
“เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!” เจียงจั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยต่อคำ
[1] ไท่ไท่ มีความหมายเดียวกับฮูหยิน ในนี้กล่าวถึงอาสะใภ้รองของเจียงซื่อ ผู้แปลจึงถอดเสียงเรียกตามภาษาจีนว่า เอ้อร์ไท่ไท่ (ฮูหยินบ้านรอง) แทนคำว่าฮูหยินรอง เพื่อไม่สร้างความสับสนแก่นักอ่าน