ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 195 องค์ชายฟ้องต่อทางการ
เจินซื่อเฉิงโกรธจนหนวดเคราสั่นเมื่อเห็นบุตรชายวิ่งออกไปเร็วยิ่งกว่ากระต่าย
ลูกคนนี้ทำไมถึงไม่ได้สติสักทีนะ สายตาของเขาดีขนาดนี้ หญิงสาวที่เข้าตาเขาจะแย่ได้เพียงนั้นเชียวรึ
เจินซื่อเฉิงอดคิดถึงวันที่บุตรชายถามเขาว่าหญิงสาวที่เขาชื่นชอบมีข้อดีอะไร เขาตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “นางมีพรสวรรค์ด้านการไขคดีมาก”
มีข้อดีดีถึงเพียงนี้ แต่ลูกไม่เอาไหนกลับไม่ชอบ
เจินซื่อเฉิงนึกถึงสีหน้าของเจินเหิงหลังจากที่ฟัง ก็รู้สึกโกรธจัดพลางออกแรงดึงหนวดเครา
หรือว่าต้องให้เขาเอาข้อดีที่ไม่สำคัญอย่างเรื่องรูปลักษณ์ของแม่หนูนั่นออกมาพูดก่อน ความคิดตื้นเขินยิ่งนัก!
“ใต้เท้าขอรับ มีคนมาร้องทุกข์ขอรับ” เจ้าหน้าที่ราชการวิ่งมารายงานอย่างรีบร้อน
เจินซื่อเฉิงปรับคืนสีหน้าเป็นนิ่งเรียบ แล้วก้าวเท้ากว้างเดินออกไป
ในโถงศาล ระหว่างที่เจินซื่อเฉิงยังมาไม่ถึง เจ้าหน้าที่หลายคนพากันมองและซุบซิบชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ แต่พวกเขาไม่เคยเห็นใครลากศพมาฟ้องต่อทางการจริงๆ
“ใต้เท้ามาถึงแล้ว!”
โถงศาลพลันเงียบสงัด
เจินซื่อเฉิงนั่งลงที่เก้าอี้ตัดสินคดีและมองออกไป เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านล่างก็อดตะลึงไม่ได้
ชายหนุ่มคนนี้คือหนึ่งในกลุ่มหนุ่มสาวที่เขาบังเอิญพบที่วัดหลิงอู้
เมื่อคิดได้ว่าคุณหนูเจียงกับชายหนุ่มคนนี้รู้จักกัน เจินซื่อเฉิงก็เข้าใจทันทีว่าสถานะของคนนี้ไม่ใช่คนร่ำรวยมีฐานะก็ต้องเป็นคนชนชั้นสูง แน่นอนว่าสถานะเช่นนี้เมื่ออยู่ในเมืองหลวง มันเป็นเรื่องทั่วไป สำหรับเจินซื่อเฉิง มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือความบังเอิญที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น
เจินซื่อเฉิงดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาทุบไม้ปลุกสติ “เปิดศาล”
ไม้พลองในมือของเจ้าหน้าที่เริ่มเคาะกับพื้น “เวยอู่[1]…”
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งตะโกนขึ้น “บังอาจ อยู่ในโถงศาลยังไม่คุกเข่าลงอีก!”
อวี้จิ่นยิ้มอ่อน แล้วพูดกับเจินซื่อเฉิง “ใต้เท้าโปรดให้อภัยข้าด้วย ข้าไม่สะดวกที่จะคุกเข่าลงไป”
เจินซื่อเฉิงไม่ได้สนใจสิ่งนี้ จึงตอบหน้านิ่ง “ไม่เป็นไร เจ้าพูดมาเลยว่าเจ้าเป็นใคร มาฟ้องต่อทางการด้วยเรื่องอันใด”
ราชวงศ์ต้าโจวให้ความสำคัญกับบุ๋นมากกว่าบู๊ ผู้มีชื่อเสียงในฐานะนักปราชญ์ไม่ต้องคุกเข่าเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ คุณชายตระกูลชั้นสูงไม่ยอมคุกเข่าให้กับเขาก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
แต่ว่าตอนนี้เจินซื่อเฉิงเริ่มสงสัยสถานะของฝ่ายตรงกันข้ามแล้วล่ะ โดยปกติแล้ว หากว่าคนตระกูลผู้ดีต้องการฟ้องทางการ ก็ไม่ถึงกับต้องให้เจ้านายมาที่โถงศาลด้วยตนเอง เจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจไม่เบา
“เอ่อ คือว่า…มีคนลอบฆ่าข้า” อวี้จิ่นตอบกลับไปเรียบๆ
เจินซื่อเฉิงพลันยืดหลังนั่งตัวตรง สีหน้าเข้มขรึมขึ้นมาทันที “ลอบฆ่า?”
“อืม มีดที่แทงข้ายังอาบยาพิษด้วย”
เจินซื่อเฉิงมีความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม “แล้วคนๆ นั้นหนีรอดไปได้หรือไม่?”
ลอบฆ่า อาบยาพิษ มันเพียงพอที่จะสรุปได้แล้วว่าชายคนนี้มีสถานะที่ไม่ธรรมดา แล้วคดีนี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดา
อวี้จิ่นชี้ไปยังศพผู้ชายที่พื้น “ก็คือคนๆ นี้”
เจินซื่อเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว “ที่ท่านทำไป คือการละเมิดกฎหมาย”
ฆาตกรถูกฆ่า ขอแค่มีพยาน ผู้ถูกกระทำไม่ต้องรับโทษ แต่นี่เจ้าละเมิดกฎหมายฆ่าคนจนตาย แล้วลากมาที่โถงศาลเพื่อสิ่งใด
เจินซื่อเฉิงเกิดความรู้สึกเหมือนถูกหยอกเล่น สีหน้าจึงเข้มขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
อวี้จิ่นยิ้มเล็กน้อย “ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา แต่เขาฆ่าตัวตายด้วยการกัดยาพิษในปากตอนที่องครักษ์ของข้าจับได้”
“ท่านเป็นใครกัน” เจินซื่อเฉิงอดไม่ได้จึงถามต่อ
“ข้ามีแซ่ว่าอวี้ ชื่ออักษรเดี่ยวว่าจิ่น เป็นบุตรลำดับที่เจ็ด บิดาข้าคือ…โอรสแห่งสวรรค์คนปัจจุบัน”
ไม้พลองในมือของทหารนายหนึ่งตกลงกับพื้น เสียงแหลมก๊องแกร๊งดังขึ้นทันที
เจินซื่อเฉิงจับไม้ปลุกสติแน่น เสียงเอ่ยสูงขึ้นเล็กน้อย “ท่านช่วยพูดสถานะให้ชัดเจนกว่านี้อีกครั้งได้หรือไม่!”
อวี้จิ่นยังคงมีสีหน้าที่นิ่งเรียบ “ข้าคือโอรสองค์ที่เจ็ดของฮ่องเต้ ใต้เท้าเรียกว่าอวี้ชีก็ได้”
เจินซื่อเฉิงถึงกับลุกขึ้น “ท่านรู้หรือไม่…”
การสวมรอยว่าเป็นองค์ชายมีโทษถึงตายเชียวนะ!
อวี้จิ่นเงยหน้าสบตากับเจินซื่อเฉิง “ใต้เท้า ข้าไม่ใช่คนโง่”
เจินซื่อเฉิงเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอ่ย “ข้าต้องขอดูป้ายแขวนเอวเสียหน่อย”
อวี้จิ่นดึงป้ายออกมายื่นให้กับทหารที่อยู่ด้านข้าง
ทหารถือป้ายแขวนเอวด้วยอาการมือสั่นราวกับถือเผือกร้อนเอาไว้และนำยื่นให้กับเจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิงรับป้ายแขวนเอวมาตรวจดูอย่างละเอียด สองมือประสานพร้อมกับเอ่ย “ที่แท้ก็ท่านอ๋องนี่เอง ข้าน้อยขอคารวะ”
“ใต้เท้าไม่ต้องเกรงใจ ตอนนี้ท่านเป็นผู้สอบสวน ข้าคือผู้ร้องทุกข์ วันนี้ข้าต้องรบกวนใต้เท้าช่วยตัดสินให้ข้าด้วย”
แม้ว่าพิธีแต่งตั้งยังไม่ถูกจัดขึ้น แต่พระราชโองการแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องได้ถูกประกาศออกมาแล้ว ทุกคนจึงต้องเรียกขานอวี้จิ่นว่าท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องเป็นคนในราชวงศ์ ฉะนั้น คดีนี้ก็ไม่สามารถให้ศาลาว่าการพระนครมารับผิดชอบได้ ขอให้ท่านอ๋องรอข้าสักครู่” ความโปร่งใสชัดเจนที่ข้าราชการชั้นสูงพึงมี เจินซื่อเฉิงก็ไม่ขาด แน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากให้ใครจับจุดอ่อนหาว่าเขาข้ามหน้าข้ามตา จึงได้สั่งคนให้ไปรายงานต่อหน่วยซานฝ่าซือ[2]ทันที
เรื่องที่อวี้จิ่นถูกหน่วยกล้าตายลอบโจมตีถือว่าเป็นคดีที่ไร้ต้นเรื่อง หน่วยซานฝ่าซือรู้อยู่แก่ใจว่ายากที่จะหาผู้บงการเจอ แต่พวกเขากลับแสดงออกว่าจะสืบค้นออกมาให้ได้ ทว่าภายในใจนั้นได้ด่าทอองค์ชายเจ็ดที่ไม่ทำตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นจนไม่เหลือชิ้นดี
องค์ชายเจ็ดสร้างความวุ่นวายเก่ง สถานะอย่างเขาเมื่อเจอการลอบโจมตี เขาควรจะสืบหาอย่างลับๆ มิใช่หรือ มีอย่างที่ไหนที่ฟ้องไปถึงศาลาว่าการพระนคร
ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ คนเจ้าเล่ห์เจินซื่อเฉิงโยนคดีออกมาให้ พวกเขาก็ต้องเละไม่เป็นท่าแน่
สิ่งที่ทำให้หน่วยงานซานฝ่าซือแน่นจนจุกอกยิ่งกว่าก็คือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก จำเป็นต้องทูลต่อฮ่องเต้
หลายวันมานี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก พออากาศร้อน เดิมทีก็เป็นคนใจร้อนอารมณ์เสียง่ายอยู่แล้ว แล้วเหล่าพระสนมท้ายวังก็ไม่เคยหยุดหย่อน
เขาเพียงแค่ลงโทษเหล่าบุตรชายด้วยการจำกัดบริเวณเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเสด็จไปถึงพระตำหนักของพระสนมคนใด ก็ต้องพบเจอกับใบหน้าเศร้าหมองร้องห่มร้องไห้ มีใครไม่เบื่อหน่ายบ้างเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยางเฟยที่ช่วงนี้ฮ่องเต้รักและเอ็นดูมากเป็นพิเศษ แต่เพราะการตายของพี่ชาย นางจึงแสดงอาการไม่พอใจต่อฮ่องเต้อยู่เป็นประจำ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกตนเองว่าเป็นฮ่องเต้ที่ฉลาด ในวัยนี้เขาไม่มีความคิดจะคัดนางสนมเพิ่มอีก แต่ความอัดอั้นที่จุกอยู่ข้างใน ก็มักมีไฟอยู่หนึ่งก้อนที่ไม่มีที่ระบายออก
“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าสามท่านจากซานฝ่ามือมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่เดินเข้ามาทูล
จิ่งหมิงฮ่องเต้โยนรายงานที่ดูได้ครึ่งหนึ่งพร้อมกับตรัสต่ออย่างไม่มีความกริ้วแต่ยังแฝงไว้ด้วยพลัง “ให้พวกเขาเข้ามาได้”
มาขอพบในเวลานี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขามีประสบการณ์มาแล้ว
ไม่นาน เสนาบดีกรมอาญา เจ้ากรมตรวจการฝ่ายซ้าย และขุนนางผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ก็เดินเข้ามายังห้องทรงพระอักษรก่อนหลังตามลำดับ
“ขุนนางทั้งสามมีเรื่องใดจะรายงานรึ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันและกัน จากนั้นเสนาบดีกรมอาญาเป็นฝ่ายทูลตอบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังเรื่องเสร็จทรงกริ้วมาก แต่ถ้าจะด่าทอบุตรชายของตนต่อหน้าผู้อื่นก็รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย จึงตรัสกับพานไห่ “ไปเรียกเยี่ยนอ๋องเข้าวัง!”
อวี้จิ่นไม่รู้สึกประหลาดใจกับคำสั่งให้เข้าพบ เขาเดินตามพานไห่เข้าวังไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
เขาทำเรื่องนี้ให้วุ่นวาย จุดประสงค์สุดท้ายก็คือการได้ฟ้องต่อเสด็จพ่อ เสด็จพ่อที่เคยพบหน้าเพียงครั้งเดียวไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย
ตลอดทางมานี้พานไห่มองดูท่านอ๋องคนใหม่มีสีหน้านิ่งเรียบ แทบไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่จะมีอาการกังวลใจและอยากล้วงเหตุผลการเข้าพบจากปากเขาให้ได้ เขาจึงเกิดความความเห็นใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงกล่าวเตือนออกไป “ท่านอ๋อง ช่วงนี้ฝ่าบาทพระทัยร้อนบ้างเล็กน้อย”
นี่คือการเตือนอวี้จิ่นว่าฮ่องเต้อารมณ์เสียมาก ให้เขาระมัดระวังให้มาก
อวี้จิ่นไม่เคยคิดเลยว่าขันทีที่ไม่รู้จักกันจะแสดงความหวังดีกับเขา เขาจึงยิ้มอ่อนและตอบกลับไป “ขอบใจกงกงที่เตือน”
พานไห่พลันรู้สึกว่าคำเตือนที่ฉุกคิดขึ้นมานั้นมีคุณค่ามากเมื่อเห็นรอยยิ้มที่จริงใจของชายหนุ่ม
————————————
[1] เวยอู่ อักษรจีนคืน威武หมายถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ กล่าวเพื่อแสดงอำนาจของศาลและข่มขวัญนักโทษและคนทั่วไป
[2] ซานฝ่าซือ 三法司 เป็นสามหน่วยงานที่เกี่ยวกับกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ในสมัยราชวงศ์หมิง สามหน่วยงานนี้คือ สิงปู้ (刑部รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน) ต้าหลี่ซื่อ (大理寺 ไว้พิพากษา) ตูฉาย่วน (都察院 ไว้กำกับตรวจสอบ) หากมีคดีใหญ่จะไต่สวนและพิพากษาร่วมกัน