ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 196 ปฏิบัติอย่างเสมอภาค
เมื่อเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษร อวี้จิ่นคารวะต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างเรียบร้อย “ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
เขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดที่ใส่เมื่อตอนถูกลอบฆ่าออก รอยขาดตรงแขนเสื้อกับคราบเลือดที่ติดอยู่ได้ดึงดูดความสนใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้
คราบเลือดนั่นบาดตาจนไฟในทรวงอกของของจิ่งหมิงฮ่องเต้พุ่งขึ้น
ไม่ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อบุตรชายคนนี้อย่างไร แต่เขาก็เป็นองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ในปัจจุบัน เป็นถึงเยี่ยนอ๋อง แต่กลับมีคนกล้าลอบฆ่าเขาภายใต้การปกครองโดยโอรสแห่งสวรรค์ ทั้งยังใช้มีดทอาบยาพิษ!
ถ้าเช่นนั้น คนชั่วคนนั้นมีจุดประสงค์ใด แล้วเอาโอรสแห่งสวรรค์อย่างพระองค์ไปไว้ที่ไหนแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งโมโห เมื่อเทียบกับการที่อวี้จิ่นวิ่งไปฟ้องที่ศาลาว่าการพระนคร พระองค์กลับไม่รู้สึกโกรธมากถึงเพียงนั้น ถึงจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะด้วยสถานะของฮ่องเต้ หรือสถานะของบิดา หากว่าสมควรที่จะวิจารณ์ข้อผิดพลาด อย่างไรก็ต้องทำ
“วันนี้เจ้าถูกลอบฆ่า?”
อวี้จิ่นหย่อนตาลง “ลูกเป็นคนอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อเป็นห่วง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบจมูก
ใครเป็นห่วง ลูกคนนี้คิดเข้าข้างตัวเองเก่งเชียว
แต่การที่ฮ่องเต้ไม่ปฏิเสธ ก็ทำให้ขุนนางชั้นสูงที่อยู่ภายในห้องทรงพระอักษรรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทเป็นห่วงเยี่ยนอ๋องไม่น้อย นี่มันไม่ค่อยเหมือนกับที่พวกเขารับรู้ ดูเหมือนว่าต่อไปนี้จะต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเยี่ยนอ๋องในใจใหม่
คนที่คิดลึกซึ้งมากที่สุดหนึ่งในนั้นคือเสนาบดีกรมอาญา
ตั้งแต่องค์ชายเจ็ดกลับเข้ามาถึงเมืองหลวง เขาพักอาศัยในที่ลับและเรียบง่าย และแทบจะไม่ปรากฏตัวไม่ว่าจะสถานที่ใด จะว่าไม่มีตัวตนในเมืองหลวงเลยก็ว่าได้ หลายๆ คนเฝ้าดูเหตุการณ์ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อองค์ชายท่านนี้อายุสิบแปดปีและยังไม่ถูกฮ่องเต้เรียกพบ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดจะใช้วิธีที่ถูกจังหวะและเป็นขั้นตอนจนได้เข้าเฝ้า
สำหรับเสนาบดีกรมอาญา เขามองว่านี่เป็นการพาตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงตายแล้วพาตัวเองรอดชีวิตออกมาได้ ส่วนองค์ชายเจ็ดได้รับชัยชนะจากการเดิมพัน โอกาสที่ได้พบหน้าครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋องอย่างราบรื่น ส่วนครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดก็ได้เข้าเฝ้าอย่างถูกจังหวะและเป็นขั้นตอน!
ไม่ควรประเมินเยี่ยนอ๋องคนนี้ต่ำเกินไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองดูบุตรชายที่ก้มศีรษะลงพร้อมกับขมวดคิ้ว “ไปล่วงเกินผู้ใดมาอีกล่ะ”
โอรสแห่งสวรรค์ตรัสเช่นนี้ หากผู้ถูกถามเป็นคนอื่นคงจะกังวลไม่น้อย แต่อวี้จิ่นกลับไม่ใส่ใจใดๆ สีหน้าก็แทบจะไม่เปลี่ยน “หลังจากที่ลูกกลับมาถึงเมืองหลวง ลูกมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนน้อยมาก ลูกคิดไม่ออกว่าไปล่วงเกินผู้ใดไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนงานเลี้ยงฉลองครบชันษา เจ้าไม่ได้ล่วงเกินใคร” จิ่งหมิงฮ่องเต้พลั้งปากออกไป
อวี้จิ่นพลันตะลึงงัน เขาถอนหายใจและกล่าว “ลูกได้ล่วงเกินพี่ๆ น้องๆ หลายคนในวันนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พลันเกิดความอยากเตะคนขึ้นมา เพราะเขาพลั้งปากไป การที่เขาตรัสเช่นนี้ ก็หมายความว่าเขากำลังบอกกับคนอื่นว่าคนที่ทำกับเจ้าคือลูกคนอื่นของเขา!
ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า ในห้องทรงพระอักษรยังมีตาแก่อีกตั้งสามคน
‘ตาแก่’ สามคนก้มหน้าลงอย่างละอายใจ พร้อมกับแสดงสีหน้าไร้เดียงสาราวกับไม่ได้ยินอะไร
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เกิดความสงสัย ความสงสัยนั้นจะผุดขึ้นราวกับอุกกาบาตที่กำลังตกสู่พื้นดินชนิดที่ห้ามไม่อยู่ หลังจากอวี้ชีกลับมาถึงเมืองหลวง เขาพักอยู่ในสถานที่ที่เรียบง่ายและลับ เรื่องนี้พระองค์นั้นรู้ดี หากว่าเขาไปล่วงเกินใครก็คงหนีไม่พ้นพี่น้องของเขานั่นล่ะ ทะเลาะกันเพียงครั้งเดียว หนึ่งในพวกเขาก็คิดจะลงมือกับพี่น้องแท้ๆ อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เชียวหรือ
ความสนิทชิดเชื้อภายในครอบครัวราชวงศ์นั้นจืดจาง แต่ด้วยเหตุผลนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงห้ามพี่น้องทำร้ายกันเองโดยเฉพาะ
ส่งทหารหน่วยกล้าตาย ใช้มีดอาบยาพิษ นี่มันแตกต่างจากการทะเลาะวิวาทเป็นหมู่โดยสิ้นเชิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งโมโห สีพระพักตร์กลับไม่เปลี่ยน พระองค์ตรัสต่อขุนนางทั้งสามคน “เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องทำสิ่งใดอีก ปล่อยให้องครักษ์จิ่นหลินไปตรวจสอบแล้วกัน”
มุมปากของอวี้จิ่นขยับขึ้น
ไม่ว่าให้ใครตรวจสอบ และตรวจสอบพบมากน้อยเท่าไหร่ เขามีแต่ได้ ไม่มีเสีย ฉะนั้น บุตรชายถูกรังแกแล้ววิ่งไปฟ้องบิดาเป็นเรื่องที่ทำถูกต้องแล้ว
พอเสนาบดีกรมอาญาและอีกสองท่านได้ยิน ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก จึงตอบรับไว้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเผือกร้อนในมือก็ถูกโยนออกไปเสียที ใครอยากจะรับก็รับไปเถอะ
บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรมีความตึงเครียดเล็กน้อย จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองพานไห่ด้วยสีพระพักตร์ที่เข้มขรึมหนึ่งที “พานไห่ เจ้าไปถามเสนาบดีโต้วว่า เขาจะเก็บจวนเยี่ยนอ๋องไว้อยู่เองตอนปีใหม่รึ”
เสนาบดีกรมอาญาและอีกสองท่านสลับกันมองไปมา เป็นสายตาที่แสดงอย่างลับๆ ว่าเสนาบดีกรมโยธาธิการกำลังจะได้รับความเสียหายโดยไม่รู้ตัว
“เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นอวี้จิ่นเตรียมลากลับพร้อมกับเสนาบดีกรมอาญาและอีกสองท่าน จิ่งหมิงฮ่องเต้พลางเงยพระพักตร์ขึ้นตรัส “อวี้ชี เจ้าอยู่ก่อน”
อวี้จิ่นหยุดฝีเท้าลงภายใต้สายตาของท่านเสนาบดีกรมอาญาและอีกสองท่าน
หลังจากคนนอกออกไปกันหมด ท่าทางของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายลง พลางส่งเสียงฮึ่ม “อวี้ชี เจ้ายังมีมารยาทสักนิดอยู่หรือไม่ ถูกลอบฆ่าแล้วไปฟ้องที่ศาลาว่าการพระนครด้วยเหตุใด” เป็นถึงท่านอ๋อง พระโอรสของพระองค์ แต่ดันวิ่งไปฟ้องทางการเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป เขาแทบไม่อยากจะนึกสีหน้าของคนเหล่านั้นหลังจากที่รู้สถานะของลูกคนนี้ออก
“เจ้าเป็นใครมาจากที่ใด”
“ข้าเกิดในราชวงศ์ บิดาเป็นโอรสแห่งสวรรค์องค์ปัจจุบัน”
เพียงแค่คิด จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าได้เสียหน้าจนหมดสิ้น!
อวี้จิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ลูกไม่รู้ว่าเวลาเจอเรื่องแบบนี้จะต้องทำอย่างไร สิ่งแรกที่คิดได้คือฟ้องทางการพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มมีคิ้วและดวงตาที่งดงาม มีลักษณะบุคลิกที่ขาวใสดุจหิมะบนภูเขาสูง ดูแล้วชวนให้จิตใจเบิกบาน ซึ่งคนหรือสิ่งของที่ทำให้คนจิตใจเบิกบานได้ มักจะได้รับความรักมากเป็นพิเศษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองดูบุตรชายผู้มีบุคลิกงามสง่า พลันนึกถึงสิบกว่าปีที่เขาต้องอยู่ด้านนอกวัง โดยเฉพาะภายหลังที่ต้องไปอยู่ทางตอนใต้อันป่าเถื่อนไร้อารยธรรม หากว่าเขาไม่รู้จักมารยาทก็นับว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก
เขาจะร้องขอให้เด็กที่ถูกเลี้ยงอยู่ในป่าในเขาให้มีมารยาท รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนคนที่เติบโตในพระราชวังได้อย่างไร หากพระองค์ทำเช่นนั้น ก็เหมือนกับการรังเกียจหมาป่าที่ไม่กินหญ้า ซึ่งฮ่องเต้ผู้ฉลาดอย่างพระองค์ไม่มีวันทำเช่นนั้นเป็นอันขาด
“แค่กๆ ถ้าเจ้าเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องแล้ว เจ้าจะมีทหารของตนเอง ถึงเวลานั้นก็มีคนจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าเอง ต่อจากนี้ห้ามทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีก”
“ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นกล่าวยอมรับผิดอย่างฉับไว
ถึงอย่างไร การยอมรับผิดก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องเสียเนื้อไปหนึ่งส่วน ส่วนคนอื่นจะเสียเนื้อไปหนึ่งส่วนหรือไม่ เขาไม่สนใจ
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถิด ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่แต่ในที่พัก อย่าเอาแต่หาเรื่องล่ะ”
“ลูกจะปฏิบัติตามคำสั่งของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองดูบุตรชายผู้เชื่อฟัง พลางเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาลางๆ
พระองค์รู้สึกว่าต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีเวลาว่างให้นั่งอ่านบทละครอีกแล้ว
ช่างเถิด ตามองไม่เห็น จิตใจก็จะไม่ว้าวุ่น
จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกพระหัตถ์อันมีความหมายว่าอวี้จิ่นออกไปได้ หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินก็มาถึง
“ว่าอย่างไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นผู้บัญชาการหน่วยทหารจิ่นหลินอ้ำอึ้ง
ผู้บัญชาการหน่วยทหารจิ่นหลินก้มหน้าทูลกล่าว “กราบทูลฝ่าบาท จนถึงบัดนี้กระหม่อมยังไม่พบเบาะแสของผู้ลอบฆ่าเยี่ยนอ๋อง ความผิดปกติหนึ่งเดียวนั่นก็คือ…วันนี้หลู่อ๋องปรากฏตัวใกล้กับบริเวณที่พักของเยี่ยนอ๋อง ก่อนที่เยี่ยนอ๋องจะเข้าวัง เขายังได้พูดคุยกับหลู่อ๋องเป็นเวลาสั้นๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
“คนเลวทราม!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กริ้วจนถึงขั้นตบบัลลังก์มังกร
ในพระทัยของพระองค์ อวี้จิ่นเป็นเพียงพระโอรสที่ไม่มีความสำคัญใดๆ ไม่ว่าจะสำหรับพระองค์เองหรือขุนนางชั้นนอกและใน แล้วคนเช่นนี้จะนำมาซึ่งความหายนะถึงชีวิตได้อย่างไร
พระองค์ไม่อาจไม่สงสัยในตัวบุตรชายทั้งหลายได้
“เรียกหลู่อ๋องเข้าวัง!”
พานไห่น้อมรับคำสั่งกำลังจะเดินออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้พลันเรียกเอาไว้ “ช้าก่อน เรียกท่านอ๋องทุกคนเข้าวัง”
แม้ว่าองค์ชายห้าน่าสงสัยที่สุด แต่เรื่องที่พี่น้องฆ่าฟันกันเองเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ ที่สำคัญตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานใดๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินใจเรียกองค์ชายทุกคนเข้าวังมาเพื่อวิจารณ์ข้อผิดพลาดและเพื่อแสดงว่าได้ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเสมอภาค
พานไห่ก้มหน้าก้มตาเดินออกจากประตูห้องทรงพระอักษร แล้วก็ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกไว้อีกครั้ง “เรียกไท่จื่อมาด้วย”