ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 199 พบกันอีกแล้ว
สาวน้อยสวมใส่เสื้อสีขาวกระโปรงสีฟ้าคราม ผมดำเงางามปล่อยยาวมาถึงเอว ดวงตาแจ่มใสริมฝีปากสีแดง ประหนึ่งดอกไห่ถังที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างยามเช้า และราวกับเป็นฝันหวานที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น
ชายหนุ่มยกมือขึ้นออกแรงขยี้ตา
เจียงซื่อคิดไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ นางตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
“เจ้า…เป็นคนหรือปีศาจ”
เจียงซื่อจับกระโปรงขึ้นมาแล้ววิ่งทันที
กับคนที่จะไม่ได้พบกันอีกตลอดชีวิต นางจะตอบก็ต่อเมื่อนางเป็นคนโง่เท่านั้น
สาวน้อยเสื้อสีขาวกระโปรงสีฟ้าครามหายเข้าสวนป่าไปในชั่วอึดใจเดียว
ชายหนุ่มได้สติจะวิ่งตามไป พลันมีเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง “น้องเจิน เจ้าอยู่ที่ไหน”
เจินเหิงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขามองทางด้านหน้าที่ว่างเปล่าอย่างสับสน
เมื่อครู่นี้เป็นภาพลวงตา?
เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง เจินเหิงหันหลังเตรียมจะเดินไป ทันใดนั้น บนพื้นหญ้ามีแสงวิบวับดึงดูดสายตาเขาเอาไว้ เป็นปิ่นปักผมดอกไห่ถังหนึ่งอัน เขาก้มลงเก็บปิ่นขึ้นมาดูอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วเก็บเอาไว้ แล้วจึงเดินกลับ ข้างในสวนป่าส่วนลึกมีชายหนุ่มอายุน้อยหลายคน แต่งตัวเป็นพวกคงแก่เรียนกันหมด บางคนกำลังชื่นชมพุ่มดอกกล้วยไม้ที่อยู่ไม่ไกล บางคนกำลังถือพู่กันวาดภาพ
เมื่อเห็นเจินเหิงเดินกลับมา มีคนหนึ่งยิ้มให้และกล่าว “น้องเจิน เจ้าไปถ่ายเบานานเชียว”
เจินเหิงไม่อาจสนใจการหยอกล้อเล่นของเพื่อนร่วมเรียนได้ เขาเดินไปที่โต๊ะวาดภาพโต๊ะหนึ่งอย่างเร่งรีบ หยิบกระดาษกับหมึกขึ้นมาแล้ววาดภาพจนเสร็จเพียงหนึ่งลมหายใจ ฝีมือการวาดภาพของเจินเหิงพอมีชื่อเสียงบ้างเล็กน้อย ยามเขาหยุดลง เพื่อนร่วมเรียนหลายคนก็เดินเข้ามาเชยชม “ข้าขอดูดอกกล้วยไม้ที่น้องเจินวาดสักหน่อย”
เจินเหิงพลิกกระดาษกลับมาแล้วม้วนเก็บ เขายิ้มและกล่าว “ข้าวาดใหม่ดีกว่า ภาพนี้เสียไปแล้ว ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ คนนั้นจึงล้มเลิกความคิด
เจินเหิงแอบถอนหายใจ เมื่อหมึกแห้งเขาจึงทำการเก็บภาพไว้ แล้ววาดภาพดอกกล้วยไม้ในลำธารบนภูเขาใหม่เพื่อเป็นการรับมือกับเรื่องนี้
“น้องเจิน วันนี้เจ้าดูใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภาพดอกกล้วยไม้ภาพนี้ก็ไม่มีชีวิตเท่ากับภาพของพี่หลี่”
เจินเหิงหัวเราะอย่างใจลอย “ฝีมือข้าเด่นสู้พี่หลี่ไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
หลังจากได้ชมดอกกล้วยไม้และได้วาดภาพแล้ว ทุกคนจึงออกความเห็นว่าไปดื่มสุราด้วยกันที่หอจ้วงหยวน แต่เจินเหิงขอตัวกลับท้ายเรือนศาลาว่าการพระนครด้วยข้ออ้างว่าปวดหัว
“เหิงเอ๋อร์ ทำไมวันนี้กลับมาเร็วเชียวล่ะ” เสียงนุ่มนวลของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น
“วันนี้แยกย้ายกันเร็วขอรับท่านแม่ ลูกขอกลับห้องหนังสือก่อนนะขอรับ”
“เจ้ากินข้าวมาแล้วหรือยัง” เจินฮูหยินเอ่ยถาม แต่เจินเหิงกลับเดินไปไกลแล้ว นางจึงส่ายหัวอย่างจนใจ “ลูกคนนี้ วันนี้ทำไมถึงทำตัวเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง หรือว่าอากาศร้อนเกินไป”
เจินเหิงเดินเข้าห้องหนังสืออย่างเร่งรีบ และทำการปิดประตูทันทีที่มาถึง เขาหยิบภาพที่ม้วนเก็บไว้ออกมาจากหน้าอก… หญิงสาวสวมเสื้อสีขาวกระโปรงสีฟ้าครามปรากฏขึ้นต่อหน้าตามการเปิดภาพออกอย่างช้าๆ ของเจินเหิง ดวงตาที่เบิกกว้างของสาวน้อยเผยอาการตกใจออกมาเล็กน้อย ประหนึ่งเป็นปีศาจน้อยในสวนป่าลึกตะลึงตกใจกับมนุษย์ที่เผลอเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ
เจินเหิงหลับตาลง หญิงสาวผมดำผิวขาวคนนั้นเสมือนว่าได้ยืนอยู่ตรงหน้า
เขาหยิบปิ่นดอกไห่ถังออกมาจากหน้าอกแล้วมองมันอยู่นาน ภายในใจเริ่มเกิดความมั่นใจขึ้นช้าๆ ในสวนป่านั่นไม่ใช่ความฝัน บางทีบนโลกนี้อาจมีปีศาจอยู่จริง
หลังจากนั้น เจินซื่อเฉิงก็พบว่าช่วงนี้บุตรชายของตนแทบไม่ออกไปไหน วันๆ เอาแต่อ่านหนังสือไม่หยุด
เจินซื่อเฉิงลูบคลำนวดเครา พลางคิดในใจ การสอบชิวเหวยยังอีกนาน เจินเหิงเริ่มแขวนกับขื่อทิ่มแทงขา[1] ตั้งแต่ตอนนี้ นี่ไม่เหมือนกับเป็นบุตรชายของเขาเอาเสียเลย
ภายใต้ความประหลาดใจนี้ เจินซื่อเฉิงจึงเดินเข้าไปห้องหนังสือเจินเหิงแล้ววนดูหนึ่งรอบ พลางเห็นนิทานลึกลับวางอยู่เต็มชั้นวางหนังสือ
เจินซื่อเฉิงโกรธจัด “เจินเหิง นี่เจ้าดูอะไร”
เจินเหิงแอบถอนหายใจ ปกติท่านพ่อไม่เคยมาที่ห้องหนังสือของเขา วันนี้เป็นอะไร ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาห่อหน้าปกหนังสือเสียหน่อยก็ยังดี
เจินซื่อเฉิงยื่นมือชี้ไปยังหนังสือที่อยู่ใกล้มือของเจินเหิง “วันๆ เจ้าดูแต่นี่น่ะหรือ” ลูกโง่ ห่อหน้าปกไม่ให้เขาเห็นและไม่เหนื่อยใจหน่อยก็ยังดี แต่นี่กลับนั่งอ่านอย่างเปิดเผย ยังมีพ่ออยู่ในสายตาอยู่หรือไม่!
“ลูกเพียงแค่สงสัยว่าบนโลกนี้มีปีศาจหรือไม่”
“ขงจื๊อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับและจิตวิญญาณ” เจินซื่อเฉิงกล่าวสั่งสอน
เจินเหิงหย่อนตาลงรับฟัง แต่กลับคิดฟุ้งซ่าน ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยเงาร่างของหญิงสาวที่ตกลงมาจากฟ้าในวันนั้น
ท่านพ่อไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่มีวันเข้าใจ เขาเป็นคนพบเจอแล้วจะไม่ให้เกิดความแปลกใจได้อย่างไร
เจินซื่อเฉิงเห็นท่าทีไม่รู้สึกผิดของบุตรชาย จึงยกมือขึ้นตบท้ายทอยดัง เพียะ “ถ้าเจ้าว่างขนาดนี้ งั้นไปข้างนอกกับพ่อสักหน่อย”
“ท่านพ่อ…”
“ทำไม” เจินซื่อเฉิงกวาดสายตามองหนังสือนิทานอยู่หลายที เป็นสายตาแห่งการข่มขู่
เจินเหิงจึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ดูเหมือนว่าวันนี้จะหนีไม่พ้นเสียแล้ว ช่างเถอะ ไปก็ไป คงไม่เสียหายอะไร อย่างมากหากท่านพ่อจับเขาคลุมถุงชนเขาแค่กัดฟันไม่ยอมรับก็เพียงพอแล้ว
เจียงอันเฉิงตกใจมากตอนที่ได้รับจดหมายขอพบจากเจินซื่อเฉิง
จวนปั๋วไม่เคยคบหาส่วนตัวกับผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงท่านนี้ ใต้เท้าเจินมาขอพบได้อย่างไร คงไม่ได้เจอคดีที่เกี่ยวข้องกับจวนปั๋วหรอกกระมัง
ไม่ว่าจะรู้สึกตกใจเพียงไหน เจียงอันเฉิงก็ไม่ทำให้เจินซื่อเฉิงเสียหน้าอย่างแน่นอน เขารีบจัดเตรียมการต้อนรับขุนนางชั้นสูงสองท่านที่มาเยี่ยมเป็นครั้งที่สองที่ห้องบุปผาที่ตั้งอยู่ส่วนหน้าของเรือน
การมาของเจินซื่อเฉิงสร้างความสะเทือนไปทั่วจวนปั๋ว
ภายในเรือนฉือซิน เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยถามถึงสองครั้ง “เจ้าแน่ใจหรือว่าใต้เท้าเจินมาขอพบนายท่านใหญ่ ไม่ใช่นายท่านรอง”
“นายท่านใหญ่เจ้าค่ะ” อาฝูตอบอีกครั้ง
เฝิงเหล่าฮูหยินหมุนตะกรุดจันทร์หอมที่ข้อมือเป็นพักๆ คิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง จึงสั่งอาฝู “เจ้าไปสืบจุดประสงค์การขอพบของใต้เท้าเจินมาหน่อย”
อาฝูรับคำสั่งและเดินออกไป สายตาของเฝิงเหล่าฮูหยินหันหน้าไปมองเรือนส่วนหน้าช้าๆ
นางรู้สึกมาตลอดว่าบุตรชายคนโตไม่มีความสามารถ เขาสามารถสร้างความสนิทสนมกับขุนนางชั้นสามได้เชียวหรือ ช่างเถอะ ดูจุดประสงค์การมาของผู้ตรวจการท่านนี้ก่อนค่อยว่ากันอีกที
วันนี้เป็นวันหยุดของเหล่าขุนนางพอดี นายท่านรองเจียงก็อยู่ในจวนด้วย พอได้ยินเรื่องนี้เข้า บนหัวก็เต็มไปด้วยหยดเหงื่ออีกคน ตำแหน่งผู้ตรวจการไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เจินซื่อเฉิงสามารถย้ายจากต่างถิ่นต่างเมืองมาที่เมืองหลวงและเข้ารับตำแหน่งนี้ได้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาอยู่ในพระทัยของฮ่องเต้
พี่ใหญ่สนิทสนมกับเจินซื่อเฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่ นายท่านรองยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์ พอยกเท้าขึ้นก็เดินไปยังห้องบุปผาทันที
เจินซื่อเฉิงกับเจียงอันเฉิงทักทายกันและกันเสร็จ ยิ้มและกล่าว “ข้าขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน วันนี้ข้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณบุตรสาวของท่าน”
ใบหน้าของเจียงอันเฉิงเต็มไปด้วยความตกใจ “บุตรสาวข้าทำอะไรหรือ”
“คดีสองสามีภรรยาหย่งชังปั๋ว เพราะได้รับความช่วยเหลือจากบุตรสาวของท่าน ความจริงจึงปรากฏ”
เมื่อพูดถึงจวนหย่งชังปั๋ว อารมณ์ของเจียงอันเฉิงแย่ลงทันที เขาดื่มน้ำชาหลายอึก “หญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะรับคำขอบคุณใต้เท้าจินได้อย่างไร”
เจินซื่อเฉิงหัวเราะเสียงดัง “นายท่านปั๋วกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก บุตรสาวของท่านมีความสามารถไม่เป็นรองบุรุษ นางรับไหวขอรับ”
เจินเหิงแต่งตัวเป็นเด็กรับใช้และยืนก้มหัวอยู่ด้านหลังเจินซื่อเฉิง กับแผนการของท่านพ่อ เขารู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก ท่านพ่อมาแสดงความขอบคุณหญิงสาวคนหนึ่ง เหตุใดต้องบังคับให้เขาตามมาด้วย มิหนำซ้ำ ยังให้เขาแต่งตัวเป็นเด็กรับใช้อีก หากว่าถูกจับได้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
พอคิดถึงตรงนี้ เจินเหิงก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม
เจียงอันเฉิงฟังคำชื่นชมบุตรสาวตนจากเจินซื่อเฉิงจนเข้าใจ จึงสั่งบ่าวรับใช้ “ไปเชิญคุณหนูสี่มาหน่อย”
เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านพ่อเรียกลูกหรือเจ้าคะ”
—————————–
[1]แขวนกับขื่อทิ่มแทงขา อธิบายถึงความขยันหมั่นเพียรชนิดที่ทุ่มเทให้ทั้งกายและใจ