ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 202 สำรวจ
วันนี้อากาศดี เจียงซื่อพาอาหมานไปเลือกเครื่องประดับที่ร้านเจินเป่า
ในเมื่อท่านย่าออกปากพูดแล้ว นางไม่มีทางแกล้งปฏิเสธแน่
ร้านเจินเป่าเป็นร้านเครื่องเงินที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงชนิดที่ไม่เป็นสองรองใคร ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาล้วนแต่เป็นคุณหนูตระกูลชนชั้นสูงส่วนใหญ่ ถึงแม้คุณหนูตระกูลชนชั้นสูงเหล่านี้สามารถให้ทางร้านนำเครื่องประดับไปให้เลือกถึงที่จวนได้ แต่สตรีสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันต่างก็เหมือนมีโรคเหมือนกันชนิดหนึ่ง นั่นคือได้ออกมาเดินเล่น แม้ท้ายที่สุดจะไม่ซื้อแต่ก็ได้เลือก…
ตอนที่เจียงซื่อเลือกเครื่องประดับอยู่ มีสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง บุคลิกท่าทางสวยสง่า แต่แต่งตัวธรรมดา กำลังเลือกเครื่องประดับที่ละลานตาอยู่เต็มถาด นางกวาดสายตามาจนถึงนางและยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “คุณหนูท่านนี้ช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
แม้ว่าเจียงซื่อไม่คิดว่าสตรีจะพูดกับนางอย่างกะทันหัน แต่นางก็ไม่ได้เผยสีหน้าตกใจออกไป นางยิ้มอ่อนและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าฮูหยินต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
การตอบอย่างสุภาพและไม่สูญเสียความมีน้ำใจของเจียงซื่อทำให้รอยยิ้มของสตรีมีความจริงใจมากยิ่งขึ้น “เวลาข้าเห็นสิ่งของเหล่านี้ในจำนวนมาก ข้าจะเลือกไม่ถูก คุณหนูช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
คำขอของสตรีไม่ได้มากเกินไป คำขอความช่วยเหลือง่ายๆ เช่นนี้ เจียงซื่อไม่ปฏิเสธแน่นอน นางเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าฮูหยินต้องการซื้อสิ่งใด ปิ่นปักผม ต่างหู หรือว่ากำไลเจ้าคะ”
สตรีขมวดคิ้วเบาๆ “ได้ทุกอย่าง”
เจียงซื่อถามต่อ “ฮูหยินสวมใส่เองหรือจะมอบให้ผู้อื่นเจ้าคะ หากว่าจะมอบให้ผู้อื่น ไม่ทราบว่าผู้รับของขวัญอายุเท่าไหร่แล้วเจ้าคะ”
สตรียิ้ม “มอบให้ผู้อื่น หลานสาวฝั่งมารดาของข้าจะมาในอีกไม่กี่วัน ข้าอยากเตรียมของขวัญต้อนรับสักสองชิ้น แล้วอายุ”
สตรีมองเจียงซื่อหนึ่งที ยิ้มและกล่าว “ประมาณคุณหนูนี่ล่ะ”
เจียงซื่อฟังเสร็จพลางพอมีแผนในใจ นางกวาดสายตาและหยุดอยู่ที่เครื่องประดับเหล่านั้นเสร็จ ก็เลือกออกมาได้สามชิ้นอย่างรวดเร็ว
ชิ้นแรกคือแถบคาดศีรษะลวดลายเส้นใบหลิวสีแดงทอง ชิ้นที่สองคือต่างหูลูกปัดมรกตประดับหยกแดง และอีกหนึ่งชิ้นคือดอกไม้ผ้าประดับมุกหนึ่งกล่อง
“คุณหนูชอบสิ่งนี้หรือไม่” สตรีถามอย่างสงสัย
เจียงซื่อยิ้มและกล่าว “อายุเช่นข้าหากปักปิ่นระย้าคงจะเกินตัวไปหน่อย แถบคาดศีรษะชิ้นนี้ดูเหมาะสมและไม่เสียเกียรติ เวลามอบเป็นของขวัญให้ใครก็ไม่เกิดความผิดพลาดแน่นอน แต่คนที่ฮูหยินจะมอบให้เป็นหลานสาวของท่านเอง ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงเสมอไป ข้าว่าต่างหูลูกปัดมรกตประดับหยกแดงกับดอกไม้ผ้าประดับมุกกล่องนี้ แม่นางคนนั้นน่าจะชอบเจ้าค่ะ…”
เจียงซื่อพูดความคิดของตนอย่างใจเย็น ส่วนสตรีนั้นแอบมองนางอย่างละเอียด นางยิ่งมอง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งชัดเจน “ขอบใจเจ้ามาก หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเจ้า วันนี้ข้าคงเลือกไม่ถูกจริงๆ”
“ฮูหยินเกรงใจมากไปแล้ว ท่านไม่รังเกียจที่ข้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูน่ะสิที่เกรงใจมากเกินไป หากว่าคุณหนูไม่มีธุระใด ไม่ทราบว่ายินดีที่จะไปดื่มน้ำชากับข้าสักแก้วที่โรงน้ำชาข้างๆ นี้หรือไม่ เพื่อให้ข้าได้แสดงความขอบคุณด้วย”
เจียงซื่อปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “ถึงแม้ข้าอยากไปดื่มน้ำชากับฮูหยินมาก แต่ข้าออกมานานพอสมควร อยู่ด้านนอกนานกว่านี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ข้าต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้น คุณหนูกลับดีๆ หวังว่าเราจะมีพรหมลิขิตได้พบกันอีก”
หลังจากเจียงซื่อเดินจากไป เจินฮูหยินก็เดินไปที่ห้องดื่มน้ำชาในโรงน้ำชาข้างๆ อย่างรวดเร็ว
เจินซื่อเฉิงเห็นเจินฮูหยินเดินเข้ามา จึงทำตาหยีและเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร”
ดูจากท่าทางของฮูหยินแล้ว เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจ
เจินฮูหยินยิ้มและพยักหน้า “นางเป็นเด็กไม่เลวจริงๆ เจ้าค่ะ วันนี้ข้าตั้งใจใส่เสื้อผ้าที่ตัดจากผ้าธรรมดาและขอให้นางช่วยข้าเลือกเครื่องประดับ เครื่องประดับสามชิ้นที่นางเลือกขึ้นมา ชิ้นที่ราคาแพงที่สุดคือแถบคาดศีรษะลวดลายเส้นใบหลิว แถบคาดศีรษะแบบนั้นดูมีเกียรติแต่ความจริงมีน้ำหนักที่เบา ไม่ต้องจ่ายมากขนาดนั้น ส่วนอีกสองชิ้นเป็นของที่หญิงสาวชื่นชอบกันและราคาไม่แพง เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้มีจิตใจบริสุทธิ์และฉลาดหลักแหลม เอาใจเขามาใส่เรา ที่ยากยิ่งกว่าคือยังสามารถพูดคำพูดออกมาได้อย่างสวยงาม และไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสียหน้า แล้วอีกอย่าง มันไม่ง่ายเลย ที่หญิงสาวคนหนึ่งจะมีความอดทนต่อคนแปลกหน้าที่เหมือนมีสถานะทั่วไปได้ถึงเพียงนี้…”
หลังจากฟังคำบรรยายของเจินฮูหยินเสร็จ เจินซื่อเฉิงแคะหู “ตอนนี้ พอใจแล้ว?”
เจินฮูหยินอยากพยักหน้า แต่ก็กลัวเสียหน้า จึงเปลี่ยนเป็นการเหล่ตามองเจินซื่อเฉิงหนึ่งที
เจินซื่อเฉิงหัวเราะขึ้นมาอย่างเสียงดัง “ถ้าเช่นนั้น ไว้ข้าจะลองไปเจรจากับตงผิงปั๋วดู”
“ไปเถอะๆ สองวันนี้เหิงเอ๋อร์ดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้ายังไม่รีบไป ข้ากลัวว่าจะเกิดการป่วยเป็นไข้ใจเอาได้”
ป่วยเป็นไข้ใจคงมากเกินไป แต่เจินเหิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้นเป็นความจริง
เขาไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ ด้วยความที่วิธีปรากฎตัวต่อหน้าเขาของหญิงสาวคนนั้นพิเศษมาก และยังมีความสวยที่ชวนให้ตะลึงเช่นนั้นอีก
ท้ายที่สุดแล้ว เจิงเหิงก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่มีความกระฉับกระเฉงและกระตือรือร้น หากว่าหญิงสาวที่ตกจากฟ้าในวันนั้นเป็นปีศาจ โดยธรรมชาติแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ตนเกิดอาการหมกมุ่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนเกิดความตั้งใจที่จะแต่งงานอย่างแน่นอน และไม่รู้ว่าท่านพ่อได้ไปคุยกับท่านพ่อของนางหรือยัง
เจินเหิงหยิบภาพออกมาดูอีกครั้ง ภายในใจเอ่อล้นไปด้วยความคาดหวัง
เจินซื่อเฉิงชวนเจียงอันเฉิงไปดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชาเทียนเซียง
หลังจากได้ยินเจินซื่อเฉิงเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว เจียงอันเฉิงตะลึงงัน
เขาไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ มีคนชมชอบในตัวของบุตรสาวของเขาแล้ว? ถึงแม้บุตรสาวของเขาเป็นคนดี แน่นอนว่าก็ต้องมีคนเห็น แต่นี่มันกะทันหันมากไปหรือไม่
“บุตรชายของข้าไม่ได้เรื่องนัก แต่ก็พอมีพรสวรรค์ด้านการศึกษาบ้างเล็กน้อย ข้าคิดว่าในภายภาคหน้าหากจะเลี้ยงดูครอบครัวด้วยความสามารถของเขาเองนั้นก็ทำได้ เรื่องนี้ขอให้น้องเจียงวางใจได้”
เจียงอันเฉิงพยักหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ “บุตรชายของพี่เจินมีอนาคตกว่าบุตรชายเหลวไหลของข้ามาก”
วันนั้น ทั้งสองคนแบ่งบันประสบการณ์การอบรมสั่งสอน (จัดการ) บุตรชายกันยกใหญ่ เจียงอันเฉิงสงสัยจึงไปสอบถามมาหนึ่งรอบ
พอสอบถามกลับมา พลันรู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว
ไม่ว่าจะเรื่องประพันธ์บทกลอนได้ตั้งแต่สามขวบ อ่านประวัติศาสตร์ได้ตั้งแต่เจ็ดขวบยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็พิชิตตนจนได้รับฉายานามว่าเป็น ‘คุณชายหรูอวี้’ นี่เป็นบุตรชายของตระกูลอื่นจริงๆ ไม่ใช่บุตรชายขอเขาแน่นอน
เจินซื่อเฉิงปัดมือ “เหมือนกันนั่นล่ะ เพียงแค่เป็นบุตรชาย ก็มีแต่เรื่องให้เหนื่อยใจไม่ต่างกัน แต่น้องเจียงวางใจได้ ตระกูลข้าไม่มีธรรมเนียมการรับอนุภรรยา และลูกข้าก็จะปฏิบัติเช่นนี้ต่อไป หากว่าเขากล้าตบแต่งอนุภรรยา ข้านี่ล่ะที่จะตีขาของเขาให้หักเป็นคนแรก”
เจียงอันเฉิงได้ยินพลันใจเต้น การไม่รับอนุภรรยานั้นเป็นข้อดีที่สำคัญมากทีเดียว ในตอนนั้น หากว่าพี่ใหญ่ตระกูลเซี่ยไม่รับสาวรับใช้มาเป็นอนุภรรยา ก็คงไม่เป็นภัยอย่างวันนี้
เจียงอันเฉิงคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า บุตรสาวคนโตแต่งงานไปแล้วก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไป ในอนาคตหากว่าบุตรชายกล้ารับอนุภรรยาเข้ามา ไว้เขาจะฟาดลูกไม่รักดีให้ได้สติด้วยฝ่ามือของตัวเองแล้วค่อยว่ากันต่อไป แต่ซื่อเอ๋อร์ หากว่าจะแต่งงานก็ต้องแต่งงานกับชายที่รักเดียวและใจเดียวกับนาง มิฉะนั้นมิสู้ให้เขาเลี้ยงดูนางตลอดไปที่เรือนยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนลำบากในภายภาคหน้า
ใช่ สำหรับเจียงอันเฉิงที่รักบุตรสาวดุจไข่มุกล้ำค่านั้น ถึงฝ่ายชายจะมีข้อดีเป็นพันๆ ข้อก็ไม่สำคัญเท่ากับข้อนี้
เจินซื่อเฉิงฉลาดเพียงไหน เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าเจียงอันเฉิงใจเต้น เขาจึงลูบเคราขึ้นมาอย่างดีใจ
งานแต่งนี้ สำเร็จแล้วถึงแปดเก้าส่วน
เจียงอันเฉิงยังมีสติ เขาไตร่ตรองได้ครูหนึ่งจึงกล่าว “ภรรยาของข้าด่วนจากไป ลูกสาวคนเล็กก็เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองสูง เรื่องนี้ข้าคงต้องถามความเห็นของนางก่อนแล้วว่ากันอีกที”
เจินซื่อเฉิงชะงัก ตามด้วยการพยักหน้า “แน่อยู่แล้วล่ะ”
ถึงว่าคุณหนูเจียงเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่แท้นางมีบิดาที่ไม่เหมือนใครนี่เอง
คิดไปคิดมา ตนก็เป็นบิดาที่ไม่เหมือนใครเช่นกัน เจินซื่อเฉิงพลางรู้สึกดีต่อเจียงอันเฉิงมากยิ่งขึ้น
เจียงอันเฉิงร่ำลาเจินซื่อเฉิงเสร็จก็กลับมาจวนตงผิงปั๋ว เขาเรียกเจียงซื่อมาที่ห้องหนังสืออย่างตื่นเต้น