ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 212 ลูกขนไก่
ทันใดนั้นเองน้ำเสียงอันเยือกเย็นของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น “ข้าเจอเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง”
เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดเดินแหวกพุ่มไม้ออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าผู้คน และมีสุนัขตัวโตเดินตามติดอยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา คิ้วโก่งได้รูป แววตาเป็นประกาย แม้จะสวมชุดแบบธรรมดาที่สุด มันก็ยังคงขับให้เขาดูเด่นเป็นสง่าดั่งภูเขาหิมะที่สูงใหญ่ ดูไม่ธรรมดา แถมสุนัขตัวโตที่อยู่ข้างกายเขาก็ดูท่าทางน่าเกรงขาม เพียงแต่มันเดินขาเป๋เล็กน้อย จึงทำให้คนมองผ่านความน่าเกรงขามของมันไป
เจียงจั้นอดกระซิบขึ้นข้างหูเจียงซื่อไม่ได้ “แปลกจริง พี่อวี๋ชีไปอยู่กับใต้เท้าเจินได้อย่างไร หรือว่าเขากลายเป็นลูกน้องใต้เท้าเจินไปแล้ว”
“อาจเป็นไปได้” เจียงซื่อก็เดาไม่ออกเช่นกันว่าเหตุใดอวี้จิ่นถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“หากเป็นเช่นนี้ก็ดี” เจียงจั้นเอ่ยพึมพำ
พี่อวี๋ชีมีเรื่องให้ทำเป็นเรื่องเป็นราวก็ดี ในอนาคตไปสู่ขอสตรีแต่งงานจะได้สะดวก
เจียงซื่อรู้สึกว่าคำพูดของพี่ชายแปลกไปเล็กน้อย จากนั้นก็กวาดสายตามองไปที่อวี้จิ่น
ไม่นานอวี้จิ่นก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเจินซื่อเฉิง พร้อมกับอมยิ้มออกมา “ใต้เท้า ข้าเจอเรื่องน่าสนใจบางอย่าง”
“อืม ไม่ทราบว่าเจอเรื่องอะไรหรือ” เจินซื่อเฉิงมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังฉีกยิ้มอันเยือกเย็นออกมา พอนึกถึงฐานะตัวตนของเขา ในใจก็รู้สึกสับสนมาก คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายอวี๋ท่านนี้จะเป็นเยี่ยนอ๋ององค์ใหม่ องค์ชายเจ็ดที่อายุน้อยแถมยังไม่เคยโผล่หน้าออกมาให้ผู้ใดเห็น พอนึกถึงตอนที่กรมอาญายัดเยียดคนเข้ามา แล้วบอกว่าหลังจากนี้จะมีคนมาช่วยทำคดี เจินซื่อเฉิงก็ปวดหัวทันที ทว่าพอได้เห็นคนที่มาช่วยพร้อมกับรู้ตัวตนของอีกฝ่าย เขาปวดหัวยิ่งกว่าเดิมอีก
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดตอนทำคดีสำหรับเขาก็คือมีคนมาคอยชี้นิ้วสั่ง หากองค์ชายเจ็ดท่านนี้อาศัยตำแหน่งของตนเข้ามาแทรงแซงตามอำเภอใจ เขาก็ไม่อาจไปที่กรมอาญาเพื่อขอถอนตัวได้ เพราะการที่ให้องค์ชายแต่ละคนไปฝึกทีกรมต่างๆ นั้นเป็นประสงค์ของฮ่องเต้
แต่สิ่งที่ทำให้เจินซื่อเฉิงคาดไม่ถึงก็คือ อวี้จิ่นเป็นคนพูดเองว่าไม่อยากเปิดเผยตัวตน และให้ใช้ตำแหน่งในการเป็นลูกน้องของเขาเพื่อเข้าร่วมทำงาน แน่นอนว่าเจินซื่อเฉิงก็ต้องเต็มใจอยู่แล้ว แม้แต่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดว่าตอนไปไขคดีจะพาสุนัขไปด้วยเขาก็ได้แต่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
อะแฮ่ม ช่วยไม่ได้ สุนัขตัวนั้นเป็นถึงสุนัขของทางการ ถือเสียว่าเป็นเพื่อนร่วมงานแล้วกัน!
อวี้จิ่นแบมือออก กลางฝ่ามือมีลูกขนไก่หลากสีวางอยู่
เจินซื่อเฉิงรู้เรื่องจากการไต่ถามมาไม่น้อยแล้ว เขารู้ว่าเดิมซูชิงอี้กำลังเตะลูกขนไก่อยู่ในสวนกับสาวรับใช้ เช่นนั้นลูกขนไก่ที่ปรากฏอยู่ในมืออวี้จิ่นลูกนี้จึงมีกลิ่นตัวติดอยู่
ทันทีที่ซูชิงเสวี่ยเห็นลูกขนไก่ สีหน้าก็ซีดเผือดลงมากยิ่งขึ้น
นางไปหาซูชิงอี้ตามคำสั่งของท่านแม่ใหญ่ เห็นเขากำลังนั่งคลึงลูกขนไก่อยู่คนเดียว จึงใช้วิธีเล่นกับเขาเพื่อที่จะได้โน้มน้าวใจให้เขามาเล่นที่นี่ได้
แล้วลูกขนไก่…ทำไมถึงได้มาโผล่อยู่ในมือของชายผู้นี้ได้
เมื่อนึกถึงทิศทางที่อวี้จิ่นเดินออกมา ซูชิงเสวี่ยก็กำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มฝ่ามือ
ตอนนั้นนางกับซูชิงอี้เล่นกันอยู่ในศาลาเฉาหยาง
ศาลาเฉาหยางอยู่ติดกับทะเลสาบจวีสยา ทั่วทุกสารทิศเต็มไปด้วยดอกไม้ต้นหญ้าที่งอกงาม หากมองจากทะเลสาบจวีสยาจะเห็นได้เพียงแค่ตัวศาลา จะมองเห็นทิวทัศน์ภายในไม่ค่อยชัด แต่ถ้าหากนั่งอยู่ในศาลาเฉาหยางแล้วมองผ่านพุ่มดอกไม้ต้นหญ้าออกไปกลับสามารถเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า ซูชิงเสวี่ยมักจะรู้สึกว่าสายตาของเด็กหนุ่มที่ถือลูกขนไก่ไว้มือคล้ายกับจะมองมาทางนาง…ซูชิงเสวี่ยกำมือแน่น อย่าร้อนใจไป แม้จะเจอลูกคนไก่แล้วจะเป็นอะไรไป อย่างมากก็แค่พิสูจน์ได้ว่าพี่รองเคยอยู่ที่ศาลาเฉาหยาง ไม่มีใครรู้หรอกว่านางก็อยู่ที่นั่นด้วย
ไม่ใช่สิ มีอยู่คนหนึ่งที่รู้ นั่นก็คือท่านแม่ใหญ่
ซูชิงเสวี่ยชำเลืองมองต้าไท่ไท่โหยวซื่ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ดึงสายตากลับอย่างรวดเร็ว
เดิมเรื่องนี้ท่านแม่ใหญ่เป็นคนสั่งการ แน่นอนว่าท่านแม่ใหญ่ต้องรู้ดีว่านอกจากเจียงซื่อที่เจอกับพี่รองแล้วก็ยังมีนางด้วย แต่ว่าหากไม่ถึงทางตันท่านแม่ใหญ่คงไม่พูดออกมาหรอก พอคิดถึงตรงนี้ ซูชิงเสวี่ยก็แอบโล่งอก
“ข้าเจอลูกขนไก่นี้ในศาลา แสดงว่าหลังจากที่สาวรับใช้ละสายตาจากคุณชายรองไป เขาเคยรออยู่ในศาลา ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คุณชายรองซูอาจจะอยู่ในศาลาแล้วเห็นแม่นางเจียงเดินผ่าน ถึงได้พุ่งพรวดออกมา” พอพูดถึงเจียงซื่อ น้ำเสียงอวี้จิ่นก็อ่อนโยนลง ทว่ากลับพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้มองนาง
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าเป็นการยอมรับการคาดคะเนของอวี้จิ่น
อวี้จิ่นคลึงลูกขนไก่หลากสีไปมา พลางเม้มริมฝีปากลงเล็กน้อย “ได้ยินคนในจวนโหวว่ากันว่า คุณชายรองเป็นผู้ที่สติไม่สมประกอบ ทุกคนลองคิดดู คนเช่นนี้จะมีความอดทนรออยู่ที่ศาลาได้หรือ”
เขาพูดไปพร้อมกับกวาดสายตามองผู้คนช้าๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ถ้าหากมี เช่นนั่นก็มีความเป็นไปได้อยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือตอนนั้นมีคนอื่นอยู่ด้วย!”
ทุกคนได้ยินต่างก็ตกใจ
ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วยงั้นหรือ หรือว่าตอนที่ซูชิงอี้เข้าไปขวางเจียงซื่อแท้จริงแล้วจะมีคนเห็น
แล้วคนผู้นั้นเป็นใคร ทำไมถึงไม่ยอมแสดงตัวออกมา
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของงทุกคน ทำให้ทุกคนต่างจ้องตาไม่กะพริบไปที่เด็กหนุ่มที่ดูไม่สะทกสะท้าน
โหยวซื่อชำเลืองมองซูชิงเสวี่ยด้วยสายตาแน่นิ่ง
ที่จริงนางเอะใจตั้งแต่แรกแล้ว หากว่ากันตามที่นางสั่ง หลังจากที่ซูชิงเสวี่ยดึงความสนใจอี้เอ๋อร์ให้ไปก่อกวนเจียงซื่อก็ควรจะไปตามหาคนให้มาเห็นเหตุการณ์นี้สิ เช่นนี้เจียงซื่อกับอี้เอ๋อร์ถึงจะได้ลงเอยเป็นคู่กัน ทว่าต่อมาเจียงซื่อกลับปลอดภัยไม่เป็นไร แต่อี้เอ๋อร์กลับตายอย่างไร้สาเหตุ…
โหยวซื่อมีเรื่องมากมายที่อยากจะถามซูชิงเสวี่ย ทว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ยังหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้ เมื่อต้องรับมือกับสายตาที่จ้องอย่างพิถีพิถันของท่านแม่ใหญ่ ซูชิงเสวี่ยแทบจะใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามควบคุมตัวเองไว้จะได้ไม่เสียอาการ แล้วรีบก้มหน้าลง
ในขณะเดียวกันซูชิงอวี่ก็ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ ซูชิงเสวี่ย และก็แทบจะยืนไม่อยู่
นางยื่นนิ้วมืวที่สั่นระริกออกไปสะกิดซูชิงเสวี่ย ซูชิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วสบตากับนาง ขนตาที่เรียงตัวหนาของซูชิงอวี่สั่นระรัว พลางส่งสายตาเป็นเชิงถามซูชิงเสวี่ย ซูชิงเสวี่ยยื่นมือที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อออกมาจับมือซูชิงอวี่ไว้แน่น เป็นการบ่งบอกว่าอย่าได้บุ่มบ่ามเข้ามาแทรก
ซูชิงอวี่รู้สึกเย็นยะเยือกตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงหัวใจ ความกลัวเริ่มแพร่กระจายออกมาทีละนิด
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน!” นายท่านใหญ่มองกวาดผู้คนออกไปซูด้วยสายตาที่เฉียบแหลมดั่งคมมีด
นายท่านซูไม่เห็นความผิดปกติใดๆ สุดท้ายจึงมองไปที่อวี้จิน
อวี้จิ่นยิ้มพร้อมกับแบมืออีกข้างออก “คงจะเป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้”
ผ้าเช็ดหน้าทำจากผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา พลางขยับตามลมที่พัดมา
ซูชิงเสวี่ยรู้สึกสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ เซถอยหลังไป
นางทำผ้าเช็ดหน้าหล่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
จริงสิ นางนึกออกแล้ว ตอนที่กำลังเล่นกับซูชิงอี้ ซูชิงอี้น้ำลายย้อยลงบนหลังมือนาง หลังจากที่นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรู้สึกสะอิดสะเอียนจึงทิ้งผ้าเช็ดหน้าไป…
ซูชิงเสวี่ยนิ่งคิด ในใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม
ทันใดนั้นจู่ๆ ซูชิงซวงก็เอ่ยปากขึ้น “ผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ปกติจะเป็นของเจ้านายและบ่าวรับใช้ที่มีหน้ามีตาถึงจะใช้กัน”
พอได้ยินคำนี้ ซูชิงเสวี่ยก็นิ่งลง
จะตื่นตระหนกไปไม่ได้ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่มีแม้แต่ลาย ใครจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นของนาง
โหยวซื่อหลับตาลง… ไม่ผิดแน่ ซูชิงเสวี่ยเล่นกับอี้เอ๋อร์ที่ศาลาเฉาหยางจริงๆ แต่ไม่รู้ว่านางสารเลวนี่เห็นอะไรเข้า หรือว่า…นางสารเลวนี่อาจจะเป็นคนฆ่าอี้เอ๋อร์?