ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 220 แตกต่าง
จิ่งหมิงฮ่องเต้มีสถานะเป็นถึงประมุข และประมุขก็มิอาจทำตามอำเภอใจตนเอง นอกจากบรรดาองค์ชายแล้ว กับเหล่าขุนนางก็มิใช่ว่าใคร่จะให้รางวัลก็ให้รางวัล ใคร่อยากจะลงโทษก็ออกคำสั่งลงโทษ
แม้ว่าเขาจะรู้สึกเห็นใจคุณหนูผู้เคราะห์ร้ายอย่างไรก็มิอาจมอบรางวัลตามอำเภอใจ เพราะหากฝ่ายตรวจการชี้ความผิดในฐานหลงเสน่ห์สตรีเพศและหวังจะขยับขยายวังหลังจะทำเช่นไร
เมื่อขบคิดได้เช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงหันมองหน้าลูกชาย ส่งยิ้มพลางบอก “จะว่าอย่างไรเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า อย่าไปพูดให้เสียหายเช่นนั้นเลย”
ใบหน้าของอวี้จิ่นมิได้แสดงความรู้สึกใดๆ “ลูกว่าไปตามเหตุผล หาใช่เพราะสายเลือดเดียวกัน”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล หรือด้วยสายเลือด สุดท้ายแล้วก็ทำเพื่ออาซื่อทั้งนั้น จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องคิดบัญชีกับคนชั่วอย่างจี้ฉงอี้แทนอาซื่อให้ได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจ “เจ้าน่ะ เหมาะจะทำงานกับเจินซื่อเฉิงแล้วล่ะ”
เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ แม้แต่วาจารื่นหูยังพูดไม่เป็น ไม่เหมือนเชื้อพระวงศ์เลยสักนิด
ทว่าไม่ทราบด้วยเหตุผลใด ถึงแม้จิ่งหมิงฮ่องเต้คร้านจะใส่ใจ แต่ลึกๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เจ้าทำงานได้ไม่เลว อีกหน่อยก็ทุ่มเทให้มากขึ้น ออกไปได้แล้ว”
“ลูกทูลลาเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะเดินออกนอกประตูวังไปแล้ว อวี้จิ่นก็ยังคงงงงวยอยู่ว่าสุดท้ายแล้วตนถูกเรียกเข้าวังมาด้วยสาเหตุใด
ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองกำแพงวังที่สูงตระหง่านอีกครั้ง นัยน์ตาสีนิลคู่งามหรี่ลงเล็กน้อยเนื่องจากแสงจ้าที่สาดส่องลงมา
พานไห่ขันทีอาวุโสเฝ้ามองภาพเบื้องหน้าด้วยความคิดที่ว่า องค์ชายเจ็ดที่กำลังเสด็จออกจากวังในขณะนี้แตกต่างไปจากองค์ชายเจ็ดในขณะที่เขาไปเชิญมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่ครั้นจะให้บอกว่ามีสิ่งใดแตกต่างออกไปกลับไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
บางทีองค์ชายคงจะยังไม่คุ้นเคยกับกรอบธรรมเนียมของวังหลวงกระมัง
พานไห่กลับเข้าไปในวัง และรายงานฮ่องเต้จิ่งหมิงว่าอวี้จิ่นกลับออกไปเรียบร้อยแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางหนังสือบทละครที่บังหน้าลง และเหลือบมองไปที่พานไห่พลางถามขึ้นว่า “เจ้าว่าเยี่ยนอ๋องเป็นคนอย่างไร”
พานไห่ตัวสั่น
เขาจะพูดวิพากษ์วิจารณ์องค์ชายได้ก็ต่อเมื่อเขาเสียสติไปแล้วเท่านั้น
“บ่าวมิค่อยคุ้นเคยกับเยี่ยนอ๋องจึงมิอาจกราบทูลได้พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่พานไห่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “เอาเถอะ เจ้าไปเถอะ”
อาจเป็นเพราะเขาเองก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าองค์ชายที่เกิดและเติบโตในวัง ฉะนั้นเมื่อได้พบกับอวี้จิ่นที่เติบโตมาท่ามกลางไพร่ฟ้าประชาชนทั่วไปจึงยากจะเข้าใจความเป็นไปของเขา
เพียงแต่ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มิทันรู้ตัวเลยว่า หากมนุษย์เราเกิดความสงสัยใคร่รู้ในตัวอีกคนแล้ว มักจะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเกิดขึ้นตามมาด้วย
จำต้องรู้จักอดทนอดกลั้นให้มากขึ้นจึงจะสามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร
การกระทำของฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดสร้างความสงสัยให้แก่ผู้คนจำนวนมาก หลังจากจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ถามไถ่ความเป็นไปจากเหล่าขุนนางหกกรม และได้เรียกเยี่ยนอ๋องมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว อีกทั้งยังสั่งให้พานไห่ซึ่งเป็นขันทีอาวุโสออกไปส่งด้วยตนเอง ทำให้คนอื่นๆ เริ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานา
หรือว่าเยี่ยนอ๋องได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ
หรือจะเป็นคู่แข่งไท่จื่อ? คนไร้ตัวตนเช่นนี้ จะมีใครกล้าเอาองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูท่ามกลางสามัญชนมาเทียบชั้นกับไท่จื่อผู้ทรงประทับอย่างมั่นคงในวังตะวันออกได้เล่า
องค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานในสายพระเนตรฮ่องเต้กับองค์ชายที่ไม่อยู่ในความทรงจำของฮ่องเต้ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถึงเยี่ยนอ๋องจะมิอาจเทียบชั้นกับไท่จื่อได้ ทว่าเขาจะช่วยผู้อื่นให้ชิงบัลลังก์ไท่จื่อไม่ได้เชียวหรือ
อย่างเช่นฉีอ๋อง องค์ชายสี่
ครั้นจะพูดไปแล้ว ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ฉีอ๋องก็นับว่าเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งยังเป็นผู้ปรีชาสามารถและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม
เหล่าสนมในวังเป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ได้ทราบข่าวนี้ ครั้นเสียนเฟยได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ความคิดของนางก็เปลี่ยนไปทันที
เดิมทีนางมองว่าเจ้าเจ็ดเป็นพวกไม่เอาถ่าน แต่พอมาวันนี้กลับรู้สึกว่าเป็นคนใช้การได้ดีทีเดียว
องค์ชายสี่มีแววกว่าใครทั้งหมด เสียดายก็แต่ประสูติช้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่หากมีแรงสนับสนุนจากพระอนุชาที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ หนทางข้างหน้าก็คงง่ายดายขึ้นมาก
เสียนเฟยทราบดีว่าการเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งดูตัวอย่างได้จากองค์ชายหก
ในเวลานั้นพระสนมจ้วง พระมารดาขององค์ชายหกเป็นผู้มีวาทศิลป์โดดเด่น แต่ครั้นพอชันษามากเข้าก็มิได้เป็นที่โปรดปรานเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่เพราะมีองค์ชายหกที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เมื่อใดที่เขาสร้างความสราญให้แก่ฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้ก็มักจะเสด็จเข้าไปหาจ้วงเฟย
ฉะนั้นทั้งตำแหน่งเล็กใหญ่ในวังหลวงจึงไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนจ้วงเฟย
เสียนเฟยเป็นคนตัดสินใจทำสิ่งใดได้อย่างว่องไว ทันทีที่อวี้จิ่นกลับมาถึงเรือนในตรอกเชวี่ยจื่อ ขันทีคนสนิทของเสียนเฟยก็รีบนำของกำนัลจำนวนมากมาถวายถึงที่
เอ้อร์หนิวยืนขว้างอยู่ที่หน้าประตูไม่ให้ขันทีผู้นั้นเข้าไป
ขันทีเอ่ยเสียงแหลม “ไอ้เจ้าสัตว์หน้าขน อย่ามาขวางทางข้า!”
แค่เอ้อร์หนิวได้ยินก็ฉุนขึ้นมาทันที มันกระโจนเข้าใส่จนขันทีจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นมันก็เข้าไปงับก้นของขันทีผู้นั้น
ขันทีร้องโหยหวน “พวกเจ้าตายแล้วหรืออย่างไร ไฉนจึงไม่รีบมาไล่ไอ้สัตว์หน้าขนนี่!”
หลงต้านประสานมือไว้ที่อกเป็นเชิงคารวะ พลางเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์หนิวเป็นถึงแม่ทัพเซี่ยวเทียนชั้นห้า เป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งโดยพระองค์เอง”
เมื่อสามปีก่อนมีเหตุสู้รบกันระหว่างต้าโจวและหนานหลาน นายท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เอ้อร์หนิวเข้าไปกัดศัตรูที่กำลังจะทำร้ายเจ้านายที่กำลังเข้าใกล้ความตายอยู่รอมร่อ อีกทั้งยังลากเจ้านายออกมาจากกองซากศพเหล่านั้น
เป็นเหตุให้ขาข้างหนึ่งของเอ้อร์หนิวใช้การไม่ได้
เอ้อร์หนิวไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายเท่านั้น เพราะคนที่ถูกเอ้อร์หนิวกัดตายคือท่านอ๋องแห่งหนานหลาน สงครามขยายวงกว้างเข้ามาถึงเมืองหลวง แม้เอ้อร์หนิวเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มิได้ทรงสดับฟังเสียงทัดทานของเหล่าขุนนาง แต่ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งเอ้อร์หนิวขึ้นเป็นแม่ทัพเซี่ยวเทียนชั้นห้า
ครั้นหลงต้านว่าจบ ขันทีผู้นั้นก็ชะงักไปทันที ยังคงสับสนว่าเรื่องที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง
หลงต้านหัวเราะเยาะ “เพิ่งผ่านมาสามปีกลับไม่มีผู้ใดจำเรื่องนี้ได้แล้ว หรือว่าพวกเจ้าต้องการจะดูเหรียญทองแดงที่คอของท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียน?”
เมื่อเอ้อร์หนิวได้ยินดังนั้นก็ปล่อยปากที่งับอยู่ และเหยียดตัวขึ้นพลางสะบัดให้เหรียญทองแดงขยับลงมาอยู่ที่กลางลำคอ
สุนัขตัวใหญ่ท่าทางสง่างามและน่าครั่นคร้ามหันไปจ้องมองเหล่าขันทีที่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้
“เห็นแล้วใช่ไหม หากว่ากันตามจริงแล้ว ยามที่พวกเจ้าพบกับเอ้อร์หนิวควรจะทำความเคารพเสียด้วยซ้ำไป และนี่ยังจะตีมันอีกหรือเปล่า รู้หรือไม่ว่าโทษของการหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้จะต้องเข้าคุกสถานเดียว”
เหล่าขันทีงงงันหนักกว่าเก่า พลางเบนสายตาลงไปมองหัวหน้าขันทีที่อยู่ที่พื้นอย่างเสียมิได้
หัวหน้าขันทีลูบก้นตัวเองพลางยันร่างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก จากที่จะอ้างพระนามเสียนเฟยเพื่อข่มขวัญ กลับต้องมาพบคมเขี้ยวของเจ้าสุนัขตัวใหญ่เสียเอง
หัวหน้าขันทีกลัวจนตัวสั่น เขารีบวิ่งกลับไปด้วยความอับอาย
เหล่าขันทีที่เหลือต่างก็กระจัดกระจายไปตามๆ กัน
ในชั่วพริบตาความสงบก็กลับมาเยือน มีเพียงของกำนัลส่งแสงพร่างพราวที่ถูกกองทิ้งไว้ที่พื้น
เอ้อร์หนิวเหยียบข้ามสิ่งของพวกนั้น และเดินเข้าไปคลอเคลียมืออวี้จิ่นที่เดินมาเงียบๆ อย่างออดอ้อน
ใบหน้าเย็นชาของอวี้จิ่นปรากฏรอยยิ้มบางๆ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบหัวเอ้อร์หนิวพลางบอก “ทำได้ดีมาก เดี๋ยวให้หลงต้านไปซื้อเนื้อวัวตุ๋นซีอิ๊วมาให้”
“โฮ่งๆ” เอ้อร์หนิวเห่าอย่างพอใจ แล้วเดินเบียดเจ้านายเข้าไปแทะกระดูกของตัวเองต่อ
ใต้ร่มเงาของต้นไม้ กลิ่นหอมของเนื้อติดกระดูกในกะละมังโชยไปทั่ว เอ้อร์หนิวเลือกกระดูกชิ้นที่ต้องตาที่สุดขึ้นมาแทะ หางใหญ่ๆ ของมันส่ายไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า
อื้ม ได้กินกระดูกเช่นนี้ หากมีนายหญิงอยู่ด้วย ชีวิตของเจ้าสุนัขคงจะสมบูรณ์แบบ
หลงต้านหันไปมองของกำนัลที่กองอยู่ที่พื้นพลางหันไปมองสีหน้าเย็นชาของอวี้จิ่น และถามลองเชิงไปว่า “เจ้านาย ต้องการให้บ่าวเอาของพวกนี้ไปโยนทิ้งข้างถนนหรือไม่ขอรับ”
อวี้จิ่นยิ้มเยาะ “เหตุใดถึงต้องโยนทิ้ง ของดีก็เก็บไว้ใช้!”
เขาไม่เคยทำเรื่องโง่เขลาโดยการนำความโกรธเกลียดที่มีต่อตัวบุคคลไปลงกับสิ่งของ
จะดีจะร้าย ล้วนแต่เป็นเรื่องของการกระทำ มิได้เกี่ยวข้องกับวัตถุสิ่งของ
เอ้อร์หนิวก่อเรื่องเช่นนี้ ผู้คนที่สนใจเป็นทุนเดิมจึงรับรู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น
เดิมทีไท่จื่อวางแผนจะหาโอกาสกำจัดอวี้จิ่นเงียบๆ จะได้ไม่มีใครร่วมมือกับองค์ชายสี่สร้างเรื่องปวดหัวให้กับตนในภายหลัง แต่พอมาวันนี้ได้ยินว่าแม้แต่คนของเสียนเฟยยังมิอาจผ่านประตูตรอกเชวี่ยจื่อเข้าไปได้ก็ปีติยินดียิ่งนัก
หึ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องรีบร้อนเป็นตัวร้าย เพราะเจ้าเจ็ดแปลกแยกจากพี่น้องคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง