ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 225 ฟังข้าอธิบาย
“เร็วเข้า เร็วเข้า!” บรรดาเจ้าหน้าที่วิ่งไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ภายใต้แสงไฟส่องสว่างทำให้มองเห็นความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นของคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
แม่น้ำจินสุ่ยเป็นที่ผลาญเงินของเหล่าผู้มั่งมี ฉะนั้นคนที่โดยสารมากับนาวาใหญ่ที่แกะสลักคานลงสีเสามาอย่างวิจิตรจึงเป็นพวกเจ้าขุนมูลนาย ยามที่เกิดปัญหา เจินซื่อเฉิงซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครก็จะส่งผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยไปลาดตระเวน หากเป็นเหตุการณ์ร้ายแรง ผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยจะตีฆ้องส่งสัญญาณ และเจ้าหน้าที่จำนวนมากก็จะรุดมายังที่เกิดเหตุ
หากใคร่อยากจะเป็นผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครจะต้องพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้อย่างถี่ถ้วน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจินซื่อเฉิงที่เพิ่งดำรงตำแหน่งได้ไม่นานถึงมีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์
ครั้นเจียงซื่อเห็นเจ้าหน้าที่จำนวนมากบริเวณริมฝั่ง ใบหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนสี และหันไปสั่งเหล่าฉินว่า “อย่าเพิ่งเข้าฝั่ง แต่ให้ล่องไปอยู่รวมกับนาวาเหล่านั้นก่อน”
นี่คงเป็นอีกครั้งที่เจียงซื่ออยากรู้ว่าเจินซื่อเฉิงจะไขคดีอย่างไร
โดยปกติแล้วหากเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้บนนาวาใหญ่ ชาวบ้านทั่วไปจะรอดูว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากมีเรือลำไหนแล่นออกไปเงียบๆ ก็เท่ากับว่าเรือลำนั้นมีปัญหา
นางเห็นว่ามีหัวหน้าคนหนึ่งซึ่งมักจะติดตามเจินซื่อเฉิงอยู่บ่อยครั้งกำลังสั่งการเจ้าหน้าที่เหล่านั้น นางจึงเลี่ยงที่จะกลับขึ้นฝั่ง
เจ้านายที่มีความสามารถก็ย่อมมีลูกน้องที่เก่งกาจไม่แพ้กัน
เรือลำน้อยหยุดกะทันหันเนื่องจากมีนาวาใหญ่ลำหนึ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้
เหล่าฉินกำด้ามไม้พายและวางตัวอย่างระแวดระวัง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขามั่นใจได้ว่านาวาใหญ่นั้นกำลังพุ่งเข้ามาทางเรือของพวกเขา
มีคนๆ หนึ่งยื่นหน้าออกมาจากบนนาวาพลางตะโกนว่า “ขึ้นมา!”
แม้บริเวณที่พวกเขาอยู่จะมืดสลัวแต่เจียงซื่อก็สามารถมองเห็นบุคคลผู้นั้นได้อย่างชัดเจน
อาหมานหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ “คุณหนู คุณชายอวี๋เจ้าค่ะ…”
เจียงซื่อหันไปมองความวุ่นวายที่ริมฝั่งและกลางแม่น้ำ และรีบสั่งเหล่าฉินทันควัน “รีบพาคุณชายรองขึ้นไปบนนาวานั่น!”
ไม่ช้าไม่นานเหล่าฉินก็อุ้มคุณชายรองขึ้นไปบนนาวาลำใหญ่ ส่วนเจียงซื่อและอาหมานก็ตามขึ้นไปติดๆ
อวี้จิ่นหันไปผงกศีรษะให้เหล่าฉินพลางบอก “เจ้าไปได้แล้ว”
หากเหล่าฉินที่แสร้งทำเป็นพ่อค้าขายผลไม้ในตอนแรกพายเรือออกไปคนเดียวจะปลอดภัยที่สุด ส่วนการให้เจียงซื่อและอีกสองคนขึ้นนาวาขององค์ชายเจ็ดจะสามารถรับประกันความปลอดภัยได้มากกว่า
ครั้นได้รับสัญญาณจากเจียงซื่อแล้ว เหล่าฉินก็รีบจ้วงไม้พายและพาเรือออกไปทันที
นาวาของอวี้จิ่นขนาดไม่ใหญ่นัก อีกทั้งมิได้วิจิตรงดงาม เมื่ออยู่ท่ามกลางเรือลำอื่นจึงไม่เป็นที่สะดุดตา สิ่งที่แตกต่างจากนาวาใหญ่ลำอื่นคือไม่มีบรรดาหญิงงามเมืองและคณิกาชายให้วุ่นวาย ภายในเรือโปร่งโล่งและสะอาดสะอ้าน
บริเวณโถงด้านในมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ใกล้หน้าต่าง มีผลไม้สดสองสามจานและเหยือกสุราหนึ่งใบตั้งอยู่ มีเพียงจอกสุราที่ถูกใช้งานไปแล้วใบเดียวเท่านั้น ภาพตรงหน้าให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวแก่ผู้ที่พบเห็น
ครั้นจัดแจงร่างของเจียงจั้นเรียบร้อยแล้ว อวี้จิ่นหันไปมองเจียงซื่อพลางถอนหายใจ “เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อน”
เนื่องจากเจียงซื่อขบคิดถึงรายละเอียดเหตุการณ์ในวันนี้มาอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่เรื่องวางเพลิงและกระโดดน้ำ ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อเป็นการเอาตัวรอดและจัดการหยางเซิ่งไฉและพรรคพวก ในช่วงเวลาคับขัน นางตั้งใจจะกระโดดลงน้ำ เพราะเมื่อเห็นคนๆ หนึ่งกระโดดลงน้ำไป คนที่เหลือก็จะทำตามโดยปริยาย
เจียงซื่อจึงได้นึกถึงชุดสำหรับเปลี่ยนตั้งแต่แรก นางถึงได้สั่งให้อาหมานเตรียมชุดสำรองเอาไว้ ซึ่งมีทั้งชุดบุรุษและสตรี ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
บนนาวามีบริเวณที่เป็นห้องส่วนตัว เจียงซื่อเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์โดยมีอาหมานตามเข้าไปด้วย จากนั้นก็กลับไปที่ห้องโถงอีกครั้ง
สายตาของอวี้จิ่นจับจ้องไปที่เส้นผมเปียกปอนของหญิงสาวจึงยิ้มพลางบอก “โชคดีที่อากาศร้อน ไม่นานผมเจ้าก็คงแห้ง แต่กลับไปก็อย่าลืมไปอาบน้ำอาบท่าอีกครั้ง จะได้ไม่เป็นหวัด”
เจียงซื่อไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแต่หันไปมองชายหนุ่มเงียบๆ
อวี้จิ่นหัวเราะ “อย่าเพิ่งเข้าใจผิด วันนี้ข้าแค่บังเอิญผ่านมา มิได้สะกดรอยตามเจ้ามาเสียหน่อย”
ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมรับ มิฉะนั้นอาซื่อคงได้เกลียดเขาอีกเป็นแน่
เมื่อนึกถึงภาพหญิงสาวที่สวมอาภรณ์เฉกเช่นชายหนุ่มใช้ด้ามไม้พายกดศีรษะให้คนหนึ่งจมลงไปในน้ำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้ว จิตใจปั่นป่วนของเขาก็สงบลงมากแล้ว
อื้ม พูดออกไปตรงๆ เลยแล้วกัน
“คงเห็นหมดแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” เจียงซื่อถามออกไปในที่สุด
อวี้จิ่นหัวเราะแห้ง “เหอะๆ เจ้าคงมิได้คิดฆ่าคนเพื่อปิดปาก?”
เจียงซื่อนั่งลงพลางเอ่ยตอบแผ่วเบา “ข้ามิได้ว่างปานนั้น แล้วก็มิใช่คนที่มีความสามารถด้านนั้นด้วย”
นางเบนสายตาออกไปมองเงาผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมานอกหน้าต่าง และรู้สึกเหมือนได้ปลดพันธนาการออกจนหมดสิ้น
หากอวี้ชีได้เห็นเจียงซื่อฆ่าคนอย่างเลือดเย็น ใจปฏิพัทธ์ที่มีต่อนางก็คงหดหายไปด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วเหล่าสุภาพบุรุษก็มักจะนิยมชมชอบสตรีที่จิตใจงดงามและอ่อนโยน ทว่าตั้งแต่นางตายและได้ชีวิตกลับมาอีกครั้ง นางก็มิใช่คนเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ข้าเห็นน้องเจียงเอ้อร์ถูกคนผลักลงมาทางหน้าต่าง”
สายตาของเจียงซื่อหันกลับมา และหันไปจ้องตากับอวี้จิ่น
อันที่จริงแล้วนางไม่อยากเชื่อว่าในค่ำคืนนี้จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ นางก็คงไม่มีทางเผยความลับออกไปเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการบดขยี้ไหที่แตกแล้วให้ละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย และสุดท้ายนางก็คงกลับไปเชื่อคำโกหกหลอกลวงของคนอย่างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉะนั้นถือว่าเจ้าทำได้ดีทีเดียว มิต้องรู้สึกผิดเลยสักนิด”
จำต้องยอมรับว่ายามที่อวี้จิ่นเห็นเจียงซื่อตัดสินใจจบชีวิตหยางเซิ่งไฉเช่นนั้น เขาอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้รู้แล้วรู้รอด แต่หลังจากชื่นชมแล้วเขากลับอดเป็นห่วงไม่ได้
อย่างไรเสีย อาซื่อก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง แม้ในตอนนั้นจะฆ่าคนด้วยความแค้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วคงจะว้าวุ่นใจจนไม่เป็นอันนอน แล้วยิ่งหากเรื่องนี้กลายเป็นภาพจำฝังใจอีกจะยิ่งแย่
“คนที่ตอบแทนความชั่วด้วยความดีเป็นพวกมีปัญหาทางสมองทั้งนั้น พี่ชายของเจ้าถูกคนทำร้าย เจ้าจึงล้างแค้นแทนพี่ชาย ไม่เห็นจะพิลึกตรงไหน มีแต่คนโง่ที่ปล่อยให้เรื่องนี้ให้ค้างคาอยู่ใจ เจ้าลองคิดดู คนหยาบช้าสามานย์ตายไปสักคน จะมีคนได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อีกทบเท่าทวีคูณ จะว่าไปแล้วนี่เรียกว่าเป็นการสร้างคุณูปการครั้งใหญ่จะถูกกว่า” อวี้จิ่นพยายามปลอบใจนางผู้เป็นที่รัก
อาหมานที่ยืนอยู่ข้างๆ กลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
คุณชายอวี๋และคุณหนูนี่เกิดมาคู่กันจริงๆ วาจาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
เห็นได้ชัดว่าอวี้จิ่นไม่ได้เชี่ยวชาญในการพูดปลอบใจเลยแม้แต่น้อย เจียงซื่อฟังถ้อยคำปลอบประโลมที่แสนงุ่มง่ามของอีกฝ่ายก็ลอบถอนหายใจออกมา
หากเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่นๆ ครั้นได้ฟังถ้อยคำปลอบใจที่แสนจะไม่ตามครรลองคลองธรรมเช่นนี้คงน้ำตาแตกไปเสียตั้งนานแล้ว
แน่นอนว่า สตรีพวกนั้นคงไม่อาจลงมือฆ่าคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นนั้นได้
เจียงซื่อยิ้มให้อวี้จิ่น “ข้ารู้ว่าข้าทำได้ดี คนเช่นนั้นสมควรตายอยู่แล้วล่ะ”
อวี้จิ่นกลืนถ้อยคำที่เหลือลงคอ แต่เนื่องจากกะทันหันเกินไปทำให้เขาอยากกระแอมไอออกมา
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อวี้จิ่นก็หันไปพินิจท่าทีของเจียงซื่อพลางถาม “เจ้าไม่รู้สึกผิด?”
“ไม่เจ้าค่ะ”
รู้สึกผิด? ในยามนี้นางอยากจะยกจอกเฉลิมฉลองให้กับการตายของคนที่ทำร้ายพี่รองเมื่อชาติที่แล้ว
“แล้วจะไม่กลัว ไม่รู้สึกค้างคา?” อวี้จิ่นยากเกินจะเชื่อได้
จะมีเรื่องใดน่ายินดีไปกว่าการได้เห็นนางในดวงใจมีความสุขอีกเล่า
เจียงซื่อแย้มยิ้มเล็กน้อย พลางยืนยันหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่รู้สึกยินดีเท่านั้น”
อวี้จิ่นหัวเราะเสียงดัง “ข้าก็ยินดี!”
“ยินดีเรื่องใดกัน” เจียงซื่อถามด้วยความประหลาดใจ
อวี้จิ่นข่มกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้และเผยยิ้มบางๆ “เดิมทีรู้สึกว่าการล่องเรือในแม่น้ำจินสุ่ยยามค่ำคืนช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสช่วยน้องเจียงเอ้อร์ จะไม่ยินดีได้อย่างไร”
เจียงซื่อมองไปรอบๆ นาวาพลางถาม “มาล่องเรือคนเดียวย่อมรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา”
มุมปากที่ยิ้มค้างของอวี้จิ่นกระแอมไอออกมาเบาๆ “ล่องเรือคนเดียวสบายใจ หญิงงามเมืองพวกนั้นวุ่นวายเสียงดังน่าปวดหัว เอ่อ จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนักหรอก”
ต้องเชื่อที่ข้าพูดนะ!