ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 229 หมดแล้วซึ่งเหตุผลในการมีชีวิตอยู่
เจียงจั้นตะลึงค้างไปในทันใด น้ำเสียงสั่นระริกจนแทบไม่เป็นคำพูด “พี่ พี่อวี๋ชี… บอกว่าข้าถูกผู้ชายปู้ยี่ปู้ยำงั้นหรือ”
ในขณะนั้นอวี้จิ่นรู้ดีว่าเงียบไว้ก่อนจะเป็นประโยชน์กว่า สายตาจ้องลึกลงไปบนในหน้าเจียงจั้นทว่ามิได้เอ่ยตอบ
เจียงจั้นไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่ได้ยิน หลุบสายตาลงสำรวจเรือนร่างของตนเอง และพบว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ในขณะนั้นไม่ใช่อาภรณ์ที่ใส่ในตอนแรก แต่กลับลืมสนิทว่าตนเองต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากที่ตกลงไปในน้ำ
ในวินาทีนั้นเหมือนมีสายฟ้าผ่าฟาดลงในหัวของเขา นึกออกเพียงแต่ภาพเหตุการณ์ที่กำลังถูกชายหนุ่มผู้นั้นเอาเปรียบ
แหวะ… ภาพในหัวชวนให้เจียงจั้นถึงกับยืนไม่อยู่จนต้องเกาะเสาและอาเจียนออกมา
ไม่ต้องบอกก็พอทราบได้ว่าเศษซากที่ถูกขย้อนออกจากท้องของพวกคนขี้เมาเป็นเช่นไร กลิ่นเหม็นเปรี้ยวคละคลุ้งกระจายไปทั่ว
ในใจอวี้จิ่นรู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่ง แต่พยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ
แค่หยอกเล่นเท่านั้น ในเมื่อเขารับปากอาซื่อไว้ว่าจะดูแลเจ้านี่อย่างดี อาซื่ออุตส่าห์ไหว้วานขนาดนี้ เขาก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถ จะต้องทำให้เจ้าเด็กนี่รู้สึกประทับใจให้จงได้
อื้ม โชคดีที่เขาเป็นคนมองการณ์ไกล ถึงไม่ได้พาเจียงจั้นเข้าไปพักให้ห้องหับของตนเอง มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้ย้ายบ้านอย่างแน่นอน
หลงต้านยืนอยู่ด้านนอกประตู “…” นี่คือห้องของเขา เขาจะฆ่าเจ้านายให้ได้!
อวี้จิ่นกล้ำกลืนฝืนดมกลิ่นนั้น พลางเอื้อมมือไปตบบ่าเจียงจั้นอย่างเห็นอกเห็นใจ “น้องเจียงเอ้อร์ หากเจ้ารู้สึกไม่ดีก็อาเจียนออกมาเถิด หากได้ปลดปล่อยเสียบ้างจะได้รู้สึกดีขึ้น”
หลงต้าน “???…”
เจียงจั้นเศร้าใจเหนือคณา
เขารู้ว่าพี่อวี๋ชีเป็นพวกรักความสะอาด การปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ช่างใจกว้างยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่า…
เมื่อเจียงจั้นอาเจียนจนเหลือเพียงแต่น้ำย่อย เขาก็หันไปรับผ้าที่อวี้จิ่นส่งให้มาเช็ดปาก ครั้นเช็ดเรียบร้อยก็โยนผ้านั้นลงพื้น แล้วเตรียมท่าหันหลังเดินออกไป
อวี้จิ่นรีบเดินตามไปทันที “น้องเจียงเอ้อร์ นี่เจ้าจะไปไหน”
ทนอยู่ในห้องต่อไปไม่ไหวแล้ว
ขณะที่เดินผ่านหลงต้านที่ยืนอยู่ด้านข้าง อวี้จิ่นส่งสายตาสื่อให้หลงต้านเข้าไปเก็บกวาดภายในห้อง
หลงต้านเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทีหมดแล้วซึ่งเหตุผลในการมีชีวิตอยู่
กลางลานขนาดเล็ก ต้นเหอฮวนออกดอกบานสะพรั่ง กลีบดอกสีชมพูประดุจพัดขนาดเล็กมากมายปลิดปลิวว้าว่อนไปตามสายลม มีบางดอกตกลงบนบ่าของเจียงจั้น
กลิ่นหวานหอมปลุกเร้าให้เจียงจั้นรู้สึกพะอืดพะอมอีกครั้งหนึ่ง
เขาก้มตัวเตรียมจะอาเจียน แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดให้ขย้อนออกมา
เอ้อร์หนิวที่นอนหมอบอยู่ที่ตีนกำแพงซึ่งห่างออกไปไม่ไกลเหลือบมองมาแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปง่วนอยู่กับชิ้นกระดูกของมัน
มีเพียงสามอย่างเท่านั้นที่มันสนใจคือ เจ้านาย นายหญิงและกระดูก
ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อตุ๋นซีอิ๊วก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน
เหลิงอิ่งถือน้ำแกงแก้เมาค้างเข้ามา
อวี้จิ่นรับมาก่อนจะส่งให้เจียงจั้น “น้องเจียงเอ้อร์ ดื่มน้ำแกงนี้ก่อนเถิด มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าร่างกายจะแย่เอา”
คำว่า ‘ร่างกายจะแย่เอา’ แทงใจดำเจียงจั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าขาวซีดกระเด้งตัวขึ้นมา “มารดามันเถอะ ข้าจะไปฆ่าไอ้สารเลวนั่น!”
อวี้จิ่นวางชามน้ำแกงคืนบนถาดในมือเหลิงอิ่ง และเอื้อมมือไปคว้าเจียงจั้น “น้องเจียงเอ้อร์จะไปฆ่าใครหรือ”
“ฆ่าหยางเซิ่งไฉ!” เจียงจั้นถูกอวี้จิ่นดึงตัวเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ จึงเอ่ยด้วยความชิงชัง “พี่อวี๋ชี ปล่อยข้า หากวันนี้ข้าฆ่าคนน่ารังเกียจอย่างมันไม่ได้ ข้าคงต้องอ้วกแตกตายไปข้างหนึ่ง!”
อวี้จิ่นถอนหายใจ “น้องเจียงเอ้อร์ เจ้าจะหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ไม่ได้ ไหนลองบอกมาสิว่าหยางเซิ่งไฉคือผู้ใด”
เจียงจั้นสงบลง น้ำเสียงเริ่มกลับมาเป็นปกติ “เขาเป็นหลานของเสนาบดีกรมพิธีการ พระชายาเอกในไท่จื่อคือพี่สาวแท้ๆ ของเขา พี่อวี๋ชี พี่ไม่ต้องกลัว สิ่งที่ข้าทำ ข้าก็จะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ไม่ทำให้พี่ลำบากไปด้วยอย่างแน่นอน”
เมื่อเจียงจั้นพูดจบก็พยายามออกแรงให้หลุดจากพันธนาการของอวี้จิ่น ทว่ากลับไม่สำเร็จ สีหน้าโกรธเคืองบิดเบี้ยวไป “พี่อวี๋ชี ปล่อยข้า!”
“น้องเจียงเอ้อร์ ที่เจ้าว่าจะรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำแต่เพียงผู้เดียว ไม่ทำให้ข้าต้องลำบากไปด้วย แต่เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่า หากเจ้าฆ่าหลานของเสนาบดีกรมพิธีการจะเป็นการสร้างความลำบากให้แก่จวนปั๋วหรือไม่”
เจียงจั้นหยุดดิ้นทันที ทั้งร่างกายและจิตใจแข็งทื่อ
ก็จริง แม้ว่าการฆ่าหยางเซิ่งไฉด้วยบันดาลโทสะอาจต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเอง แต่ท่านพ่อและน้องสาวจะทำอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการและไท่จื่อจะมารังแกพวกเขา คำตอบก็แน่นอนอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงจั้นรู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถ เขายังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดดอกเหอฮวนปลิวผ่านใบหน้าซีดเผือดของตัวเองไปอย่างนั้น
เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าเป็นไปดังที่ตั้งใจแล้วจึงกระแอมเสียงเล็กเสียงน้อย “ข้ามีข่าวดีจะบอกกับน้องเจียงเอ้อร์”
ราวกับว่าสติถูกดึงกลับเข้ามาในร่างของเจียงจั้น พอเขาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย “จะมีข่าวดีอะไรอีกเล่า”
หือๆๆ การถูกบุรุษปู้ยี่ปู้ยำเช่นนี้นับเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
“หยางเซิ่งไฉที่เจ้าว่า เขาตายไปแล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ” เจียงจั้นไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขายื่นมือไปจับข้อมืออวี้จิ่น “พี่อวี๋ชี พี่พูดชัดๆ สิว่าใครตาย”
“ก็หลานชายของเสนาบดีกรมพิธีการอย่างไรเล่า หากเขาผู้นั้นชื่อหยางเซิ่งไฉ”
อวี้จิ่นเล่าเรื่องเมื่อคืนและเหตุการณ์ในวันนี้ให้เจียงจั้นฟัง แน่นอนว่าสิ่งใดที่ไม่ควรพูด เขาก็ไม่ได้พูดออกไป
เจียงจั้นไม่เคยรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองจะขึ้นๆ ลงๆ ได้เท่านี้มาก่อน เขาพึมพำออกมาว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า เมื่อคืนหลังจากที่ข้าตกน้ำ พี่อวี๋ชีก็เข้ามาช่วยไว้ แล้วหลังจากนั้นบนนาวาใหญ่ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ พวกหยางเซิ่งไฉจึงกระโดดน้ำหนีตายด้วยเช่นกัน”
“ถูกต้องแล้ว จู่ๆ เมื่อคืนข้าเกิดนึกครึ้มอยากไปล่องเรือในแม่น้ำจินสุ่ย ขณะที่กำลังมองออกไปนอกระเบียง จู่ๆ ก็มีคนร่วงลงมาจากหน้าต่าง น้องเจียงเอ้อร์ก็คงรู้ว่าข้าเป็นคนกระตือรือร้นเพียงใด ถึงได้รีบสั่งให้เหลิงอิ่งลงไปช่วยคนๆ นั้นขึ้นมา ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้า”
เจียงจั้นเผลอพยักหน้าตาม
เขานี่ช่างดวงแข็งเสียจริงถึงได้บังเอิญพบคนน้ำใจงามอย่างพี่อวี๋ชี มิฉะนั้นป่านนี้ร่างของเขาคงได้เข้าไปอยู่ในท้องปลาเป็นแน่
“พี่อวี๋ชี นี่เป็นครั้งที่สองที่พี่ช่วยชีวิตข้าไว้…”
อวี้จิ่นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “น้องเจียงเอ้อร์เกรงใจเกินไปแล้ว ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ อย่าพูดจาห่างเหินเช่นนั้นเลย”
จิตใจของเจียงจั้นกำลังพัวพันยุ่งเหยิงจึงไม่ทันเอะใจเลยว่าประโยคเมื่อครู่มีบางอย่างผิดปกติ เขาเพียงพยักหน้ารับหงึกๆ
“เช้าวันนี้ผู้คนกว่าครึ่งเมืองต่างแห่แหนกันไปอยู่ที่แม่น้ำจินสุ่ย เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่า ร่างศพของหยางเซิ่งไฉถูกนำขึ้นมาแล้ว”
“ตายก็ดี!” เจียงจั้นปล่อยหมัดออกไป แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงที่พื้นพลางยกมือกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด
เอ้อร์หนิวหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะคาบกระดูกชิ้นหนึ่งและวิ่งออกไปนอกประตู
เสียงดังเหลือเกิน รบกวนการกินอาหารของข้า
อวี้จิ่นมองเจียงจั้นร้องไห้เงียบๆ และใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด
การ ‘ดูแล’ คราวนี้เจียงจั้นคงจำฝังใจไปจนตาย แต่ทว่าเขาคงต้องให้บทเรียนเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
รอจนกระทั่งเจียงจั้นเงียบไป อวี้จิ่นก็ค่อยๆ ยองตัวลงพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “น้องเจียงเอ้อร์ ไม่สบายตรงไหนงั้นหรือ”
ใบหน้าของเจียงจั้นหม่นลง
ตอนนี้เขาไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น!
“ข้าจะได้ให้เหลิงอิ่งเอายามาทาให้…”
“ไม่ต้อง!” เจียงจั้นแทบจะกระเด้งตัวขึ้นมาทันควัน ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ “ข้าเพียงแต่คิดว่าหยางเซิ่งไฉมาตายไปเช่นนี้ แม้แต่โอกาสให้ข้าเอาแส้โบยศพยังไม่มี ช่างคับแค้นใจเสียจริง!”
อวี้จิ่นพยักหน้าเชิงเห็นพ้อง “น้องเจียงเอ้อร์พูดถูก ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าอย่างถ่องแท้”
หน้าของเจียงจั้นยังคงเหยเกและดื้อดึงอยู่ไม่น้อย
อวี้จิ่นนึกอะไรบางอย่างได้จึงตบบ่าเจียงจั้น “น้องเจียงเอ้อร์ เจ้ารีบกลับจวนก่อนจะดีกว่า เพราะตอนนี้ท่านพ่อของเจ้ากำลังตามหาเจ้าอยู่ที่แม่น้ำจินสุ่ย”
เจียงจั้นรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างมืดมิด เขาเองก็หมดแล้วซึ่งเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ต่อ