ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 230 เจียงจั้นกลับจวน
ในช่วงสาย ผู้คนช่วยกันตามหาทั่วทั้งแม่น้ำจินสุ่ย ทว่ากลับไม่พบแม้แต่เงาของคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว เหล่าคนที่แห่กันมาดูเหตุการณ์เริ่มหมดความอดทนไปตามๆ กันจึงได้ทยอยแยกย้ายกลับไป ส่วนคนที่อยู่ละแวกใกล้ๆ ก็กลับไปเติมอาหารให้อิ่มท้องแล้วค่อยกลับมาพร้อมกับม้านั่งตัวน้อยสำหรับรับชมเหตุการณ์ ก็เพราะไม่แน่ว่าหากอดทนรออีกนิดคงได้เห็นร่างของคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วถูกนำขึ้นจากน้ำ จะได้ไปคุยโวได้ว่าตนเป็นคนเห็นศพคนแรก
เจียงอันเฉิงเดินย่ำริมฝั่งแม่น้ำไปพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ มาถึงยามนี้แล้ว เขาไม่มีหวังว่าจะได้พบลูกชายที่ยังหายใจอีกต่อไป เหลือเพียงความหวังที่จะได้พบศพลูกชายเท่านั้น แม้ว่าคนผมขาวจะต้องส่งศพคนผมดำเขาก็ยอม เพียงแต่เขาไม่อาจปล่อยให้ร่างของลูกชายจมอยู่ใต้น้ำเพื่อเป็นอาหารปลา
ดูเหมือนว่าบริเวณแม่น้ำจินสุ่ยสายนี้จะเดินอย่างไรก็ยังไม่ทั่ว เจียงอันเฉิงไม่รับรู้ถึงความอ่อนล้าของร่างกายตนเอง ต่อให้ฝ่าเท้าจะมีแผลพุพอง แต่นั่นก็ไม่อาจยับยั้งให้เขาหยุดพักได้เลย
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ในสมองของเขาใคร่ครวญถึงเรื่องราวมากมาย ทว่าสิ่งที่เขาคิดถึงมากที่สุดคือเจียงจั้น
เจียงจั้นเคยไปขุดรังนกจนถูกตัวต่อต่อยจนเป็นลมไป เจียงจั้นเคยขโมยผลแตงโมจนถูกชาวสวนไล่ตะเพิด เจียงจั้นเคยแอบกินไก่ย่างในห้องเรียนจนอาจารย์โมโหถึงกับเชิญให้ลาออก เจียงจั้นเคยไปเที่ยวที่หอโคมเขียวแล้วไปต่อยผู้บังคับบัญชาของน้องชายเขา…
ยิ่งเจียงอันเฉิงนึกย้อนถึงสิ่งเหล่านี้ ยิ่งรู้สึกว่าภายในใจของตนช่างว่างเปล่า เท้าของเขาเดินเซไปตามทาง
“พี่ใหญ่ ระวังด้วย” นายท่านเจียงสามมือไวจึงเข้ามาพยุงพี่ชายไว้ได้ทัน
เจียงหันเฉิงหันไปมองน้องชายก็เห็นว่าแววตาของเขาแดงก่ำไม่แพ้กัน
เจียงอันเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “น้องสาม ข้านี่ช่างไร้ประโยชน์จริงไหม นอกจากจะไม่สามารถทำให้จวนปั๋วเจริญรุ่งเรืองแล้ว ยังไม่อาจอบรมลูกชายตัวเองให้เก่งกาจเหนือผู้อื่นได้ ย่ำแย่ถึงขั้นที่แม้แต่ชีวิตของเขา ข้ายังรักษาไว้ไม่ได้ วันข้างหน้าหากข้าตายไป ข้าจะมีหน้าไปสู้หน้าพี่สะใภ้ของเจ้าได้อย่างไร…”
“พี่ใหญ่…” นายท่านเจียงสามจับไหล่ผู้เป็นพี่ชาย แม้ในใจจะทราบดีว่าขณะนี้ไร้ซึ่งความหวัง แต่ก็ยังพยายามเอ่ยปลอบใจ “จั้นเอ๋อร์เป็นเด็กดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง หลานต้องไม่เป็นอะไร”
นายท่านเจียงรองที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวเสริม “จริงด้วย พี่ใหญ่ พี่จะเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวคงมีคนพบจั้นเอ๋อร์”
ไม่รู้ป่านนี้ร่างของเจียงจั้นคงลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คนอื่นๆ คงทนต่อไปไม่ไหว
ใบหน้าของนายท่านเจียงรองเริ่มเป็นสีแดง คล้ายกับว่าจะเป็นลมแดด
เจียงอันเฉิงพยักหน้าเห็นพ้อง “จริงสิ ตราบใดที่ยังหาต่อไปก็จะต้องเจออย่างแน่นอน”
เขาไม่มีทางยอมรับจุดจบในทำนอง คนดีไม่เห็นตัว คนตายไม่เห็นศพอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นมีเสียงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังลอยมา “ท่านพ่อ…”
เจียงอันเฉิงผงะไป และยิ้มออกมาอย่างกล้ำกลืน “บ้าแล้ว ข้าคงประสาทหลอนไปแล้ว”
เจียงจั้นมองดูบิดาที่น่าครั่นคร้ามในยามปกติ ทว่าบัดนี้กลับดูสิ้นหวังและเลื่อนลอย อาการเจ็บแวบแล่นเข้ามาที่ตา เขาถลาตัวไปคุกเข่าและน้อมคำนับพลางบอก “ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ประสาทหลอน ลูกยังไม่ตาย!”
เจียงอันเฉิงยังคงมองค้างไปที่ลูกชายที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น แต่มิได้ตอบสนอง นายท่านเจียงสามยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเข้าไปดึงให้เจียงจั้นลุกขึ้น “จั้นเอ๋อร์เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่”
เจียงจั้นยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น “ท่านอาสาม หลานสบายดีขอรับ”
นายท่านเจียงรองก็ชะงักงงงันด้วยอีกคน
ไฉนเจียงจั้นถึงยังไม่ตาย
เขาสำรวจเจียงจั้นด้วยสายตาเย็นชา และพบว่าใบหน้าของเจียงจั้นขาวซีด เนื้อตัวยังคงสะอาดสะอ้าน ทันทีที่ได้สติเขารีบปั้นหน้ายินดี “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เจียงชังเข้าไปดึงตัวเจียงจั้นให้ลุกขึ้นเช่นกัน “น้องรอง ดีเหลือเกินที่เจ้าไม่เป็นอะไร ข้าเป็นห่วงแทบแย่”
เจียงจั้นแกะมือเจียงชัง และคุกเข่าลงที่หน้าเจียงอันเฉิง พลางเอ่ยวาจาเว้าวอนน่าสงสาร “ท่านพ่อ ลูกผิดเองที่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วง ท่านพ่อตีลูกให้สาสมกับที่ลูกทำเถอะขอรับ”
เจียงอันเฉิงยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปแตะใบหน้าของเจียงจั้น
จริงด้วย ลูกข้ายังไม่ตาย!
ในขณะนั้นเจียงอันเฉิงรู้สึกว่าหัวใจที่ร่วงล่นไปแล้วลอยกลับขึ้นมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ประหนึ่งได้เดินทางจากขุมนรกกลับมาสู่โลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
ไอ้ลูกเวร!
เจียงอันเฉิงอยากลงไม้ลงมือให้สาแก่ใจเฉกเช่นที่ผ่านมา ทว่าในขณะนั้นกลับไร้เรี่ยวแรง เขาไม่เอ่ยสักคำเพียงแต่หันหลังเดินกลับไป
เจียงจั้นชะงักก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วตามผู้เป็นบิดาไป “ท่านพ่อ ช้าก่อน…”
สองพ่อลูกเดินไป โดยมีคนหนึ่งเดินนำหน้า ส่วนอีกคนเดินตามหลัง คนที่เหลืออีกจำนวนมากต่างถกเถียงเรื่องที่คุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วรอดชีวิตมาราวกับปาฏิหาริย์
ปกติแล้วในยามนี้จะเป็นเวลาอาหารกลางวันของจวนตงผิงปั๋ว แต่ในวันนี้บรรดานายท่านมารวมตัวกันอยู่ในเรือนฉือซิน ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงมื้อกลางวันเลยแม้แต่คนเดียว
เจียงเชี่ยวนั่งอยู่ข้างๆ เจียงซื่อพลางเอ่ยปลอบใจ “น้องสี่ พี่รองต้องไม่เป็นอะไร ข้าดูโหวงเฮ้งคนได้ พี่รองมีกระดูกท้ายทอยอวบอ้วน หมายความว่าเขาจะมีอายุยืนยาว…”
เฝิงเหล่าฮูหยินกวาดตามองพลางติเตียน “เป็นสาวเป็นนางพูดจาไร้สาระ!”
เด็กสาวในจวนปั๋วอ้างว่าตนเองดูโหวงเฮ้งคนได้ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปจักไม่เป็นขี้ปากคนหรือ
แน่นอนว่าเจียงเชี่ยวมิได้มีความสามารถเช่นนั้น เพียงแต่ต้องการพูดปลอบใจเจียงซื่อ ครั้นถูกดุจึงสงบปากสงบคำแล้วหันไปจับมือเจียงซื่อเงียบๆ
เจียงซื่อส่งยิ้ม “อื้ม ข้าเชื่อว่าพี่รองต้องไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
บรรยากาศในเรือนอึมครึม มีเพียงเจียงซื่อเท่านั้นที่สวมกระโปรงสีทับทิมสะดุดตา
แผ่นหลังของนางยืดตรง ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ เมื่อเจียงเชี่ยวได้เห็นภาพน้องสาว ดวงตาของนางกลับกลายเป็นสีแดงอย่างช่วยไม่ได้
เจียงเชี่ยวรู้ว่าน้องสี่พยายามเข้มแข็ง ยังไม่กล้าเผชิญกับความจริงที่ว่าพี่รองของนางมีอันเป็นไป ไม่รู้ว่าในใจของน้องสี่จะทุกข์ทนเพียงใด
เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อเหลือบมองเจียงซื่อด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจส่งเสียหัวเราะเยาะ นางอยากจะเห็นว่าเด็กนี่จะทำตัวเข้มแข็งได้สักกี่น้ำ
“เหล่าฮูหยิน ให้คนครัวนำสำรับอาหารมาเถอะเจ้าค่ะ พวกเราไม่ทานได้ แต่ท่านจะหิวมิได้นะเจ้าคะ มิฉะนั้นแล้วร่างกายจะแย่เอานะเจ้าคะ”
เหล่าฮูหยินไม่ได้ตอบเซียวซื่อ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง การสูญเสียหลานชายย่อมทุกข์ใจเป็นธรรมดา แต่การไม่ยอมกินอะไรเลยจนร่างกายทรุดตามไปด้วยช่างไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
“ไปจัดอาหารเถอะ ให้ครัวจัดเตรียมอาหารสำหรับเหล่านายท่านไว้ด้วย สั่งให้คนนำไปให้ แล้วอย่าลืมต้มถั่วเขียวไว้ด้วยหนึ่งหม้อ”
ในเวลานั้นมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น และมีหญิงชรานางหนึ่งปรี่เข้ามารายงาน “เหล่าฮูหยิน พวกนายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เหล่าฮูหยินลุกพรวด “แล้วคุณชายรองเล่า”
หญิงชรารีบตอบ “คุณชายรองก็มาด้วยเจ้าค่ะ!”
ผู้คนในโถงนั้นตีความหมายท่าทีของหญิงชราผิดไป คิดว่าเจียงอันเฉิงนำร่างเจียงจั้นที่เสียชีวิตแล้วกลับมาด้วย จึงช่วยกันพยุงเฝิงเหล่าฮูหยินออกไป
เซียวซื่อชำเลืองตาไปมองเจียงซื่อแวบหนึ่งและเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูสี่ ท่านพ่อของเจ้าออกตามหาคนมาทั้งคืน เกรงว่ายามนี้คงหมดแรงน่าดู เจ้าเป็นลูกสาวก็เอาใจใส่ท่านพ่อของเจ้าให้มากหน่อย”
“ขอบคุณท่านอาสะใภ้รองที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” เจียงซื่อเอ่ยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน และก้าวพรวดออกไปทันที
พี่รองต้องไปเป็นคู่ซ้อมของทั้งอวี้ชีและท่านพ่อ ไม่รู้ว่าสภาพตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
เฝิงเหล่าฮูหยินเดินออกไปนอกประตูจวนพร้อมคนอื่นๆ ภาพตรงหน้าคือเจียงอันเฉิงและคนอื่นๆ กำลังเดินเข้ามา
อาฝู สาวรับใช้ที่ปกติเป็นคนอารมณ์มั่นคงที่เดินตามมาด้านหลังเฝิงเหล่าฮูหยินในเวลานี้กลับอุทานเสียงหลง “คุณ คุณชายรอง!”
หากคนที่เดินตามมาข้างหลังเจียงอันเฉิงไม่ใช่คุณชายรองเจียงจั้นแล้วจะเป็นใครได้เล่า
เซียวซื่อพึมพำราวกับคนเห็นผี “เจียงจั้นยังไม่ตาย?”
“ใช่สิเจ้าคะท่านอาสะใภ้รอง หลานบอกแล้วว่าคนดีย่อมได้ดี พอได้เห็นกับตาวันนี้ยิ่งรู้สึกเป็นจริงดังนั้น” เจียงซื่อพูดพลางเดินผ่านเซียวซื่อไป