ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 234 เสี่ยวอวี๋เป็นอย่างไร
นายท่านรองฃนับได้ว่าเป็นจิ้นซื่อตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังไม่ถึงสี่สิบปีก็ได้ถูกส่งตัวกลับมาในเมืองหลวงแล้ว ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเส้าชิงแห่งศูนย์พิทักษ์อาชา ผู้คนมากมายเมื่อกล่าวถึงเขาก็มักจะเอ่ยชื่นชมว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย
บุคคลเช่นนี้ไม่ว่าคนอื่นจะมองเขาสูงส่งหรือไม่ แต่ตัวเขาเองนั้นก็มักจะมองว่าตนเองอยู่สูงกว่าผู้อื่นเสมอ ทว่าในวันนี้ ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการ เขากลับถูกชายตามองด้วยความดูถูก
การถูกมองเช่นนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่ดีนัก
หลังจากที่นายท่านเจียงรองกลับมาถึง เขาก็ทำหน้าบึ้งตึงเครียดแล้วกล่าวกับเฝิงเหล่าฮูหยินว่า “เกรงว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการและจวนปั๋วของเรา นับจากนี้จะสิ้นสุดความสัมพันธ์ลงเสียแล้ว”
จังหวะเดียวกับที่เจียงอันเฉิงเดินทางกลับมาถึง เฝิงเหล่าฮูหยินจึงได้ชายตาไปมอง แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “จั้นเอ๋อร์ครั้งนี้ก่อเรื่องมากมายจริงๆ แต่ละวันเอาแต่สร้างปัญหาให้แก่จวนปั๋ว ในครั้งนี้เจ้าจะต้องอบรมสั่งสอนเขาอย่างเคร่งครัด ให้จำเอาไว้เสียบ้าง”
เมื่อเจียงอันเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ
บุตรชายของเขามักจะหาเรื่องเป็นประจำก็จริงอยู่ แต่ควรจะแยกแยะเรื่องราวในแต่ละครั้งให้ชัดเจน ไม่ควรนำมารวมกันวุ่นวายเช่นนี้
“ท่านแม่ เรื่องนี้ว่าไปแล้วจั้นเอ๋อร์เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาถูกคุณชายตระกูลหยางชวนไปว่ายน้ำ การที่ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดนับว่าโชคดีมากแล้ว หากว่าเป็นเพราะคุณชายตระกูลหยางตาย แต่จั้นเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร จะโยนความผิดทั้งหมดสิ้นนี้มาที่จั้นเอ๋อร์ถูกต้องแล้วหรือ หากว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการตัดขาดความสัมพันธ์อันดีงามกับจวนปั๋วเพียงด้วยเหตุนี้ ความคิดของเขาคงไม่ปกติแน่!”
เฝิงเหล่าฮูหยินถูกประโยคเมื่อครู่ของเจียงอันเฉิงทำให้รู้สึกอึดอัดใจ จึงได้ตะโกนด่าไปว่า “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วยังมัวแต่ปกป้องเขาอยู่ได้ แล้วเหตุใดชังเอ๋อร์จึงไม่ได้ไปว่ายน้ำที่แม่น้ำจินสุ่ยเล่า จะว่าไปแล้วตัวเขาเองนั่นแหละที่มีปัญหา!”
เจียงซื่อตอบรับประโยคเมื่อครู่เบาๆ ว่า “ท่านย่าเจ้าคะ พี่รองถูกคุณชายตระกูลหยางชวนให้ไปว่ายน้ำเป็นเพื่อน หากว่าเขาไม่ไปก็คงจะทำให้คนเหล่านั้นโกรธเคืองมิใช่หรือ หลานเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ผลของคนอยู่ที่การกระทำ บัดนี้พี่รองปลอดภัยดีไม่เป็นอะไร นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนดี”
ประโยคนี้ของนางทำให้คนที่อยู่ในที่นั้นพากันเบ้ปาก
คุณหนูสี่กล้ากล่าวออกมาได้อย่างไร คุณชายรองเป็นคนดี ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เช่นนั้นหมายความว่าคุณชายตระกูลหยางเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือจึงได้รับผลกรรมเช่นนี้
พวกเขาจึงได้พากันส่ายหน้าจากประโยคของคุณหนูสี่เมื่อครู่ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ยังหาคุณชายรองไม่พบ คุณหนูสี่ก็ได้กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นเช่นกัน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะพากันตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อ นางมองไปทางเจียงซื่อด้วยแววตาลึกล้ำ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ หรือว่าแม่นางผู้นี้จะมีความสามารถที่คนอื่นไม่มี? ไม่ ไม่น่าใช่ เพียงแค่สตรีชั้นต่ำธรรมดาจะไปมีความสามารถอะไรกัน นี่คงจะเป็นความรู้สึกที่นางคิดไปเองเสียมากกว่า
“ผู้ใหญ่สนทนากัน เจ้าเป็นเพียงเด็กอย่าได้เอ่ยแทรก” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวอย่างเย็นชา
หย่งชังปั๋วซื่อจื่อไว้ทุกข์อยู่ถึงสามปี หลังออกจากไว้ทุกข์แล้วจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ เมื่อพบว่านางเองไม่รักษาโอกาสนี้เอาไว้เฝิงเหล่าฮูหยินก็รู้สึกเยือกเย็นลงไปเล็กน้อย
สำหรับเฝิงเหล่าฮูหยินแล้ว เด็กที่ไม่ได้รับความสำคัญเช่นนี้ไม่ควรมีคุณสมบัติเอ่ยสิ่งใดออกมา
แต่เจียงซื่อกลับยิ้มขึ้นอย่างไม่สนใจสิ่งใด เนื่องจากสำหรับคนที่นางเอาใจใส่กล่าวประโยคอันน่าเจ็บปวดออกมาจึงจะรู้สึกถึงการถูกทำร้าย ส่วนคนที่ไม่ได้ใส่ใจนั้น ต่อให้กล่าวออกมาร้ายแรงเพียงใดสำหรับนางก็ไม่มีผลกระทบจิตใจ
เจียงซื่อไม่สนใจ แต่เจียงอันเชิงดูไม่พอใจ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วกล่าวว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เจียงซื่อกล่าวนั้นมีเหตุมีผลกว่าผู้ใหญ่บางคนมากนัก”
เขาหันไปทางนายท่านรองแล้วกล่าวว่า “น้องรองกลับมาถึงก็กล่าวเรื่องเหล่านี้มีจุดประสงค์ใด จวนเสนาบดีกรมพิธีการนั้นตำแหน่งสูงกว่าจวนปั๋วของเรา ด้วยเหตุนี้การที่มีคนของเขาตายจะต้องมาเกี่ยวโยงกับจวนของเรางั้นหรือ หึๆ พวกใจคับแคบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า หากว่าน้องรองถูกใครทำร้ายจิตใจหรือดูถูกมาก็ควรไปจัดการกับอารมณ์ของตนเองก่อน ไม่ใช่ว่า กลับมาระบายกับบุตรหลานในเรือนเช่นนี้ ตัวเจ้าได้ศึกษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มาตั้งหลายปี ความรู้เหล่านั้นเข้าไปอยู่ในสมองหมาหมดแล้วหรือ”
หึ! ในเมื่อท่านแม่ชักสีหน้าใส่บุตรสาวของเขาในฐานะผู้อาวุโส เช่นนั้นเขาก็จะวางท่าด่าทอน้องรองในฐานะของพี่ชายบ้าง อย่างไรเสียตำแหน่งของพี่ใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากบิดา แม้แต่มารดาก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวอันใด
สีหน้าของนายท่านรองที่ค่อนข้างจะหล่อเหลา บัดนี้กลับกลายเป็นสีมืดมนเช่นตับหมู
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่เป็นพวกดุดัน เมื่อครั้นที่บิดายังมีชีวิตอยู่ พวกเขายังอายุน้อยและพี่ใหญ่ก็มักจะถูกทุบตีเป็นประจำ
จะว่าไปแล้ว เจียงจั้นได้นิสัยบิดามาเต็มๆ!
เมื่อถูกเจียงอันเฉิงตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ทำให้นายท่านเจียงรองรู้สึกเสียหน้า เขากล่าวออกมาด้วยความโมโหว่า “พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร จวนเสนาบดีกรมพิธีการสูญเสียคุณชายไป ข้าถูกพวกเขาปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชา จะให้ข้าไปโวยวายที่จวนเขาหรือ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ดีกระทำ!”
เจียงอันเฉิงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะมองว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการสูงส่งกว่าเรา!”
นายท่านรองโมโหเสียจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาว่า “การที่ตำแหน่งของจวนเสนาบดีกรมพิธีการอยู่สูงกว่าจวนปั๋วของเรานั้นไม่ใช่เรื่องจริงหรอกหรือ พี่ใหญ่อาจไม่สนใจอนาคตของจวนปั๋ว แต่ข้ายังคำนึงถึงอนาคตของลูกหลานเรา” พี่ใหญ่ของเขานี้เป็นเช่นคนไร้ประโยชน์ซึ่งไม่ดูถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน เมื่อสองปีก่อนได้มีผู้สืบทอดตำแหน่งฐานันดร ทว่ากลับไม่ยอมคิดว่าจะทำเยี่ยงไรให้ตำแหน่งนี้สืบต่อไปได้เรื่อยๆ
“ไม่มีวันที่ดอกไม้จะแดงสดสวยตลอดกาล ไม่มีวันที่คนเราจะมั่นคงตลอดไป ท่านอารองอาจมองว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการมีอำนาจเหนือเรา แต่ในอนาคตนั้นบางทีอาจสู้จวนปั๋วของเรามิได้” หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
ประโยคของนางนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง
เฝิงเหล่าฮูหยินทำสีหน้าเคร่งขรึม “อาซื่อ เจ้ารู้จักสัมมาคารวะหรือไม่ กล่าววาจาใดล้วนเต็มไปด้วยสิ่งไร้สาระ!”
เจียงซื่อลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับเฝิงเหล่าฮูหยินว่า “ท่านย่าอย่าได้ถือสาวาจาไร้สาระของหลานเลย หลานขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” นางเดินออกไปจากเรือนฉือซิน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพียงไม่นานก็พบว่าเจียงอันเฉิงเดินตามออกมา
เมื่อพบว่าเจียงซื่อยังคงรออยู่ที่นี่ เจียงอันเฉิงจึงได้ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นว่า “ซื่อเอ๋อร์รอพ่ออยู่งั้นหรือ”
เจียงซื่อพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อและพี่รองเดินทางไปยังศาลาว่าการพระนครพร้อมกัน เหตุใดท่านจึงกลับมาเพียงผู้เดียว”
เรื่องความสามารถของเจินซื่อเฉิงนั้น เจียงซื่อรู้ดียิ่งนัก อีกทั้งนางให้ความสนใจกับความคืบหน้าของคดีนี้อย่างยิ่ง
“อ้อ พวกเราเดินทางไปยังจวนผู้มีบุญคุณของพี่รองเจ้า ข้ากลับมาก่อน แต่พี่รองของเจ้ายังอยู่ที่นั่น”
เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่สีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนไป “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เจียงอันเฉิงถอนหายใจออกมาปกปิด “พี่รองของเจ้านับว่ามีสหายที่ดีน่าเชื่อถือนัก จากนี้ต่อไปเขาควรจะผูกมิตรกับคนเช่นเสี่ยวอวี๋ให้มาก ข้าก็คงจะวางใจไม่น้อย”
เสี่ยวอวี๋? ในสมองของเจียงซื่อปรากฏรอยยิ้มอันสดชื่นคู่นั้นของใครบางคนขึ้นมา
หากว่าเขาได้ยินท่านพ่อกล่าวชมเช่นนี้ คาดว่าคงจะเย่อหยิ่งน่าดู
ไม่สิ เขาผู้นั้นมีความสามารถด้านการโน้มน้าวใจคน หากว่าท่านพ่อเดินทางไปยังเรือนของเขาบ่อยๆ ดีไม่ดีอาจจะยกบุตรสาวให้เขาก็เป็นได้
น้ำเสียงก้องกังวานดังขึ้นว่า “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเองก็เคยพบกับเสี่ยวอวี๋มาก่อน ที่จวนหย่งชังปั๋ว จำได้หรือไม่”
ข้างกายเสี่ยวอวี๋ยังมีสุนัขตัวโตอยู่ด้วย จากเหตุผลแล้วบุตรสาวของเขาควรจะตอบว่าจำได้จึงจะถูก
“จำได้เจ้าค่ะ”
“แค่กๆ คือ เจ้าคิดว่าเสี่ยวอวี๋เป็นเช่นไร” เจียงอันเฉิงได้ปูทางมาอย่างดี เขาจึงได้เอ่ยถามออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
สีหน้าของเจียงซื่อดูบิดเบี้ยว
นางมองจังหวะบิดาของตนสูงไป เขาเพิ่งจะเดินทางไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
“ข้าไม่แน่ใจนัก เพราะข้าไม่มีความสนใจเกี่ยวกับบรรดาสหายของพี่รอง ท่านพ่อ ข้าขอตัวกลับห้องก่อน”
เมื่อพบว่าบุตรสาวกำลังจะเดินจากไป เจียงอันเฉิงจึงได้ตะโกนออกมาว่า “อ้าว ซื่อเอ๋อร์ แต่เสี่ยวอวี๋แตกต่างไปจากสหายเจ้าเล่ห์เหล่านั้นของพี่ชายเจ้านะ…”
เจียงซื่อแอบเหล่ตามอง
แน่นอนว่าไม่เหมือนกันแน่ๆ สหายคนอื่นของพี่รองไม่มีความสามารถในการโน้มน้าวใจบิดาของนางได้เพียงนี้
เมื่อกลับมายังเรือนไห่ถัง อาหมานก็ได้เข้ามา
“เหล่าฉินจัดการเรื่องเรือเรียบร้อยแล้วหรือ”