ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 24 สินเดิม
ถึงแม้ว่าเฝิงเหล่าฮูหยินจะรักษาอาการเก่งขนาดไหนก็ตาม เจียงซื่อก็ยังจับผิดท่าทางผิดปกติเหล่านั้นออกได้ในเสี้ยววินาที
หลังมารดาของเจียซื่อผู้ที่เป็นบุตรสาวตระกูลซูได้ล่วงลับก็ทิ้งกุญแจหีบสินเดิมไว้ เฝิงเหล่าฮูหยินก็เป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด แม้ว่าเฝิงเหล่าฮูหยินเองก็เปิดปากออกมาแล้วว่ารอวันที่เด็กทั้งสามคนมารับคืน แต่กระนั้นเจียงซื่อก็รับรู้ได้ว่าทวงคืนของตอนนี้เปรียบเสมือยกรีดเลือดเนื้อของเหล่าฮูหยินเฝิงก็ไม่ปาน
ซูซื่อเป็นบุตรสาวคนโตของจวนหนิงโหว สินเดิมที่ติดตัวมาไม่น้อยหน้าใคร ในหีบนั้นมีเงินทองทรัพย์สินล้ำค่ามากมายที่เอาไปออกดอกออกผลก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่เงินเหล่านั้นเองที่ออกผลเป็นดอกเบี้ยกลับไม่ได้ถูกคิดรวมกับสินเดิมของซูซื่อ แต่มันบินหายไปไหน เอาเป็นว่าไม่ต้องพูดก็ทราบกันอยู่แก่ใจ
“อย่างไรเจ้าก็เอ่ยปากออกมาแล้ว แต่เจ้าเองนั้นยังไม่เคยเรียนรู้การบ้านการเรือน จะดูแลสินเดิมของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” คำพูดของเจียงซื่อไม่อาจทำให้เหล่าฮูหยินเฝิงยอมปล่อยมือโดยง่าย แม้แต่น้ำเสียงก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
เจียงซื่อเองก็ตีหน้ามึนไม่สนใจเอ่ยต่อ “ก็เพราะว่าดูแลสินเดิมเองมันไม่ง่ายน่ะสิเจ้าคะ หลานเองเลยอยากจะเรียนรู้ไปก่อน ครั้งที่แล้วหมั้นหมายกับคุณชายสามจวนอันกั๋วกง คุณชายสามเองก็เป็นลูกแหง่ติดมารดา จะแต่งเข้าไปก็ไม่มีความรู้โง่เขลาเบาปัญญาเรื่องดูแลจวน ยังดีที่งานแต่งของหลานกับเขาล้มเหลว อนาคตไม่แน่ว่าหลานอาจจะต้องแต่งให้บ้านอื่นก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
พอเอ่ยปากถึงเรื่องออกเรือนเจียงซื่อเองก็ไม่มีท่าทางเขินอายเลยแม้แต่น้อย พูดขัดจังหวะสีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินต่อ “หากว่าหลานได้ออกเรือนไปกับคุณชายตระกูลไหนแล้ว แต่กลับไม่มีความรู้เรื่องการดูแลบ้านเรือนเลยจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้นะเจ้าคะ หลานเองจะถูกว่าอย่างไรก็ยังมิอาจเทียบเท่าได้จะมีคนว่าถึงจวนปั๋วของเราว่าไม่รู้จักสั่งสอนบุตรหลานได้ นั่นก็เท่ากับว่าเป็นความผิดของหลานที่ทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย”
พอเฝิงเหล่าฮูหยินฟังเจียงซื่อกล่าวจบสีหน้าก็มีแววประหลาดใจ
เป็นครั้งแรกที่นางได้พบว่าหลานสาวคนนี้ของนางคิดได้และพูดจามีเหตุมีผลขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ว่าจวนปั๋วกับจวนอันกั๋วกงเพิ่งจะล้มเลิกงานแต่งกันไป ภายในปีสองปีนี้เจียงซื่อไม่มีทางออกเรือนได้อย่างแน่นอน
ยังพอมีเวลาอีกตั้งมากมาย ครั้นจะยอมคืนสินเดิมก้อนใหญ่นี้ให้เจียงซื่อเลยเฝิงเหล่าฮูหยินก็แอบรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย
เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยเสียงนิ่ง “เจ้าคิดได้เช่นนี้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เรียนรู้ครั้งเดียวจะสำเร็จเลยเป็นไปมิได้หรอก เอาแบบนี้ก็แล้วกัน นับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าก็ไปเรียนรู้กับอาสะใภ้รองก่อน ดูว่านางดูแลจัดการงานบ้านงานเรือนอย่างไร เรียนให้ครบสักสิบวันครึ่งเดือนค่อยให้อาสะใภ้รองของเจ้าแบ่งงานให้เจ้าลองรับผิดชอบดู เรื่องสินเดิมนั้นก็รอให้เรื่องดูแลบ้านเรือนนี้คล่องเสียก่อนค่อยว่ากัน”
เรียนรู้เรื่องห้องเย็บปักถักร้อย ไหนจะเรื่องชื้อหยูกหยาอาหาร แล้วไหนจะเรื่องต้อนรับแขกเหรื่อที่ไปมาหาสู่กันอีก พอนางคิดได้ถึงตรงนี้แล้วเดาว่ากว่าเจียงซื่อจะได้เรียนรู้จบสิ้นระยะเวลาก็ล่วงเลยเข้าไปปีสองปี
หากปีสองปีถัดมานางจะต้องออกเรือน แน่นอนว่าจะไม่ละโมบโลภเอาสินเดิมของสะใภ้ไปสักแดงเดียว
เจียงซื่อได้ยินเฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวดังนั้นก็หน้าทนเถียงสู้ “แต่หลานอยากจะได้สินเดิมของมารดาคืนมานี่เจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินหน้านิ่ง “ซื่อเอ๋อร์ ย่าพูดชัดเจนแล้วนะ หรือเจ้าฟังไม่เข้าหูเลยหรืออย่างไร เจ้าคิดว่าย่าจะละโมบเอาสินเดิมของมารดาเจ้าไว้อย่างนั้นหรือ”
“หลานไม่ได้คิดอย่างนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินผ่อนคลายลง “เช่นนั้นเจ้าก็ทำตามที่ย่าบอก ย่าไม่ทำให้เจ้าลำบากแน่นอน”
“แต่หลานอยากได้เงินนี่สิเจ้าคะ”
“เครื่องประทินผิว เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนไม่เคยขาด ไหนเลยจะมีเงินรายเดือนของเจ้าอีก ยังไม่พออีกหรือ”
“ก็หลานอยากทำห้องครัวแยกของตัวเองอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“เหลวไหล” พอได้ยินคำนี้เฝิงเหล่าฮูหยินก็โกรธขึ้นมาทันที เจ้าเด็กนี่นั่งเถียงกับนางมาครึ่งค่อนวันเพราะเรื่องปากท้องตัวเองหรอกหรือ
เฝิงมาหม่าที่ยืนอยู่ข้างเฝิงเหล่าฮูหยินก็แอบเม้มปากอยู่เงียบๆ
ทั้งจวนปั๋วมีแค่เรือนฉือซินเท่านั้นที่มีห้องครัวแยก ขนาดเอ้อร์ไท่ไท่ยังไม่ได้รับสิทธิ์นี้เลยด้วยซ้ำ คุณหนูสี่เอะอะอยากได้สงสัยเพราะไม่มีมารดาสอนสั่งเลยทำให้เหลวไหลเช่นนี้
บ่าวรับใช้คนสนิทอย่างอาสี่และอาฝูพยายามปิดปากเงียบสนิท
ดูเหมือนว่าคุณหนูสี่จะซวยเข้าแล้วจริงๆ
เจียงซื่อไม่มีทีท่าว่าจะสนใจท่าทางโกรธของเฝิงเหล่าฮูหยินเลยแม้แต่น้อย “หลานไม่ได้เหลวไหลนะเจ้าคะ หากหลานยังไม่ทำครัวแยกเป็นของตัวเองคงจะอดตายเป็นแน่ เพื่อปกป้องชีวิตตนเองจึงมาขอร้องท่านย่าเจ้าค่ะ”
“ปกป้องชีวิตอะไรของเจ้ากัน เพราะแค่อยากทำครัวแยกเจ้าต้องเอาเรื่องเป็นเรื่องตายมาต่อรองกับข้า หากได้ยินไปถึงข้างนอกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เฝิงเหล่าฮูหยินดุกลับ
“อาหมาน อาเฉี่ยว ยกอาหารนั่นเข้ามา”
ม่านบางเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาหมานและอาเฉี่ยวจึงเดินก้าวเข้ามา
บ่าวรับใช้สองนางเดินถือกล่องอาหารในมือคนละกล่อง และย่อกายคารวะเฝิงเหล่าฮูหยิน
เฝิงเหล่าฮูหยินคร้านจะกล่าวกับพวกบ่าวรับใช้จึงได้จ้องกลับไปที่เจียงซื่อ
“เอาอาหารออกมาให้เหล่าฮูหยินดู”
อาหมานและอาเฉี่ยวยกอาหารออกมาจากกล่องเพียงครู่ก็วางเต็มโต๊ะ
“นี่คืออาหารกลางวันเจ้าค่ะ ส่วนนี่คืออาหารเย็น ท่านย่าลองให้คนชิมดูสิเจ้าคะ ดูว่าอาหารพวกนี้กลืนลงกระเพาะได้หรือไม่” เจียงซื่อเก็บรอยยิ้มกล่าวเสียงเย็น
เฝิงเหล่าฮูหยินมองไปรอบๆ อาหาร สายตาหยุดไปที่อาหารมื้อเย็นอยู่พักหนึ่งแล้วจึงขมวดคิ้วพูดขึ้นมา “กล่องอาหารถึงแม้ดูค่อนข้างแย่ไปหน่อย แต่เหตุใดรสชาติถึงกินไม่ได้เสียเล่า ข้าดูแล้วเหมือนว่าไม่มีใครแตะต้องอาหารเลยสักนิด”
ทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องเลย เหตุใดจึงรู้ว่ากินไม่ได้
เจียงซื่อยิ้ม “ก็เพราะรู้ว่ากินไม่ได้น่ะสิเจ้าคะ เลยไม่ได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อย หากท่านย่าไม่เชื่อลองให้คนมาชิมดูได้เจ้าค่ะ”
“อาสี่” เฝิงเหล่าฮูหยินส่งสายตาไปที่อาสี่
อาสี่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของเฝิงเหล่าฮูหยิน ของกินของใช้แทบจะไม่ต่างกับบรรดาคุณหนูเลยสักนิด ใครจะไปอยากกินอาหารเย็นจืดชืดเช่นนี้ได้ลง
แต่กระนั้นความคิดนี้ก็ได้เก็บเอาไว้ในใจ นางรีบตอบรับและหยิบตะเกียบสะอาดคู่หนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
ลองชิมยำแล้วกัน อย่างน้อยเป็นอาหารที่ไม่ต้องใช้ความร้อนมาก ถึงจะไม่ได้อุ่นร้อนรสชาติคงจะไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าใดนัก
อาสี่คีบอาหารเข้าปากก็รับรู้ได้ถึงรสชาติจนแทบจะคายออกมาไม่ทัน
“เกิดอันใดขึ้น” เฝิงเหล่าฮูหยินถามเสียงต่ำ
อาสี่ตอบด้วยน้ำตานองหน้า “เหมือนว่าจะใส่มั่วเจี้ยมากไปหน่อยเจ้าค่ะ”
“อาฝู เจ้าลองชิมจานอื่นดูที” ถึงตอนนี้เฝิงเหล่าฮูหยินก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้น
ถึงแม้อาฝูชิมดูหลายจานอาการไม่ได้เหมือนกับอาสี่ที่แสดงออกมาขนาดนั้น แต่สีหน้าก็มิสู้ดีเท่าไหร่จึงกล่าวตอบเฝิงเหล่าฮูหยินว่า “รสชาติ…รสชาติแย่มากเจ้าค่ะ”
“แม่ครัวที่ห้องครัวกำลังเล่นตลกอะไรอยู่กันแน่”
เจียงซื่อยิ้ม “แต่ก่อนก็ไม่เกิดปัญหาอะไรเจ้าค่ะ แต่สองมื้อนี้มีปัญหาติดกันทั้งสองมื้อ หรือท่านลองถามท่านอาสะใภ้รองดูก็ได้นะเจ้าคะ เผื่อนางเปลี่ยนแม่ครัวแล้วลืมแจ้งกับท่านย่า”
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่ได้ตอบกลับนางโดยทันทีเพียงใช้สายตาจ้องมองนางลึกลงไป
หญิงสาวเชิดคางขึ้นเถียงสู้กับเฝิงเหล่าฮูหยิน
ตาสองคู่จ้องประสานกัน เฝิงเหล่าฮูหยินมองไม่เห็นแววตาที่ยอมแพ้ของดวงตาสดใสคู่นั้น
เฝิงเหล่าฮูหยินละสายตาออกไปและพูดกับอาฝูว่า “ไปเชิญเอ้อร์ไท่ไท่มาที่นี่”
เจียงซื่อยกยิ้มมุมปาก
มีคนฟั่นเฟืองคนหนึ่งเคยให้บทเรียนแก่นาง หากอยากให้ใครตอบรับข้อตกลงเล็กๆ สักข้อ อย่างนั้นก็ต้องสร้างเรื่องให้คนๆ นั้นมิอาจรับข้อตกลงเรื่องใหญ่ให้ได้เสียก่อน
เช่นนี้แล้วข้อตกลงเรื่องเล็กก็จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับอย่างง่ายดาย
หลักของการซื้อขายก็เช่นนี้ คนขายต้องโก่งราคา คนซื้อย่อมต้องต่อราคา
ดูเหมือนว่าเขาคนนั้นกล่าวไม่ผิดเลยจริงๆ